รถสตาร์ทไม่ติด อย่าคิดว่าแบตเตอรี่หมด
ปัญหาเรื่องสตาร์ทรถไม่ติดนับเป็นสิ่งกวนใจของผู้ใช้รถอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งพฤติกรรมที่เกิดขึ้นบ่อยทุกๆ 2 ปี นั่นก็คือปัญหาแบตเตอรี่เสื่อม แต่จริงๆ แล้วปัญหาเรื่องสตาร์ทรถไม่ติดยังมาจากสาเหตุอื่นอีก เรามาดูกันว่าถ้ารถสตาร์ทไม่ติดจะเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง
ไดชาร์จเสื่อม
ก่อนอื่นเลยเรามาทำความรู้จักกับไดชาร์จกัน ไดชาร์จคืออุปกรณ์ที่ทำงานคู่กับแบตเตอรี่ หรือถ้ามองให้เห็นภาพ ไดชาร์จจะเสมือนโรงไฟฟ้าที่ต้องสร้างกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ ไดชาร์จจึงเป็นตัวสำคัญตัวหนึ่งที่รถยนต์ขาดไม่ได้ ซึ่งถ้าไดชาร์จเสื่อมทำให้แบตเตอรี่เก็บไฟได้น้อยกว่าปกติและไม่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้เพราะไฟไม่พอ
ไดสตาร์ทเสีย
โดยหลักการทำงานของไดสตาร์ท คือ เมื่อมีการกด หรือบิดสวิตช์กุญแจ ไดสตาร์ทก็จะเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้กลายเป็นพลังงานกล จากนั้นจึงเข้าไปฉุดเครื่องยนต์ให้ติด พร้อมทำงาน แต่ถ้าไดสตาร์ทเสียหรือไม่ทำงานก็ไม่สามารถสร้างกรแสไฟให้รถคุณติดได้ ซึ่งปัญหาของไดสตาร์ทจะเกิดจาก 2 สาเหตุหลักๆ คือ ไดชาร์จเสื่อม และ แปรงถ่านในตัวไดสตาร์ทอาจหมด หรือใกล้จะหมด
มอเตอร์สตาร์ทมีปัญหา
อีกกรณีที่ไม่อาจมองข้ามได้ถ้าเราสตาร์ทรถไม่ติด พ่วงแบตเตอรี่ก็ยังไม่ติดอีกลองเช็คที่แผงหน้าปัดไฟดูก่อน หากหน้าปัดไฟติด แต่สตาร์ทรถไม่ได้ ให้ลองเช็คมอเตอร์สตาร์ทและอุปกรณ์ควบ เช่น ฟิวส์มอเตอร์สตาร์ทขาด, สายไฟที่ต่อไปยังสตาร์ทมอเตอร์อาจขาดหรือหลุดออกจากจุดต่อ, แปรงถ่านที่อยู่ในมอเตอร์สตาร์ทหมด เป็นต้น ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ล้วนทำให้มอเตอร์สตาร์ทมีปัญหาได้
ระบบไฟฟ้ามีปัญหา
สำหรับรถที่ใช้งานมาพักใหญ่หรือรถที่มีอายุเยอะ ปัญหาเรื่องระบบไฟเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ วิธีสังเกตเรื่องปัญหาระบบไฟ สังเกตได้ง่ายๆ จากการบิดกุญแจแล้วไฟที่แผงหน้าปัดไม่ขึ้นโชว์ นอกจากนี้รถที่จอดทิ้งไว้นานๆ หรือแถวบ้านมีหนูชุกชุม อาจจะเจอกับปัญหาหนูเข้ามากัดสายไฟขาดได้ บอกเลยว่าถ้าเจอหนูกัดสายไฟปวดหัวแน่เพราะเราไม่รู้ว่ากัดตรงไหนบ้าง ต้องเช็คสายไฟทั้งระบบ
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th