การเดินทางที่สร้างแรงบันดาลใจ บนเส้นทางของนักบริหารยุคใหม่ ของ “ยนตรกิจ เกีย”
เมื่อ grand prix online ได้รับเกียรติจากผู้บริหารรุ่นใหม่จาก บริษัท ยนตรกิจ เกีย มอเตอร์ จำกัด คุณธันยนันท์ ลีนุตพงษ์ ศิริมงคลเกษม – กรรมการบริหาร และคุณฬสนันท์ ภูนิธิพันธุ์กุล – ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ถึงเส้นทางที่กำลังก้าวสู่โลกใหม่ของอุตสาหกรรมยานยนต์ ผ่านแนวคิด “การเดินทางที่สร้างแรงบันดาลใจ”
ถือว่าเป็นผู้บริหารเจนเนอเรชั่นที่3 ในการก้าวเข้ามาบริหารบริษัทยานยนต์ยักษ์ใหญ่อย่างเครือ ยนตรกิจ ที่มีรากฐานมั่นคงอยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมาหลายทศวรรษ และในฐานะที่เป็นผู้บริหารหญิงยุคใหม่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ แน่นอนว่าการปรับตัว และการศึกษาข้อมูลในโลกยานยนต์เป็นเรื่องที่ดูจะตรงกันข้ามกับความชอบที่มี แต่ด้วยความผูกพันที่มีมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ คุณแพร์ ธันยนันท์ ลีนุตพงษ์ ศิริมงคลเกษม ปรับตัวเข้ากับธุรกิจนี้ได้ไม่ยากนัก
“ครั้งแรกที่เข้ามาทำงานตรงนี้ รู้สึกท้าทายมากค่ะ เพราะความรู้เรื่องรถยนต์น้อยมาก แม้ว่าจะผูกพันมาแต่เล็กก็ตาม แต่ด้วยความเป็นผู้หญิง ก็จะชอบเรื่องแฟชั่นมากกว่า ถ้าในแง่รถยนต์ อาจจะแค่ชอบดูว่ารถคันไหนสวย แต่ไม่ได้ชอบดูรายละเอียดของรถยนต์ขนาดนั้น
แต่เมื่อได้เข้ามาทำงานตรงนี้ ก็ต้องรู้ ศึกษา ลงลึกในรายละเอียดมากขึ้น เริ่มหันมาดูรีวิวรถยนต์มากขึ้น ศึกษาเครื่องยนต์ แล้วทำความเข้าใจ เพื่อที่จะได้นำความรู้ตรงนี้ไปคุยกับฝ่ายอะไหล่ และ After Sales ได้ ทำให้เข้าใจรายละเอียดเกี่ยวกับรถยนต์ในแง่ต่างๆ ได้มากขึ้น หลังจากที่ทำงานมาสักพักค่ะ” คุณแพร์ กล่าว
และในความที่เป็นผู้บริหารยุคใหม่ กับโครงสร้างการทำงานภายใต้องค์กรที่เก่าแก่ และมีศักยภาพอย่างยนตรกิจ เกีย การปรับตัวในเรื่องของการบริหารงานให้มีความผสมผสานกันระหว่างคนรุ่นเก่า และคนรุ่นใหม่เป็นอย่างไร คุณแพร์ เล่าให้เราฟังว่า
“ในช่วงแรก การทำงานกับคุณพ่อ (สรวิศย์ ลีนุตพงษ์) อาจจะมีทัศนคติไม่ตรงกันบ้าง แต่ก็จะคุย ปรับทัศนคติในเรื่องงานกันตลอด เพราะงานในส่วนของแพร์ จะดูเรื่อง Sales & Marketing เป็นหลัก แต่ส่วนของคุณพ่อจะดูแลเรื่องโรงงานเป็นหลัก ช่วงแรกๆ อาจจะไม่ค่อยเข้าใจกันเท่าไหร่ แต่หลังๆ คุณพ่อก็เปิดโอกาสให้ได้เข้าไปทำอะไรมากขึ้น ก็โอเคขึ้นค่ะ”
การเติบโตที่มาพร้อมความเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนถ่าย ทำให้มุมมองในการบริหารงานของผู้บริหารหญิงคนนี้ มีความท้าทาย และพร้อมเดินหน้าไปกับตลาดรถยนต์ยุคใหม่อย่างไร
“ตอนนี้บริษัทมีการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ เพราะหลังจากที่เกิดสถานการณ์โควิด ทำให้พนักงานมีรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป เช่นการทำงานแบบ Work from Home หรือการทำงานให้รวดเร็วขึ้นเพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้งานดำเนินได้อย่างราบรื่น ไม่สะดุด เราจึงมีการปรับระบบและโครงสร้างองค์กรใหม่ทั้งหมด โดยจะมีการนำเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาใช้ในการทำงานให้มากขึ้น และช่วงหลังๆมานี้เราได้รับพนักงานกลุ่มคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมทีมมากขึ้้น จึงมีความตั้งใจจะปรับให้เป็นองค์กรที่ทันสมัยและเหมาะกับคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ เกีย คอร์เปอร์เรชั่น ที่เกาหลีใต้ก็มีการ Rebranding ครั้งใหญ่ เพื่อให้ตอบสนองกับตลาดรถยนต์ยุคใหม่ให้มากขึ้น เลยถือเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ปรับไปพร้อมกันเลย
นอกจากนี้เรายังศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆของตลาดรถยนต์และของเกียให้มากขึ้น เพื่อมองถึงช่องทางในการเพิ่มรุ่นรถยนต์ของเกียที่จะเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยแต่อย่างที่ทราบกันดีว่า ถ้าเราจะนำเข้ารถยนต์รุ่นอื่นๆ ของเกีย มาในประเทศไทยเรื่องของภาษีบ้านเราก็ยังสูงอยู่มาก ซึ่งถือเป็นจุดหลักในการตัดสินใจ และที่สำคัญ เรื่องของราคาก็มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคค่อนข้างมาก
ทุกวันนี้ลูกค้าก็ถามถึงรถยนต์รุ่นอื่นๆ มาเรื่อยๆ ค่ะ เพราะว่าลูกค้าที่เคยใช้เกียมาก่อน เขาก็อยากได้คันที่สองไปใช้ แต่อยากได้รุ่นที่เล็กลง ซึ่งทางเราก็ยังไม่มีซัพพอร์ตเขาตรงนั้น เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากค่ะ”
เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลง ก้าวสู้เส้นทางแห่งอนาคตของ เกีย ปีนี้ ทาง ยนตรกิจ เกีย ได้ทำการ Re-Branding ครั้งใหม่ เรียกได้ว่าเป็น การเดินทางที่สร้างแรงบันดาลใจ ให้กับทุกคน โดยรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงในการครั้งนี้ คุณโฟม ฬสนันท์ ภูนิธิพันธุ์กุล – ผู้จัดการฝ่ายการตลาด คู่หูในการบริหารงานด้านการตลาดของคุณแพร์ จะมาเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ให้เราได้ทราบกัน
“การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงระดับ worldwide ของเกีย เริ่มต้นจากการที่อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ เกีย เอง จึงอยากเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ได้มากขึ้น แต่ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลง ทาง เกีย ได้ทำการศึกษาอย่างหนัก ว่าผู้บริโภคมองเห็นเกียเป็นอย่างไร ทั้งในแง่บวก และแง่ลบ หลังจากนั้นเราก็เอาผลจากการศึกษาในครั้งนี้ มาปรับเป็น Branding ครั้งใหม่ โดยคอนเซ็ปต์ครั้งนี้ของเกีย ก็คือ Movement that inspires การเดินทางที่สร้างแรงบันดาลใจ
เพราะทางเกียมองว่า การที่เกียอยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์มายาวนานกว่า 75 ปี เราได้ผลิตรถยนต์มาเป็นจำนวนมากและหลากหลาย ได้มีโอกาสได้ช่วยให้ผู้คนได้เดินทางไปตามที่ต่างๆได้มากมาย เราจึงเชื่อว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราได้ร่วมสร้างประสบการณ์และแรงบันดาลใจดีๆให้กับผู้บริโภคระหว่างการเดินทางได้ จึงกลายมาเป็นการ Re-Branding ครั้งนี้ค่ะ”
คิดว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จะจับกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มใหม่ได้หรือไม่
“ส่วนใหญ่แล้ว ผู้บริโภคกลุ่มใหม่จะมาพร้อมกับ Product ใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่แล้ว ซึ่งจากการ Re-Branding ครั้งใหม่นี้ เกียจะเพิ่มสิ่งใหม่เข้ามาใน Product ทั้งดีไซน์ที่ทันสมัยมากขึ้น รวมไปถึงรูปลักษณ์ภายใน ภายนอก และเรื่องของเทคโนโลยี
อย่างเกีย คาร์นิวัล รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวในประเทศไทยไปนั้น ก็จะเห็นว่ามีเทคโนโลยีค่อนข้างเยอะ ทั้งในเรื่องของเทคโนโลยีความปลอดภัย หรือเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกต่างๆ ซึ่งเราเองมองว่าตรงนี้ทำให้เราสามารถจับกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ได้
ซึ่งจากการ research ในกลุ่มผู้บริโภคทั่วโลก เพื่อดูว่าแต่ละกลุ่มมีความคิดเห็นต่อเกียเป็นอย่างไร ก็พบว่า เกีย มีความโดดเด่นในเรื่องของดีไซน์ เพราะหลังๆ เราปรับเรื่องดีไซน์ให้มีความทันสมัย และสวยงามมากขึ้น และก็จะมีบางกลุ่มที่มองว่าอาจจะยังไม่ค่อยได้เห็นฟีเจอร์ที่โดดเด่นจากเกียมากเท่าไหร่นัก ทำให้ตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา Line Up ของเกียทั้งหมด มีดีไซน์ที่ค่อนข้างโดดเด่นขึ้น พร้อมกับใส่เทคโนโลยีเข้าไปในรถเพิ่มมากขึ้นด้วย รวมถึงยังมีพลังงานทางเลือกอย่างรถไฟฟ้าเพื่อรองรับการก้าวไปสู่ยุคใหม่ของตลาดรถยนต์ด้วย
และเกียเองก็มีแผนที่จะนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าออกมาหลายรุ่นหลังจากนี้เป็นต้นไป ยังมีอีกหลายโมเดลที่อยู่ใน Line Up ซึ่งในส่วนของเกีย ประเทศไทย ก็กำลังศึกษากันอยู่ว่าสามารถนำเข้ามาได้หรือเปล่า เพราะอย่างที่ทราบกันดีกว่า ประเทศไทยเรามีรายละเอียดในการนำเข้ารถไฟฟ้าค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเรื่องของภาษีนำเข้าที่จะส่งผลต่อราคาขาย ซึ่งต้องบอกว่า ในฐานะแบรนด์ เกีย เอง มีความพร้อมในแง่ของผลิตภัณฑ์ ถ้านโยบายได้ ตลาดเปิดเมื่อไหร่ เรามีผลิตภัณฑ์ที่พร้อมจะนำเข้ามาหลายรุ่นแน่นอนค่ะ”
รายละเอียดของสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในครั้งนี้
“การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของโลโก้ ที่มีการเปลี่ยนดีไซน์ของตัวหนังสือ ให้เป็นแนวเส้นเอียงและพุ่งขึ้นไปด้านบน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการก้าวไปข้างหน้าของแบรนด์เกีย และยังมีดีไซน์โดยรวมที่ทันสมัยและโดดเด่นมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนถ่ายก็ว่าได้ หรือเป็นการก้าวข้ามไปสู่อีกยุคหนึ่ง ที่เป็นโลกแห่งอนาคต ซึ่งทางเกียเองก็จะเน้นไปที่พลังงานสะอาดมากขึ้น เป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนสโลแกนด้วย โดยใช้ชื่อว่า Movement that inspires”
สิ่งที่คาดหวังจากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้
“คาดหวังให้คนรู้สึกว่า การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ มีความแปลกใหม่ น่าสนใจมากขึ้น ต้องบอกว่าในตลาดประเทศไทย หลักๆ ของเกีย ที่ขายอยู่คือรถครอบครัว รุ่น Carnival แต่ก็ค่อนข้างมีกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงอยู่ เลยรู้สึกว่า ถ้าเรามีการปรับเปลี่ยนโลโก้ หรือได้มีโอกาสนำผลิตภัณฑ์ตัวอื่นเข้ามา ก็จะทำให้ลูกค้ากลุ่มอื่นๆ ที่อาจจะยังไม่ได้คุ้นชินกับเรา หันมาให้ความสนใจมากขึ้น ด้วยภาพลักษณ์ของเราที่มีความทันสมัยมากขึ้น รวมถึงตัวผลิตภัณฑ์เองที่มีการปรับให้มีดีไซน์ที่โดดเด่นและมีเทคโนโลยีต่างๆมากขึ้นเพื่อการใช้งานที่สะดวกสบายกว่าของลูกค้า”
แผนงานของ เกีย ในอนาคต
“ตอนนี้ยังไม่มีการปรับโฉมอะไรเพิ่ม แต่ในแง่ศูนย์บริการ ปัจจุบัน เกีย มีอยู่ 18 ศูนย์ แต่ภายในสิ้นปีนี้ ไม่เกินไตรมาสที่1 ของปีหน้า เราวางแผนว่าจะเพิ่มให้ได้ถึง 25 แห่ง ทั่วประเทศ ซึ่งในส่วนใหญ่จะเพิ่มที่ต่างจังหวัด เพราะในกรุงเทพ มีค่อนข้างเพียงพอแล้ว
ซึ่งโชว์รูมใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นมา ก็จะถูกปรับให้อยู่ภายใต้ CI ใหม่ทั้งหมด โดยศูนย์บริการภายใต้ CI ใหม่ที่แรก คือ สาขาเทียมร่วมมิตร ภายในจะมีความ Interactive มากขึ้น ในส่วนของโชว์รูม รวมไปถึงโทนสี และวิธีการจัดการ ซึ่งจะเป็น New Look ของเกีย น่าจะเสร็จในช่วงเดือนธันวาคมปีนี้ หรือช้าสุดก็คือเปิดปีใหม่มา หลังจากนั้น ดีลเลอร์อื่นๆ ก็จะทยอยเปลี่ยนเป็นรูปแบบใหม่ทั้งหมดค่ะ” คุณโฟมกล่าวทิ้งท้าย
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
ภาพ : พิศวัส พงษ์พุฒิโสภณ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ได้ที่ www.grandprix.co.th