ขับมาคุย: THE ALL-NEW BMW X5 หรูลุยป่า เก่งฉลาดรอบด้าน
ต้องพูดตามตรงว่ามีความคุ้นเคยกับ BMW ในตระกูล X5 มาพอสมควรตั้งแต่โฉมแรก แต่เมื่อมาถึงโฉมล่าสุดแม้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนหน้าตา การออกแบบ วัสดุที่ใช้ตกแต่งภายใน รวมถึงเทคโนโลยีที่อัดแน่นแบบที่ต้องนั่งฟังบรรยายสรุปกันทั้งวันก็ไม่หมด X5 ในวันนี้ยังคงเสน่ห์ของ BMW สายลุยได้แบบถึงพริกถึงขิง แม้ว่าเวลาจะผ่านมาถึง 19 ปีแล้ว (X5 รุ่นแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 1999) และยุคใหม่นี้เพิ่มเติมด้วยความอัจฉริยะของเทคโนโลยีไปทั้งคันเลยทีเดียว
โดยล่าสุด Grandprix Online ได้มีโอกาสรับเชิญให้ไปทดลองขับ THE ALL-NEW BMW X5 ซึ่งเป็นเจเนอเรชั่นที่ 4 ไกลถึงเมืองแอตแลนต้า รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา โดยที่มีเวลาอยู่กับเจ้า X5 ใหม่ เพียงแค่ 1 วันเท่านั้น!! งานนี้จึงพยายามเก็บรวบรวมข้อมูลทุกอย่างมาให้ได้มากที่สุด และได้ข้อสรุปที่น่าพอใจเลยทีเดียว
BMW X5 ใน 3 Generation
สำหรับ THE ALL-NEW BMW X5 (G05) เมื่อพิจารณารูปโฉมทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดท้าย ถือว่ามีการปรับเปลี่ยนให้ดูทันสมัย สวยงาม และแตกต่างจากโฉมเดิมอยู่พอสมควร โดยที่ตัวถังนั้นมีขนาดที่ใหญ่กว่ารุ่นก่อน มีความยาวเพิ่มขึ้น 36 มม. กลายเป็นตัวรถยาว 4,922 มม. ความกว้างเพิ่มขึ้น 66 มม. กลายเป็น 2,004 มม. และความสูงเพิ่มขึ้น 19 มม. รวมสูงเป็น 1,745 มม. และมีฐานล้อที่กว้างขึ้น 42 มม. เป็น 2,975 มม. กว้าง ใหญ่ ยาว สูง ในทุกมิติ ตัวถังมีเส้นสายที่เฉียบคม แสดงออกถึงการเป็น BMW ตระกูล X รุ่นใหม่อย่างชัดเจน แถมไฟท้ายยังออกแบบให้แตกต่างจากต้นตระกูลให้มีดีไซน์แบบเรียวยาวแล้วมีรูปแบบ 3 มิติ อีกด้วย
มีไฮไลท์หลักๆ อยู่ที่ ไฟหน้าแบบ Laserlight พร้อมไฟ LED ปรับได้ ซึ่งมีระยะทำการถึง 500 เมตร ตัวเลนส์ออกแบบให้เป็นรูปทรง X เป็นเส้นสีฟ้าดูแปลกใหม่ สวยงาม, กระจังหน้าแบบ Active Air Flaps ที่สามารถเปิด-ปิด เพื่อรับอากาศเข้าสู่ห้องเครื่องเพื่อช่วยระบายความร้อนได้, กระจกหน้าและข้างแบบ Acoustic-Glass Windscreen, ระบบเซนเซอร์ที่ติดตั้งบริเวณส่วนล่างของกันชนหน้า ซึ่งเจ้าเซนเซอร์ชุดนี้มีความสามารถรอบตัวจริงๆ
เซนเซอร์บริเวณด้านล่างของแนวกันชน
มันทำอะไรได้บ้างล่ะเจ้าเซนเซอร์ตัวนี้ เริ่มจาก…การตรวจจับ Traffic Jam Assistant เป็นการใช้งานในสภาพการจราจรที่ติดขัด โดยที่เซนเซอร์จะเข้ามาควบคุมการขับแบบอัตโนมัติ (Automonous) นั่นเอง (จะเริ่มใช้อย่างเป็นทางการในสิ้นปีนี้ ตอนนี้อยู่ในขั้นทดสอบขั้นสุดท้าย), Lane Keeping Assistant รักษาระยะของรถให้อยู่ในเลน, Steering Assistant ช่วยควบคุมพวงมาลัยให้กลับมาอยู่ในเลน เมื่อเซนเซอร์จับได้ว่ารถกำลังขับออกนอกเลนหรือขับทับเส้นแบ่งการจราจร, Lane Control Assistant ทำงานร่วมกับ Steering Assistant เมื่อรถออกนอกเลน จะส่งสัญญาณให้พวงมาลัยดึงกลับให้รถเข้ามาอยู่กลางเลนดังเดิม, Automatic Speed Limit Assist ระบบนี้ฉลาดมาก เพราะจะปรับความเร็วให้เหมาะสมกับการจำกัดความเร็วในแต่ละเส้นทางโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะเห็นได้จาก Pop-Up Display ที่สะท้อนขึ้นมาที่กระจกหน้า จะแจ้งให้เห็นเสมอว่าเส้นทางที่กำลังขับอยู่จำกัดความเร็วไว้ในระดับใด (แต่ถ้าใช้กับเมืองไทยคงอึดอัดพิกล)
ปุ่มปรับโหมดแบบออฟโรด
ยังไม่พอ.. THE ALL-NEW BMW X5 นอกจากจะโดดเด่นในการใช้งานแบบ On Road แล้ว ยังรองรับการใช้งานแบบ Off-Road ได้อย่างน่าสนใจ ด้วยระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบ Double-Wishbone และด้านหลังแบบ Five-Link ที่มาพร้อมกับช่วงล่างใหม่ที่นำมาใช้ในตระกูล X เป็นครั้งแรกที่เรียกว่า Two-axle air Suspension ระบบเพลาข้อเหวี่ยงสองแกนที่สร้างความสบายใจขณะขับและปรับระดับสูงต่ำได้เพื่อการใช้งานบนเส้นทางที่หลากหลายมากขึ้น โดยสามารถปรับระดับได้มากถึง 80 มม. และที่ฉลาดไปกว่านั้น สมมุติว่ายางล้อใดล้อหนึ่งแบน หรือลมยางน้อยกว่าล้อที่เหลือ เจ้าระบบนี้ยังช่วยปรับระดับความสูงของช่วงล่างด้านล้อนั้นๆ ให้เท่ากับล้อข้างอื่นๆ อีกด้วย เพื่อให้เกิดความสมดุล
แน่นอนว่าเมื่อเทคโนโลยีมาเต็มขนาดนี้ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ xDrive ย่อมมีการอัพเกรดให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น เพื่อรองรับการใช้งานที่สมบุกสมบันบนเส้นทางที่หลากหลายและท้าทาย ซึ่งเจ้า X5 รุ่นใหม่นี้เป็นรุ่นแรกในตระกูล X ที่จัดแพคเกจแบบออฟโรดมาให้ที่นอกจากมี Two-axle air Suspension ระบบกันสะเทือนแบบสองแกนทั้งสี่ล้อ ยังสามารถปรับโหมดการขับแบบออฟโรดได้ถึง 4 แบบ ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว รวมถึงสามารถเลือกความสูงของตัวรถและการตอบสนองของระบบ xDrive และ DSC ได้อีก ซึ่ง 4 โหมดที่ว่านี้คือ โหมด Sand, Rock, Gravel และ Snow ที่ถือว่าครบถ้วน ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน
ประตูท้ายเป็นแบบ 2 ชิ้น การเปิด-ปิดประตูบานท้ายยังสะดวกด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว และเปิดกระบะลงได้ด้วยปุ่มที่ติดตั้งไว้ด้วยเช่นกัน และจะเห็นว่ามีอีกปุ่มที่ติดอยู่ข้างๆ ปุ่มนั้นคือ ปุ่มสำหรับกดเพื่อปรับระดับความสูงของรถ เพื่อให้ง่ายต่อการยกสัมภาระเข้าออกนั่นเอง ซึ่งพื้นที่เก็บสัมภาระมีความจุตั้งแต่ 650 ลิตร ไปจนถึง 1,860 ลิตร เมื่อพับเบาะหลังลง
มากันที่ภายในห้องโดยสารกันบ้าง ในภาพรวมทำออกมาได้หรูและน่าประทับใจทั้งการออกแบบพื้นที่ฝั่งผู้ขับที่เป็นแบบค็อกพิท จัดวางปุ่มและอุปกรณ์ต่างๆ ให้ใช้งานได้ง่าย ห้องโดยสารกว้างขวาง และสร้างบรรยากาศความโปร่งด้วยหลังคากระจก Panorama Sky Lounge ที่ผิวกระจกกินพื้นที่หลังคาถึง 23% แถมยังสร้างบรรยากาศด้วยการเลือกโทนสีในห้องโดยสารได้อีกด้วย ไม่เพียงเท่านี้ ที่เบาะนั่งยังใส่ฟังก์ชั่นเบาะนวดเอาไว้อีก มีระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติแบบ 4 โซน ที่คอนโซลกลางจะเห็นว่ามีที่วางแก้วแบบพิเศษสามารถอุ่นร้อน/เย็นได้อีก ถัดลงมาเป็นหัวเกียร์ที่ออกแบบมาได้อย่างสวยงามไร้ที่ติ ทำออกมาให้ดูเป็นคริสตัลมีสัญลักษณ์ X อยู่ภายใน ประกบด้วยปุ่มควบคุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์, ปุ่มเลือกมุมกล้องรอบคัน, ปุ่มเลือกโหมดการจอดอัตโนมัติ, ปุ่มปรับโหมดการขับ, เบรกมือไฟฟ้า, ปุ่ม Hill Descent Control (HDC), ปุ่มปรับระดับความสูงของช่วงล่าง และการปรับโหมดแบบออฟโรด เป็นต้น
ห้องโดยสารที่ปรับโทนสีได้ตามอารมณ์ผู้ใช้ว่าจะเลือกสีไหน แถมเลือกเฉดสีได้เพียบ
เมื่อมองผ่านช่องว่างด้านบนของพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นจะเห็นว่าแผงมาตรวัดความเร็วนั้นเปลี่ยนไปจากแบบเข็ม 2 วง แบบอนาล็อคกลายเป็นแบบดิจิตอลไปแล้ว ด้วยจอแสดงผลที่เรียกว่า BMW Live Cockpit Professional ที่มีการพัฒนาระบบ iDrive เพิ่มเติม เพื่อรวมแผงหน้าปัดดิจิตอลแบบครบวงจรไปกับหน้าจอควบคุมแบบทัชสกรีนขนาด 12.3 นิ้ว ที่แสดงผลกราฟฟิคได้อย่างคมชัด รวมทั้ง BMW Head-Up Display ที่มีผิวฉายกระทบที่กระจกหน้าให้ขนาดใหญ่ขึ้น แสดงผลกราฟฟิค 3D แสดงเนื้อหาทั้งเรื่องของระดับความเร็ว, ระบบนำทาง, การจำกัดความเร็วของแต่ละเส้นทางและระบบเตือนต่างๆ ที่สามารถปรับระดับให้พอดีกับสายตาของผู้ขับได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย ส่วนหน้าจอสัมผัสกลางคอนโซลมีขนาด 10.2 นิ้ว ที่ใช้แสดงผลทั่วไปเกี่ยวกับระบบภายในรถและระบบ infotainment รองรับ Apple CarPlay และยังใช้เป็นจอแสดงผลของกล้องมองภาพ 360 องศา เมื่อใช้งานในแบบออฟโรด รวมทั้งแสดงภาพเมื่อถอยจอดได้อย่างคมชัดอีกด้วย ส่วนระบบเครื่องเสียงเป็นของ Bowers&Wilkins Diamond ระบบเสียงเซอร์ราวด์ ติดตั้งลำโพงรอบคันไว้ถึง 20 ตัว สร้างความบันเทิงได้หลากหลายรูปแบบตามความชอบ พูดได้ว่ายกเธียเตอร์เอามาไว้ใน X5 กันเลยทีเดียว
สำหรับรถรุ่นที่นำมาขับเป็น X5 xDrive 30d ขุมพลังดีเซล ความจุ 2,993 ซีซี ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 6 สปีด ให้แรงม้าสูงสุด 265 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 620 นิวตันเมตร เที่ 2,000-2,500 รอบต่อนาที ถือว่าจัดจ้านพอสมควร แรงขนาดนี้แต่ปล่อยไอเสียแค่ 179-158 กรัม/กม. ตามสเปคบอกว่าทำความเร็ว 0-100 กม./ชม. ในเวลา 6.5 วินาที และทำความเร็วได้ 230 กม./ชม. แต่ตอนขับจริงๆ ไม่ได้มีเส้นทางให้ลอง กลัวตำรวจอเมริกาจับ!!
ในส่วนของการขับขี่นั้น ทำได้ไม่เสียเชิงตระกูล X คือ คล่องแคล่วบนทาง On Road และมั่นใจบนทางแบบ OFF Road แน่นอนว่าการขับไปบนถนนที่สหรัฐอเมริกามีการจำกัดความเร็วอย่างเข้มงวด การไปขับที่นั่นจำเป็นต้องปรับตัวพอสมควร ถึงอย่างนั้นกลับสบายใจ เพราะมาตรวัดความเร็วที่แสดงผลออกมา แสดงความเร็วออกมาตรงกับป้ายบอกความเร็วของรัฐแบบตรงพอดีเป๊ะๆ สิ่งที่ชอบคือน้ำหนักของพวงมาลัยที่ตอบสนองได้ดีทั้งในย่านความเร็วต่ำและสูง อัตราเร่งและการเปลี่ยนเกียร์ต่อเนื่องมาก จากความเร็ว 40 กม./ชม. เร่งแซงแล้วกลับเข้าเลน ใช้เวลาไม่ถึงอึดใจ 1-2 วินาที ความเร็วพุ่งไปทะลุ 70 กม./ชม. แล้วต้องลดความเร็วในทันที อย่างนี้ต้องขับในบ้านเรารับรองว่าถึงใจแน่นอน เพราะแรงบิดมาตั้งแต่ 2,000 รอบ ทันใจจริงๆ
ระบบช่วยเหลือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Lane Keeping Assistant, Steering Assistant, Lane Control Assistant และ Automatic Speed Limit Assist ทำงานได้อย่างรวดเร็ว ช่วงล่างที่เซ็ทมาให้นุ่มนวล แต่แน่นหนึบ ทำให้การเข้าโค้งทำได้อย่างมั่นใจ เสียงลมเข้ามาในห้องโดยสารน้อยมากกว่ารุ่นเดิม การขับผ่านหลุมและพื้นที่ขรุขระไม่สะดุ้งสะเทือน ช่วงล่างทำงานได้น่าประทับใจ
ทดลองด้วยการขับแบบปล่อยมือจากพวงมาลัย ระบบเซนเซอร์จะจับสัญญาณและจับเส้นแบ่งการจราจร เมื่อรถเริ่มขยับออกนอกเลนทางซ้าย ระบบจะดึงพวงมาลัยกลับเข้าสู่เลนในทันที (ดึงพวงมาลับกลับแรงพอสมควร) และเมื่อลองให้รถออกนอกเลนทางขวาอีกครั้ง พวงมาลัยยังคงดึงกลับมาและประคองให้อยู่กลางเลน ถือว่าอัจฉริยะจริงๆ ต้องยกความดีงามตรงนี้ให้กับระบบเซนเซอร์ที่ละเอียดและทำงานได้อย่างรวดเร็ว ทำให้คิดถึงกรณีที่ขับรถแล้วหลับใน ระบบนี้จะช่วยเหลือให้เกิดความปลอดภัยได้อย่างมาก รวมทั้งหากตั้งค่าแบบเต็มระบบ รวม Adaptive Cruise Control เข้าไปด้วย เมื่อตั้งค่าความเร็วและระยะห่างจากคันหน้าเอาไว้ เมื่อรถขับไปใกล้คันหน้ามากเกินไป รถจะชะลอและรักษาความเร็วในทันที กลายเป็นการปกป้องในการขับแบบรอบคันเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นหากร่างกายไม่พร้อมก็ไม่ควรขับรถจะดีที่สุด..ลืมไปอีกนิด เมื่อลองปล่อยให้รถเซไปเซมา ซ้ายทีขวาทีอยู่สักพัก ระบบจะขึ้นสัญญาณเตือนมาที่จอแสดงผลเป็นรูปถ้วยกาแฟ พร้อมสัญญาณเสียงดังเตือน เป็นการบอกให้รู้ว่าคุณควรหยุดพักได้แล้วล่ะ!
มาต่อกันที่การขับแบบออฟโรดกันบ้าง ซึ่งเป็นไฮไลท์ของการทดสอบในครั้งนี้ ทางทีมงาน BMW จัดให้ขับเข้าป่าแบบเป็นขบวนที่ทิ้งระยะห่างจากคันหน้ากันพอประมาณ โดยทีมงานผู้ฝึกสอนแนะนำการใช้งานระบบออฟโรด การปรับระดับความสูงของรถ และการปรับกล้องรอบคัน รวมทั้งปิดระบบควบคุมการทรงตัว ก่อนการเข้าป่าจริง ทำให้รู้ว่าระบบรองรับการขับแบบนี้ละเอียดมากจริงๆ เมื่อถึงเวลา..ที่เราอ่อนล้า จงขับ X5 เข้าป่า…
เส้นทางในป่าถือว่าไม่ยาก หากเคยผ่านพื้นที่แบบออฟโรดโหดๆ ในประเทศไทยมาแล้ว ซึ่งที่นี่เป็นป่าโปร่ง ต้นไม้สูงมากมาย มีระดับสูงต่ำของเนินที่หลากหลาย แถมยังมีเส้นทางที่แคบอีกต่างหาก ทำให้ยากต่อการกะระยะซ้ายขวา กลัวว่าจะไปเบียดกับต้นไปซะก่อน แต่อุปสรรคที่พบกลายเป็นเรื่องง่าย เพราะกล้องที่ติดตั้งสร้างภาพรอบคันออกมาได้อย่างชัดเจน แม้ว่าจะเป็นภาพแบบเสมือนจริง แต่นั่นก็เพียงพอต่อการใช้งานแบบนี้ โดยที่ผู้ขับสามารถเลือกปรับมุมของกล้องได้ทางหน้าจอทัชสกรีนขนาด 10.2 นิ้ว ที่ช่วยมองเห็นได้ทั้งด้านหน้า หลัง ด้านข้าง รวมทั้งมุมสูง เมื่อขับขึ้นเนินจะมองทางข้างหน้าไม่เห็น ให้เลือกเปิดกล้องด้านหน้า ทำให้เห็นพื้นอย่างสบาย หรือจะขับผ่านลำธารเล็กๆ ที่ไม่รู้ว่าตกขอบทางรึเปล่า เจ้ากล้องแต่ละมุมจะเข้ามามีบทบาทอย่างมาก ช่วยให้การขับแบบลุยๆ กลายเป็นเรื่องง่าย โดยที่ไม่ต้องให้เพื่อนคอยไปยืนหน้ารถเพื่อบอกทางอีกแล้ว สบายจริงๆ
จุดเด่นที่สำคัญในการขับบนทางออฟโรดคือ ความอัจฉริยะและรวดเร็วในการตัดสินในของสมองกล กลายเป็นเทคโนโลยีนำความสามารถของผู้ขับไปค่อนข้างมาก จากการขับสายนี้ที่ต้องใช้ประสบการณ์ ทำให้ตอนนี้ใครก็สามารถทำได้ (ถ้ากล้าพอ) เมื่อรถทราบข้อมูลที่ส่งมาว่ารถกำลังขับอยู่บนเส้นทางที่ขรุขระมีหลุมบ่อ มีล้อหมุนฟรีเมื่อใด ระบบจะเข้ามาช่วยเหลือในทันที ทำให้ผ่านอุปสรรคได้ง่ายขึ้น รวมทั้ง Two-axle air Suspension ที่ช่วยพยุงตัวให้ห้องโดยสารมีเสถียรภาพ ไม่โยกโยนให้เวียนหัวอีกด้วย ในภาพรวมถือว่า THE ALL-NEW BMW X5 ทำได้น่าประทับใจทีเดียว
หากถามว่า THE ALL-NEW BMW X5 ราคาเท่าไหร่..ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ ต้องรอให้นำเข้ามาจำหน่ายในไทยซะก่อน ซึ่งคาดว่าน่าจะเข้ามาในช่วงงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 40 ช่วงปลายเดือนมีนาคม 2562 ที่ใกล้เข้ามานี้ แต่สำหรับใครที่ขับ X5 รุ่นเดิม และใช้งานทั่วไป ไม่ได้ขับรถไปลุยอะไรขนาดนั้น แนะนำว่าขับคันเดิมก็ยังคงสมรรถนะที่เพียงพออยู่แล้ว แต่หากกำลังคิดจับจองเป็นเจ้าของ ต้องบอกเลยว่าควรเป็นเจ้าของอย่างยิ่ง ด้วยสมรรถนะและเทคโนโลยีที่จัดมาถือว่าครบมากๆ เอาเป็นว่ารอวันที่มาเปิดตัวในเมืองไทยและรอดูออฟชั่น ราคา การรับประกัน แล้วค่อยตัดสินใจก็ยังทัน..และนี่คือ THE ALL-NEW BMW X5 ที่จัดเต็มแบบครบๆ จบในคันเดียว หรูลุยป่า เก่งฉลาดรอบด้านจริงๆ ปล.นี่เป็น First Impression ในเวลา 1 วัน ข้อด้อยต่างๆ ยังเห็นไม่ชัด แต่ข้อดีนั้นเห็นชัดเจน.
ไฮไล์ส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่เหลือค่อยเขียนเพิ่มใน Technology แทนแล้วกัน.
อุ่นร้อน แช่เย็นได้ สบายใจ
ระบบปรับอากาศแบบแยกส่วน
จะเห็นความแตกต่างว่า เข็มวัดรอบจะกวาดจากขวามาซ้าย ไม่ใช่ซ้ายมาขวาเหมือนปกติ
หน้าจอมาตรวัดความเร็วที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบตามการใช้งาน
การแสดงผลภาพแบบ 360 องศา สามารถเลือกมุมกล้องได้ผ่านจอทัชสกรีนที่คอนโซล คมชัดจริงๆ
Pop Up Display ที่สะท้อนขึ้นมามีขนาดที่ใหญ่ขึ้น และมีรายละเอียดที่มองเห็นได้ชัดเจนทุกสภาพแสง
หลังคากระจก Panorama Sky Lounge ที่ผิวกระจกกินพื้นที่หลังคาถึง 23%
THE ALL-NEW BMW X5 พร้อมลุยและตอบโจทย์ในทุกเส้นทาง
เรื่อง: พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th