รถใหม่ !! ต้องลอง ปี 2018
ปีนี้ดูเหมือนจะมีรถยนตเจ๋งๆเข้ามาให้ลูกค้าชาวไทยได้เลือกใช้กันมากมายหลากหลายรุ่น วันนี้เรามาดูกันว่าเจ้ารถยนต์ที่ต้องลอง น่าโดนจับจองเป็นเจ้าของนั้นมีรุ่นอะไรยี่ห้อไหนกันบ้าง เราไปดูกันครับ
ALL NEW SUZUKI SWIFT 2018
คันแรกนี้ไม่พูดถึงคงไม่ได้กับค่ายที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อรถยนต์ขนาดเล็กอย่าง ซูซูกิ ที่ส่ง ALL NEW SUZUKI SWIFT 2018 เข้าสู่ตลาดรถยนต์ประเทศไทย โดยมรการพัฒนาทั้งรูปลักษณ์ภายนอก เครื่องยนต์ เทคโนโลยี เรียกได้ว่ามาเปิดแบบจัดหนักในราคาสบายกระเป๋ากันเลยทีเดียว การออกแบบใหม่หมดของ All New Suzuki SWIFT สร้างความประทับใจแรกให้กับลูกค้าที่ได้มีโอกาสสัมผัสเป็นอย่างมาก
นอกจากรูปลักษณ์ภายนอก และดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังโดดเด่นด้วย เครื่องยนต์รหัส K12M ขนาด 1.2 ลิตร ที่มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ หัวฉีดคู่ DUALJET กำลังสูงสุด 83 แรงม้า (61 กิโลวัตต์) พร้อมแรงบิดสูงสุด 108 นิวตันเมตร และเกียร์อัตโนมัติแบบซีวีที มอบการตอบสนองในการขับขี่ได้ดีเยี่ยม อีกทั้งยังช่วยลดมลพิษและประหยัดน้ำมันถึง 23 กิโลเมตรต่อลิตร นอกจากนี้ ยังได้นำแพลตฟอร์มใหม่ HEARTECT มาใช้เพื่อช่วยให้รถมีน้ำหนักน้อยลง แต่คงความแข็งแกร่งและช่วยประหยัดน้ำมัน รวมถึงโครงสร้างตัวถังแบบ TECT พร้อมระบบกันการสั่นสะเทือน ระบบ TCS ช่วยในการควบคุมรถขณะขับขี่บนถนนลื่นหรือในทางโค้ง และยังเหมาะกับการขับในเมืองด้วยระบบ IDLING STOP ที่ช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมันขณะรถหยุดนิ่ง ขับขี่อย่างมั่นใจในทุกเส้นทางด้วยระบบ Hill Hold Control ที่จะช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน และปลอดภัยมากขึ้นด้วยถุงลมนิรภัย SRS ถึง 6 ตำแหน่ง ราคาเริ่มต้นที่ 499,000 – 629,000 บาท
ALL NEW MG3
ถัดมาเพิ่งเปิดตัวไปสดๆร้อนๆกับค่ายรถยนต์ MG กับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของรถยนต์ MG3 เรียกได้ว่ามีการพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องครับสำหรับค่ายนี้ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูทันสมัยขึ้น เครื่องยนต์ และวัสดุที่ใช้ดูดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด แถมเปิดราคามาถูกจนหลายค่ายใหญ่ต้องหันมอง
All New MG3 โฉมใหมได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากรถต้นแบบเอ็มจี อี-โมชั่น (E-Motion) รวมถึงการนำนวัตกรรม เทคโนโลยีที่ทันสมัย และการเชื่อมต่อทางอินเตอร์เน็ตเข้าไว้ด้วยกัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ขับขี่พร้อมตอบโจทย์กับความสนุก และล้ำสมัยพร้อมเป็นผู้นำเทรนด์ รองรับความต้องการของกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ในอนาคตที่ต้องการการขับขี่สนุก และปลอดภัย เครื่องยนต์เบนซิน DOHC VTi-TECH ขนาด 1.5 ลิตร ให้พละกำลัง 112 แรงม้า (เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อน 6 แรงม้า) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบต่อนาที ผสานการทำงานด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติใหม่เพื่อตอบสนองทุกการขับขี่อย่างเต็มประสิทธิภาพ ราคาเริ่มต้นที่ 519,000 – 629,000 บาท
MITSUBISHI XPANDER
ต่อมาเป็นรถยนต์ MPV ขนาด 7 ที่นั่งของค่ายมิตซูบิชิที่หลายต่อหลายคนรอคอยว่าตัวจริงจะเป็นอย่างไรหลังจากขายดิบขายดีในประเทศอินโดนีเซีย และไปเปิดตัวต่อที่ฟิลิปปินส์ คราวนี้ก็แน่นอนจะต้องมาเปิดตัวในเมืองไทยในช่วงเดือนสิงหาคม สำหรับ MITSUBISHI XPANDER ภายนอกถูกติดตั้งไฟหน้าแบบมัลติรีเฟลกเตอร์ฮาโลเจน พร้อมไฟ Position Lights และไฟท้ายแบบ LED ติดตั้งล้ออัลลอยสีทูโทนขนาด 16 นิ้ว พร้อมยางขนาด 205/55 R16 และล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว พร้อมยาง 185/65 R15 (รุ่น GLX)
ภายในห้องโดยสารจัดวางเบาะแบบ 7 ที่นั่ง สามารถปรับพับเบาะนั่งแถวที่ 2 และ 3 ให้ราบได้ พร้อมเครื่องปรับอากาศตอนหลัง และช่องจ่ายไฟขนาด 12 โวลต์สำหรับผู้โดยสารแถวที่ 3 ติดตั้งเครื่องเสียงขนาด 2DIN หน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว พร้อมระบบนำทางและกล้องมองหลัง ฝั่งผู้ขับขี่ติดตั้งพวงมาลัยแบบปรับได้ 4 ทิศทาง พร้อมระบบ Cruise Control เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ด้านระบบความปลอดภัยครบครัน
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.5 ลิตร MIVEC ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด และเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ในเมืองไทยไม่น่าจะมีตัวเกียร์ธรรมดามานะครับ ส่วนราคาเรามารอลุ้นตอนเปิดตัวกันครับ แต่ผมคาดว่าน่าจะเริ่มต้นประมาณ 5 แสนกว่าบาทครับ
HONDA HR-V 2018
Honda New HR-V มาพร้อมดีไซน์ที่ทันสมัยทั้งภายนอกและภายใน ด้วยกันชนหน้า-หลัง และกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED เบาะนั่งเสริมความสปอร์ตด้วยดีไซน์ใหม่ พร้อมยกระดับเทคโนโลยีเพื่อควารมปลอดภัยไปอีกระดับ อาทิ ระบบแสดงภาพมุมอับสายขณะเปลี่ยนเลน (Honda Lanewatch), ระบบเตือนและช่วยเบรกที่ความเร็วต่ำ (City Brake Active System) และระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) ทั้งยังแนะนำรุ่น RS ที่จะมาพร้อมกับดีไซน์สปอร์ตรอบคัน เครื่องยนต์ ขนาด 1.8 ลิตร SOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว 141 แรงม้า มาพร้อมกับระบบเกียร์ CVT ใหม่ ที่พัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม ให้อัตราการประหยัดน้ำมันและตอบสนองทุกการขับขี่อย่างดีเยี่ยม รองรับพลังงานทางเลือก E85 ผสานกับเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับพรีเมียม เพื่อความอุ่นใจในทุกการเดินทาง ส่วนราคานั้นเรามาดูกันวันพรุ่งนี้
TOYOTA C-HR
TOYOTA C-HR จะใช้พื้นฐานตัวรถ หรือ Platform พัฒนาขึ้นใหม่ Toyota New Global Architecture (TNGA) เช่นเดียวกับ Toyota Prius, Toyota Camry และ รุ่นอื่นๆที่จะตามมานับจากนี้ ภายนอกดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยว ออกแบบมาได้เก๋ไก๋มากครับ ไฟหน้า Projector Lens แบบ Bi-LED (Full LED) พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้า แบบอัตโนมัติ มีเส้นสายยาวจากโลโก้ ดูสปอร์ต ล้ำสมัย ไฟตัดหมอกคู่หน้า ส่วนไฟท้ายรูปทรงบูมเมอแรงแบบ Full LED ภายในออกแบบเน้นไปที่สไตล์เป็นหลัก ให้ความสปอร์ต เรียบหรู เหมาะสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า เบาะนั่งหุ้มด้วยผ้า สีดำ ขณะที่พื้นที่สำหรับผู้โดยสารด้านหลังจะรู้สึกแคบไปนิดตามแบบรถคูเป้ที่เน้นโดยสารกันสองคนเสียเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากกรอบหน้าต่างประตูหลังเล็กทำให้รู้สึกอึดอัด ก็อย่างว่าครับเค้าออกแบบมาให้เป็นรถ เอสยูวี ทรงคูเป้ ที่เน้นไลฟ์สไตล์ชัดเจน แต่เบาะหลังยังนั่งได้สบายพอสมควรนะ วัสดุและการสัมผัสสมกับราคาค่าตัว
TOYOTA C-HR มีให้เลือก 2 เครื่องยนต์ คือ เบนซิน 1.8 รหัส 2ZR-FBE 4 สูบแถวเรียง ขนาด 1.8 ลิตร 1,798 ซีซี. 141 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT และ เบนซิน 1.8 Hybrid รหัส 2ZR-FXE DOHC 4 สูบแถวเรียง DOHC Atkinson cycle 16 วาล์ว VVT-i ขนาด 1.8 ลิตร 1,798 ซีซี. 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร ที่ 3,600 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor ให้กำลังสูงสุด 72 แรงม้า แรงบิด 163 นิวตันเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 979,000 – 1,159,000 บาท
MAZDA CX-5 MY2018
ALL-NEW MAZDA CX-5 โฉมใหม่ คือรถอเนกประสงค์ที่เป็นที่สุดในคลาส One Class Above ภายใต้การออกแบบใหม่ล่าสุดจาก โคโดะ ดีไซน์ เจนเนอเรชั่นใหม่ ที่สะท้อนถึงพลังของจิตวิญญาณที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเคลื่อนไหวอันสง่างาม ผนวกกับวิวัฒนาการที่ก้าวไปอีกขั้นของเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ เจาะตลาดกลุ่มลูกค้าในวงกว้างมากขึ้น ผู้ที่ชื่นชอบการใช้ชีวิต มีรสนิยม ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและการขับขี่ หลงใหลการออกแบบรูปทรงอันสง่างาม มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล SKYACTIV-D ขนาด 2.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 175 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน-เมตร ให้อัตราสิ้นเปลือง 17.5 กม./ลิตร และเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 165 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร ให้อัตราสิ้นเปลือง 13.9 กม./ลิตร ทั้งคู่ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ SKYACTIV-DRIVE แบบ 6 สปีด ติดตั้งระบบ G-Vectoring Control (GVC) เป็นครั้งแรกในรุ่น CX-5 พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ i-ACTIV AWD ให้เลือก ติดตั้งปุ่ม Drive Selection สำหรับปรับเป็นโหมดสปอร์ต
ห้องโดยสารถูกออกแบบจัดวางฟังก์ชั่นการใช้งานในตำแหน่งศูนย์กลาง ห้องโดยสารกว้างขวาง เบาะหลังสามารถปรับเอนได้และสามารถแยกพับได้แบบ 40:20:40, เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า พร้อมระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งฝั่งผู้ขับขี่ 2 ตำแหน่ง, ช่อง USB กำลังไฟ 2.1 แอมป์, ช่องเก็บของพร้อมที่วางแก้วจัดวางให้สะดวกกับการใช้งาน ขณะที่ประตูท้ายเป็นแบบไฟฟ้า Power Liftgate สามารถเปิด-ปิดได้ด้วยรีโมทคอนโทรล พร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว และ 19 นิ้ว ระบบอินโฟเทนเม้นท์เชื่อมต่อออนไลน์ MZD Connect ราคา 1,290,000 – 1,770,000 บาท
ALL NEW NISSAN TERRA
All-new Nissan Terra นำเสนอเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะสูง เป็นรถยนต์เอนกประสงค์แบบ 7 ที่นั่ง พื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางที่สุดในระดับเดียวกัน มีฟังก์ชั่นการปรับพับเบาะนั่งแถวที่สองที่เก็บได้แบบแบนราบ เหมาะสำหรับการใช้งานในเมือง และการผจญภัยบนเส้นทางออฟโรดร่วมกับครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน รวมทั้งเทคโนโลยีการขับขี่ทันสมัยมากว่ารถในระดับเดียวกันเพื่อให้ผู้ขับขี่เดินทางไปทุกที่ได้อย่างมั่นใจ เครื่องยนต์ดีเซล YD25 190 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด450 นิวตันเมตรที่ 2,000 รอบต่อนาที ที่เป็นขุมกำลังเดียวกับรถกระบะ Nissan Navara รุ่นที่ขายอยู่ในปัจจุบัน Allnew Nissan Terra โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำหน้าเพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยยิ่งกว่า และมั่นใจยิ่งขึ้นด้วย Nissan Intelligent Mobility พื้นที่ในห้องโดยสารกว้างขวางไม่เป็นรองใคร เทคโนโลยีอัจฉริยะภายใต้แนวคิด
Terra พัฒนาบนแชสซีส์อเนกประสงค์แบบขั้นบันไดซึ่งทำให้ตัวถังเหนียวแน่น และแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เหมาะกับการขับขี่บนทางแบบออฟโรด ระบบกันสะเทือนด้านหลังเป็นแบบไฟว์-ลิงค์ คอยล์สปริงต์ และเพลาหลังที่มั่นคงแข็งแรง สร้างความมั่นใจว่าความสะดวกสบาย ความนุ่มนวลที่มาพร้อมกับความทนทาน และความแข็งแกร่ง ยังมาพร้อมการควบคุมที่ดียิ่งขึ้นด้วยระบบ 4WD-DIFF หรือดิฟเฟอเรนเชียล-ล็อก 4 ล้อ และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Start Assist) รวมถึงระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control) ที่ช่วยควบคุมความเร็วเมื่อขับขี่ลงในเส้นทางที่ลาดชัน ส่วนเรื่องราคานั้นเราต้องมารอลุ้นกันตอนเปิดตัวอีกทีนึงนะครับ
FORD RANGER RAPTOR
ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ได้รับการออกแบบ, ผลิต และทดสอบ จากทีมฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ หวังที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับเซ็กเมนต์ตลาดรถกระบะ ในฐานะรถกระบะสมรรถนะสูงของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ออกแบบมาเพื่อนักขับขี่สไตล์ออฟโรดตัวจริง ตอกย้ำความมุ่งมั่นของฟอร์ดในการส่งมอบรถกระบะสายพันธุ์เกิดมาแกร่งให้กับผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
แชสซีได้รับการออกแบบใหม่มาเป็นพิเศษส่งผลให้รูปลักษณ์ของตัวรถดูใหญ่ขึ้นในทุกมิติ มาพร้อมกับแผงกันกระแทกด้านล่างอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ช่วยปกป้องห้องเครื่องจากการกระแทก ผลิตจากเหล็กกล้าที่หนาถึง 2.3 มิลลิเมตร และมีความทนทานสูงตามมาตรฐานของฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ สอดรับกับแผงกันชนหน้าสีเงิน ทั้งยังมีชุดกันกระแทกด้านล่างที่ป้องกันเครื่องและระบบส่งกำลัง โดยทั้ง 3 ส่วนนี้จะช่วยปกป้องชิ้นส่วนสำคัญต่างๆ อาทิ หม้อน้ำ, ระบบพวงมาลัยไฟฟ้า, ชุดสายพานหน้าเครื่อง, คานล่างด้านหน้า, อ่างน้ำมันเครื่อง และชุดเฟืองขับส่วนหน้า ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์ดีเซลใหม่แบบ Bi-Turbo ขนาด 2.0 ลิตร ให้พละกำลังสูงสุดถึง 213 แรงม้า และแรงบิดที่มากถึง 500 นิวตันเมตร ทั้งยังประหยัดน้ำมันเพิ่มมากขึ้นด้วยน้ำหนักที่น้อยลง รวมถึงระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ซึ่งผลิตจากวัสดุเหล็กกล้า, อะลูมิเนียมอัลลอย และคอมโพสิท ประสานการทำงานของเครื่องยนต์, ระบบเกียร์, เพลา, พวงมาลัย, เบรก และระบบควบคุมพวงมาลัยแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตอบสนองการขับขี่แบบออฟโรดโดยเฉพาะ ราคาจำหน่ายในไทย 1,699,000 บาท
เรื่อง : ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th