น้ำมันเบรค เติมตอนไหน แต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร
ผมเชื่อว่าทุกวันนี้เกือบทุกท่านยอมมีรถยนต์ส่วนตัวไว้ใช้ไปทำงานไปซื้อของ หรือไปเที่ยว และเมื่อเรามีรถยนต์แล้วการดูแลรักษาเบื้องต้นนั้นคือสิ่งที่ควรรู้ไว้ เพื่อที่รถยนต์จะได้อยู่กับเราไปนานๆ หรือจะได้ไม่เกเรเวลาออกเดินทางไปต่างจังหวัด การตรวจเช็ครถยนต์เป็นประจำจะทำให้คุณปลอดภัยจากการเกิดอุบัติเหตุ หรือไม่ก็รถเสียระหว่างทางได้ อีกส่วนหนึ่งที่มีผู้ใช้รถบางท่านอาจจะยังสงสัยว่ามันจะต้องเช็คตอนไหน แล้วจะรู้ได้อย่างไร นั้นก็คือเจ้าน้ำมันเบรค ซึ่งข้อแรกที่มีคำถามคือมันมีหลายแบบเหลือเกินจะเติมอันไหนละ อีกข้อจะรู้ได้ไงละว่าต้องเติมแล้ว วันนี้เรามาเรียนรู้เรื่องน้ำมันเบรคกันครับ
ข้อสงสัยข้อแรกกันเลย วิธีการเลือกซื้อน้ำมันเบรค และแต่ละประเภทต่างกันอย่างไร
น้ำมันเบรคก็เป็นของเหลวชนิดหนึ่งซึ่งเอาไว้ส่งถ่ายแรงจากเท้าเราไปยังลูกสูบปั้มเบรคล่าง(คาลิเปอร์) ซึ่งเวลาเราเบรคนั้นเมื่อผ้าเบรคมีส่วนผสมของโลหะกับจานเบรคที่เป็นโลหะเสียดสีกัน ก็จะทำให้เกิดความร้อนสะสม ดังนั้นการเลือกน้ำมันเบรค ควรใช้ให้มีมาตราฐาน เพราะถ้าน้ำมันเบรคเกิดเดือดขึ้นมา ก็เหมือนของเหลวทั่วไปเมื่อเกิดการเดือดมันจะกลายเป็นไอคุณสมบัติของเหลวไฮดรอลิคก็จะหายไป ทำให้ไม่สามารถส่งถ่ายแรงได้ พอส่งถ่ายไปไม่ได้ลูกสูบเบรคล่างก็จะไม่ถูกกดด้วยแรงที่ควรจะเป็น ทำให้ประสิทธิภาพหายไป
การเลือกน้ำมันเบรคที่เหมาะสม จะมีมาตราฐานรับรอง เช่น สมาคมวิศวกรรมยานยนต์ของอเมริกา(SAE) กรมการขนส่งของอเมริกา(DOT) และสมาคมกำหนดมาตราฐานระหว่างชาติ(ISO) ส่วนมากที่ในบ้านเรานิยมใช้ก็มีมาตราฐาน DOT ซึ่งก็มีหลายแบบอีก ที่นิยมมี DOT3 DOT4 DOT5 แล้วมันต่างกันอย่างไรละ DOT3 จุดเดือดไม่ต่ำกว่า 205 องศาเซลเซียส DOT4 จุดเดือดไม่ต่ำกว่า 230 องศาเซลเซียส และDOT5 จุดเดือดไม่ต่ำกว่า 260 องศาเซลเซียส
สิ่งที่พวกเราควรจะรู้ก็คือ เนื่องจากน้ำมันเบรค DOT 5 ที่มี Selicone Based oil มีคุณสมบัติที่ไม่ดูดความชื้นและแยกตัวออกจากน้ำแตกต่างจากน้ำมันเบรค DOT3, DOT4 ที่มี Glycol based oil ที่ดูดความชื้นง่ายและรวมตัวกับน้ำได้ จึงไม่สามารถผสมปนกันได้ และที่สำคัญคือ น้ำมันเบรค DOT 5 ไม่สามารถใช้ได้กับระบบเบรค ABS จึงมีน้ำมันเบรค DOT 5.1 ที่มีส่วนผสมของ Glycol Ether/Borate Ester สำหรับรถรุ่นใหม่ที่มีระบบเบรค ABS รถยนต์โดยส่วนมากมักจะใช้น้ำมันเบรค DOT 3 หรือ น้ำมันเบรค DOT 4 มากกว่า โดยน้ำมันเบรค DOT3 ส่วนใหญ่จะประกอบด้วย Polyalkylene Glycol Ether กับ Glycols based oil ส่วน DOT 4 จะผสม Borate Esters เพิ่มเข้าไปด้วย ซึ่งส่งผลให้มีจุดเดือดที่สูงกว่า และ DOT 4 ของผู้ผลิตหลายรายมีจุดเดือดสูงกว่า DOT 5.1
หากคุณใช้น้ำมันเบรค DOT ไหน ก็ให้ใช้เหมือนเดิมถ้าต้องการประหยัดค่าซ่อมบำรุงเพราะน้ำมันเบรคแต่ละชนิดและแต่ละ DOT ห้ามผสมหรือเจือปนเด็ดขาด เพราะจะส่งผลต่อการลดอายุการใช้งานของระบบเบรคได้ ทางที่ดี หากอยากเปลี่ยนเป็นยี่ห้อใหม่หรือเปลี่ยน DOT ก็ควรถ่ายน้ำมันเบรคของเดิมออกให้หมดก่อน และอย่าลืมจดจำเอาไว้ว่าล่าสุดใช้ยี่ห้ออะไรและ DOT เท่าไหร่ เมื่อต้องเปลี่ยนน้ำมันเบรคจะได้หาซื้อน้ำมันเบรคได้ถูกต้อง และถ้าไม่รู้ว่ารถยนต์ของท่านเติมอะไรมาตอนก่อนซื้ออ่านในสมุดคู่มือครับเค้ามีบอกไว้นะครับ
ต่อมาแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องเติมแล้ว
ง่ายเลยครับ เราสามารถตรวจปริมาณน้ำมันเบรคได้จากในกระปุกน้ำมันเบรคที่ห้องเครื่อง (ดูได้จากคู่มือประจำรถ) ส่วนมากระดับปริมาณของน้ำมันเครื่องควรจะอยู่ที่ขีด Max อยู่ตลอดเวลาส่วนมากมันจะไม่ค่อยลดลงนะครับ
แต่ถ้าเช็คแล้วระดับของน้ำมันเบรคมันลดลง นั้นหมายความว่าอาจมีบางอย่างผิดปกติ ต้องลองเช็คอยู่ครับมันมีอยู่หลายสาเหตุ เอาหลักๆเลยนะครับผ้าเบรค เพราะน้ำมันเบรคจะลดลงตามระดับความหนาบางของผ้าเบรค ถ้าผ้าเบรคของเราบางใกล้หมด น้ำมันเบรคมันก็จะพร้องลงไปบ้าง เพราะลูกสูบที่อยู่ในคาร์ลิปเปอร์เบรคมันจะดันตัวออกมามากเพื่อไปดันผ้าเบรคที่บางให้จับจาน ทำให้น้ำมันเบรคในกระปุกลงไปแทนที่ น้ำมันเบรคในกระปุกก็เลยพร้องลงไปบ้าง แต่ถ้าผ้าเบรคคุณยังหนาๆอยู่แล้วน้ำมันเบรคพร่องลงไปอย่าเพิ่งตกใจลองเติมดูก่อน แต่พอเติมเสร็จต้องมั่นตรวจเช็คและสังเกตุดูถ้ามันพร่องลงไปอีกในระยะเวลาไม่นาน หรือมันลดลงเร็ว สันนิฐานได้เลยครับว่ามีการรั่วซึมในระบบแน่นอน ใช้เช็คดูตามสายเบรคครับว่ามีจุดรั่ว หรือซึมตรงไหน โดยให้สังเกตุจากรอยคราบน้ำมันที่เปื้อนตามท่อครับ เพราะถ้าไม่มีการรั่วซึมจะไม่มีน้ำมันไหลออกมาเปื้อนได้แน่นอน
มีอีกจุดที่ทำให้น้ำมันเบรคพร่องได้นั้นก็คือ แม่ปั้มเบรคตัวติดหม้อลมครับ ตัวดีเลยเช็คยากด้วย ตัวนี้ถ้ามันจะรั่วข้างใน หมายถึงลูกยางที่ลูกสูบเบรคเสื่อมสภาพ หรือกระบอกเบรคเป็นรอยตามด มันจะทำให้ขณะเราเบรคมีแรงดันไม่พอระยะเบรคมากขึ้นกว่าเดิม
วิธีการ ตรวจว่ารั่วหรือไม่ ติดเครื่องเหยียบเบรคแบบย้ำ คือเหยียบปล่อยๆ ระบบจะทำให้แป้นเบรคสูงขึ้น พอแป้นเบรคสูงขึ้น ให้เหยียบแป้นเบรคไว้จับเวลาดู ถ้าแป้นเบรคเคลื่อนตัวลงไปได้เรื่อยๆ คำตอบรั่วจริงครับ ถ้าปกติแป้นเบรคจะไม่ยุบเลย ย้ำครับ ต้องติดเครื่องด้วยไม่งั้นแป้นเบรคจะแข็งเร็วเพราะลมในหม้อพักหมด
ส่วนการรั่ว ถ้ามองด้วยตาก็พอจะเห็นรอยเปียก จนถึงหยดลงพื้นได้ แต่มีบางจุดที่มองไม่ออก
1 รั่วที่แม่ปั๊ม น้ำมันเบรคจะไปท่วมอยู่ในหม้อลม ถ้านานเข้า จะเห็นรอยเปียกที่ฐานหม้อลม
2 รั่วที่กระบอกเบรค ถ้ายังไม่มาก จะขังอยู่ในยางกันฝุ่น
หากมีการพร่องของน้ำมันควรรีบตรวจระบบเบรคนะครับ ถ้าสภาพน้ำมันเบรคมีสีดำ แสดงว่าลูกยางเบรคเสื่อมสภาพ ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคใหม่ และควรเปลี่ยนลูกยางเบรคใหม่ด้วย โดยปกติเราควรเปลี่ยนผ้าเบรคทุก 50,000 – 80,000 กม. สำหรับรถเกียร์ธรรมดา ถ้าเป็นรถเกียร์อัตโนมัติควรเปลี่ยนทุก 50,000 กม. ส่วนน้ำมันเบรคควรเปลี่ยนทุก 40,000 กม. ไม่ควรใช้น้ำมันเบรคที่เปิดฝาไว้แล้วเกินกว่า 1 ปี เนื่องจากน้ำมันเบรคเป็นสารดูดความชื้น น้ำมันเบรคอาจเสื่อมสภาพเนื่องจากจุดเดือดลดลง ส่งผลให้น้ำมันเบรคเดือดได้ง่ายเมื่อใช้งานเบรคอันจะมีผลต่อประสิทธิภาพการเบรค
หมั่นตรวจเช็คน้ำมันเบรคเป็นประจำนะครับ เพราะถ้าคุณไม่ตรวจเช็คเกิดระบบเบรคมีปัญหา ติดขัดขึ้นมา อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้นะครับ ปลอดภัยไว้ก่อนเชื่อผม และคุณจะได้ขับรถยนต์ได้อย่างปลอดภัยไรกังวล
เรื่อง : ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th