วิชิต ว่องวัฒนาการ…กับการปรับตัวให้เข้าถึงความต้องการลูกค้า
วิชิต ว่องวัฒนาการ กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย ปรับจุดอ่อน ดันจุดแข็ง เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการลูกค้า พร้อมเพิ่มยอดขายปีนี้ให้สูงขึ้น
เมื่อการแข่งขันภายในตลาดรถปิคอัพสูงขึ้น ความต้องการของลูกค้าเปลี่ยนไปตามไลฟ์สไตล์ที่แปลกใหม่ มองหารถที่จะมาตอบโจทย์ครบทุกความต้องการภายในคันเดียว ทำให้ฟอร์ดเล็งเห็นถึงปัจจัยหลายอย่างในตลาด และพร้อมปรับตัวให้เข้ากับทุกสภาวะแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ พร้อมดันจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มยอดขายภายในปีนี้ให้สูงขึ้น
ไฮไลท์ของฟอร์ดภายในปีนี้คืออะไร
ไฮไลท์ของฟอร์ดในปีนี้ คือ Wildtrak Ranger wildtrak X มาพร้อมชุดแต่งที่เหมาะสำหรับการเดินทางในรูปแบบสมบุกสมบัน รถรุ่นนี้เป็นรถรุ่นใหม่ที่เราเพิ่มความดุดันเข้าไปในตัวรถ Wildtrak รุ่นปัจจุบันที่เรามีอยู่นะครับ เราใส่อุปกรณ์เข้าไปค่อนข้างเยอะมาก กันชนหน้าเป็นกันชนหน้าแบบบอบบางเสริมสีดำเข้าไปมันแข็งแรงขึ้น ล้อด้านข้างมีล้อที่เป็นล้อสีแบบเดียว สีดำ 18 นิ้ว ทำให้รถหรูขึ้น ซุ้มขอบล้อเป็นดีไซน์ใหม่ เราดีไซน์ใหม่ทุกรายละเอียด แม้กระทั่งดุมของมันมีโลโก้ ฟอร์ดอยู่ทุกตัวทำให้ลูกค้ามีความรู้สึกว่าภาคภูมิใจในเรื่องของฟอร์ด มีความ Unique การเป็นฟอร์ดมากขึ้น ดีไซน์ลงรายละเอียดเยอะมาก ในขณะเดียวกันใส่ Snorkel เข้าไปในตัวรถเลย ได้ 80 เซนติเมตร ทำให้ลูกค้าขับรถไปได้ในทุกสภาวะ ชุดแต่งทั้งหมดที่ใส่เข้าไป มูลค่ากว่าหนึ่งแสนบาท แต่Wildtrak X ที่เราเพิ่งเปิดตัวใหม่ ราคาเท่าเดิม เพิ่มอุปกรณ์มากขึ้น แค่นี้ก็ทำให้รถเราเนี่ยน่าสนใจมากขึ้นแล้ว
ไลฟ์สไตล์ลูกค้าที่เปลี่ยนไปในแง่ของการเลือกใช้รถที่เป็นรถเอนกประสงค์มากขึ้น คิดว่าจะมีผลกระกับฟอร์ดหรือไม่
ปีนี้เรายังมองว่าตลาดรถปิคอัพยังอยู่ที่ระดับ 42 เปอร์เซ็นต์ และน่าจะอยู่ประมาณนี้อยู่นะครับ ผมเชื่อว่าหลายๆ ท่านอาจจะมองว่ามีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆ เกิดขึ้น ซึ่งจะมีผลทำให้ Segment ต่างๆ มันอาจเปลี่ยนไป มีความเป็นไปได้ว่าคนที่อาจจะซื้อรถใหญ่ อาจจะเปลี่ยนไปซื้อรถเล็กก็เป็นได้ แต่ผมมองว่าสำหรับตลาดปิคอัพ น่าจะมีผลกระทบหรือเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด สาเหตุหลักก็คือประเทศไทยยังเป็นประเทศที่เป็นภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก ฉะนั้นการใช้รถปิคอัพในชีวิตประจำวัน ทั้งในเรื่องการขนของ ช่วยในการทำเกษตรกรรม บรรทุกของเชิงพาณิชย์เหล่านี้ ก็ยังเป็นเรื่องจำเป็นอยู่ครับ
ตลาดรวมภายในสิ้นปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร
สิ้นปีที่ผ่านมาในกับตลาดของฟอร์ด ต้องเรียนครับว่าตลาดปีที่ผ่านมา เป็นปีแรกที่ค่อนข้างจะมีประเด็นหนักเรื่องของการตลาดที่มันถดถอย ปี 2018 ตลาดรวมทั้งหมดจบที่ประมาณหนึ่งล้านกับสี่หมื่นกว่าคันนะครับ ปี 2019 ที่ผ่านมาลดลง ซึ่งน่าจะจบที่หนึ่งล้านกับสองหมื่นคัน นั่นหมายความว่า ตลาดเราถดถอยลง แต่ถอยลงก็ไม่ได้เยอะครับ แค่ประมาณสองหมื่นกว่าคัน แต่ถ้าเราวิเคราะห์ดีๆ ต้องถือว่าตลาดอุตสาหกรรมรถยนต์เมืองไทย เป็นอุตสาหากรรมที่ค่อนข้างใหญ่ แตะระดับหนึ่งล้านคันได้ ก็ถือเป็นโอกาสที่ดี อันนี้คือในมุมของตลาด
แต่ในช่วงของการที่ตลาดปรับตัวลง การปรับตัว การทำธุรกิจของแต่ละคนมันเป็นเรื่องสำคัญ และถ้าถามว่าปีที่ผ่านมาตลาดของฟอร์ดเป็นอย่างไร ก็ต้องบอกว่า เราถดถอยลงครับ ซึ่งส่วนนี้เป็นไปตามสภาวะการตลาดส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งมาจากตัวรถที่เราแนะนำออกไป การแข่งขันอาจจะรุนแรงมากขึ้น แต่สิ่งที่เรามั่นใจเลยก็คือ รถปิคอัพเรนเจอร์ของเรายังคงเป็นรถที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย แข่งกับผู้แข่งขันได้สบาย แรพเตอร์ของเราเป็นรถในฝันของใครหลายคน ผมมั่นใจว่าอย่างฟอร์ดเอเวอร์เรสเอง ก็เป็นรถในฝันของใครหลายๆ คน และที่สำคัญก็คือ รถปิคอัพเรนเจอร์ของเรายังคงยืนเป็นอันดับ 3 อย่างเหนียวแน่นติดต่อกันมาหลายปี และเชื่อมั่นว่าจะยังยืนอยู่ในตำแหน่ง Top3 ได้ครับ
แม้ว่าจะขึ้นเป็น Top 3 ในตลาดปิคอัพอย่างต่อเนื่อง แต่ดูเหมือนว่ายอดขายจะตกลง เพราะเหตุใด
ต้องเรียนอย่างนี้ครับ สำหรับตัวเรนเจอร์ในตลาดปัจจุบันยอดขายประมาณล้านเศษๆ หรือคิดเป็น 42 – 43 เปอร์เซ็นต์ ด้วยความเป็นรถปิคอัพอเมริกัน แต่ในสัดส่วนของเปอร์เซ็นต์ข้างต้นนั้น เป็นส่วนที่มีการแข่งขันสูงมาก จึงมีความเป็นไปได้ที่ธุรกิจมันจะไม่เสถียร ตัวเลขมีขึ้นมีลง ด้วยแคมเปญของคู่แข่งที่เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งฟอร์ดเอง ก็ทำ Product ของเราให้สามารถลงแข่งขันได้อยู่ตลอดเวลา และผมเชื่อว่าธุรกิจในแต่ละช่วงที่อาจจะมีการขึ้นบ้าง ลงบ้าง แต่เรายังมั่นใจว่าสินค้าของเรา ทั้งในแง่ตัวรถ ทั้งแคมเปญ และตำแหน่ง Top 3 ที่เรายังอยู่ตรงนี้เนี่ย ถือว่าเรายังแข็งแรงครับ
ตลาดในปีนี้ของฟอร์ดจะเป็นอย่างไร
ขอพูดถึงเรื่องของอุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวมก่อนนะครับ ผมมองว่าตลาดรถยนต์น่าจะเท่าๆ กับปีก่อนเลย ก็คืออยู่ที่ประมาณล้านนิดหน่อยนะครับ เนื่องด้วยปัจจัยหลายอย่าง ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญก็คือ การลงทุนในภาครัฐบาล ที่ยังมีโพรเจกต์ใหญ่ๆ ให้เราเห็นเยอะแยะไปหมด อีกทั้งความต้องการในตลาดต่างๆ ก็ยังมีอยู่ ธุรกิจที่ต้องใช้รถยนต์เดินทางครับ ประกอบกับรัฐบาลมีการส่งเสริมในด้านของพลังงาน สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะทำให้ราคาพืชผลทางการเกษตร เช่น สวนยาง สวนปาล์มต่างๆ เหล่านี้มีแนวโน้มในการขยับตัวมากขึ้น เศรษฐกิจในภาคของเกษตรกรขยับตัวได้ดีขึ้น เราจึงมองว่าภาคเกษตรกร ซึ่งเป็นภาคที่มีการใช้รถยนต์ค่อนข้างสูง ฉะนั้นเราก็มองว่าปีนี้ ตลาดรถยนต์ที่เป็น Segment ของรถปิคอัพ น่าจะไม่ต่ำไปมากกว่าปีก่อน ก็คืออยู่ในระดับเดียวกัน
ส่วนภายในปีนี้เศรษฐกิจภาคการเกษตรน่าจะมีผลในทางที่ดีขึ้น ทีนี้ผมคิดว่าอีกปัจจัยหนึ่งที่เราต้องดูหลายๆอย่าง ก็คือในแง่ของสถาบันการเงิน มองในทุกๆ ภาคส่วนนะครับ ปัจจุบันนี้หนี้ครัวเรือนขึ้นไปแตะระดับประมาณสักใกล้ๆ 80 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ประชากรแล้ว ซึ่งมันจะส่งผลทำให้การอนุมัติสินเชื่อ อาจจะยากขึ้น ซึ่งผมว่าเรื่องนี้กลายมาเป็นโจทย์อีกข้อนึงที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์โดยตรง แต่ในขณะเดียวกัน ฟอร์ดเราก็คงจะต้องพยายามเลือกรถให้เหมาะกับลูกค้าของเรามากขึ้น เพราะรถของเรามีราคาตั้งแต่ 5 แสนเศษๆ ขึ้นไปจนถึงแตะระดับล้านปลาย ฉะนั้นการเลือกรถให้เหมาะสมกับลูกค้าก็จะทำให้ลูกค้าสามารถซื้อรถของเราได้ ผ่านไฟแนนซ์ได้ อันนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ฟอร์ดเราให้ความสำคัญซึ่งสิ่งที่ผมพูดทั้งหมดตรงนี้คือในแง่ของภาพรวมของอุตสาหกรรมรถยนต์ปีนี้ครับ ส่วนในแง่ของฟอร์ดเอง ผมมองว่าเรามีรถปิคอัพที่มีคุณภาพครบถ้วน ซึ่งอย่างที่ผมเรียนก็คือสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้นะครับ เรามีการเปิดตัว Product ใหม่หลากหลายรุ่น เราใส่ความโดดเด่นเข้าไปในแต่ละรุ่นให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น ก็อยากจะสรุปตรงนี้แล้วกันว่า ในแง่ของฟอร์ดอย่างปีนี้ เราก็มองว่าเราจะต้องเติบโตนะครับ และที่สำคัญก็จะมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากขึ้นด้วยเช่นกันครับ
ฟอร์ดให้ความสำคัญเรื่อง B10 มากน้อยเพียงใด
หลังจากที่รัฐบาลมีการรณรงค์เรื่องการใช้ B10 ฟอร์ดก็ให้การสนับสนุนเต็มที่ ในแง่ของตลาด B10 มีลูกค้าหลายท่านเลยโทรเข้ามาสอบถามว่า ฟอร์ดจะแน่นอนเรื่อง B10 ได้หรือเปล่า อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราต้องทำความเข้าใจกับเจ้าของกิจการน้ำมันทุกๆ ราย และก็กับลูกค้าของเราครับ ต้องเรียนว่ารถของเรา เริ่มตั้งแต่ประมาณนี้ 10 ปีที่แล้วครับ รถฟอร์ดสามารถเติมน้ำมัน B10 ได้ทุกรุ่น ทุกคันนะครับ ซึ่งตรงนี้สมมุติเราหากน้ำมัน B10 ถูกลงไปประมาณลิตร]tประมาณสัก 2 บาทนะครับ ก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายของลูกค้าลดลง ซึ่งส่วนหนึ่งมีลูกค้าของเราที่ลองไปเติมแล้ว กลับบอกว่ารถวิ่งดีขึ้น เงียบขึ้น เครื่องยนต์ดีขึ้นนะครับ ลูกค้าไม่ได้มีข้อกังวลอะไรนะครับเท่าที่สัมผัสมา ลูกค้าขอให้เรายืนยันอย่างเดียวว่าเติมได้ ลูกค้าก็พร้อมเติมทันที
ระหว่าง ยูโร 5 กับ ยูโร 6 ทางฟอร์ดมีความคิดเห็นอย่างไรกับนโยบายนี้ ?
ยูโร 5 กับ ยูโร 6 เนี่ยนะครับ ผมขอยังไม่ลงรายละเอียดตรงนี้แล้วกัน แต่ผมเรียนว่าฟอร์ดยินดีปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาลทุกเรื่องนะครับ ถ้านโยบายกำหนดมาว่า ถ้าเป็นยูเรียล สเตจไหน เราก็ต้องทำแบบนั้นทันทีนะครับ เพราะว่าถ้าเราไม่ทำก็ขายรถไม่ได้ เราต้องทำอยู่แล้ว นั่นข้อที่ 1 นะครับ ยินดีปฏิบัติตามกฏหมายทุกประการ แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ผลิตรถยนต์อย่างฟอร์ด อยากขอความชัดเจนก็คือในแง่ของ ถ้าเกิดว่าเรามีรถยนต์ที่เป็นยูโร 5 ยูโร 6 แล้วนั้น จะต้องมีน้ำมันพร้อมสำหรับลูกค้าที่ซัพพอร์ตยูโร 5 กับยูโร 6 เพราะจะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าเราทำรถแล้วไม่มีน้ำมันให้เติม ทุกอย่างต้องมองเห็นเป็นภาพเดียวกันหมดครับ
ถ้าเรามองในเรื่องของตัวน้ำมันในเชิงนโยบายจากเดิม มันผันผวนไปมา เดี๋ยว B2 ไป B5 ไป B7 กลับมา B3 ใหม่อย่างนี้ ตอนนี้มา B10 เรามองในแง่มุมของความมั่นคงนโยบายล่าสุดมันเป็นยังไง ?
อันนี้แบ่งเป็น 2 เรื่องนะครับ ถ้าเป็น B10 สมมุติว่ารถที่เติม B10 ได้ จะมาเติมน้ำมัน B2 B3 B5 B7 สบายได้อยู่แล้ว เรามองว่ารัฐบาลกำลังกำหนดใช้น้ำมัน B10 เป็นพื้นฐาน มีผลบังคับใช้ประมาณสักเดือนมีนาหรือเมษาปีนี้ อันนี้ผมว่าเป็น Movement ที่ดี แต่การเปลี่ยน B2 B3 อะไรต่างๆ ที่ไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ ในอดีต ผมมองว่ามันขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาล และขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่จะซัพพอร์ตน้ำมันด้วย เพราะ 2 เรื่องนี้มันต้องไปด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น เรามีน้ำมันทุกอย่างพร้อมแต่เซ็ตนี้ไม่ซัพพอร์ตก็ไปไม่ได้ งั้นเราต้องมอง 2 เรื่องไปพร้อมๆ กัน เทคโนโลยีของเราตอนนี้ ผมว่าเรารองรับขึ้นไปถึง B10 แล้ว อีกอย่างน้ำมัน B10 ก็เริ่มจะมีขาย ถ้าเกิดว่าเราบอกว่ารถใช้ B10 แต่ว่ายังไม่มีน้ำมัน B10 ขาย มันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดีถูกไหมครับ งั้น 2 เรื่องนี้ต้องเดินไปด้วยกัน
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRAND PRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th