“ฮุนได พาไปชิลล์ กินปู ดูเหยี่ยว เที่ยวจันทบูร สัมผัสเมืองสุดฮิปส์”
ย้ำเตือนกันอีกครั้งกับความสะดวกสบายสุดหรูของรถยนต์นั่งเอนกประสงค์ที่ยอดขายดีเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มรถยนต์สำหรับครอบครัว “ฮุนได รุ่นเอช-วัน และแกรนด์ สตาร์เร็กซ์”
โดยครั้งนี้ ทางบริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ได้จัดกิจกรรมเชิญสื่อมวลชนทดลองขับรถยนต์ฮุนไดทั้งสองรุ่น เพื่อสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่างออกไป บนเส้นทาง กรุงเทพฯ – จันทบุรี เพื่อไปสัมผัสกับวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น กินปู ดูเหยี่ยว ท่องเที่ยวเส้นทางฮิปส์เตอร์ ในชุมชนจันทบูร โดยรับรองว่าทริปนี้สื่อมวลชนทุกท่านจะได้รับความสุนทรีย์ในการเดินทางอย่างเต็มที่
ในเช้าวันแรกนั้น เราเริ่มต้นกันที่โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพฯ บางนา เพื่อทานอาหารเช้า พร้อมนัดแนะเกี่ยวกับเส้นทางในวันนี้ โดยเราจะใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์ มุ่งหน้าถนนสายชลบุรี แกลง ตัดเข้าถนนสุขุมวิทมุ่งหน้าท่าเทียบเรือขลุง เพื่อลงเรือสู่หมู่บ้านไร้แผ่นดิน รวมระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 270 กิโลเมตร
จุดพักแรกของเราคือร้านกาแฟ ณ จุดพักรถมอเตอร์เวย์ เพื่อให้ร่างกายได้ตื่นตัว ก่อนที่จะไปเริ่มกิจกรรมของวันกัน จากนั้นแวะทานอาหารกลางวัน ณ ร้านบ้านต้นไม้ จังหวัดระยอง ภายใต้บรรยากาศร่มรื่น ก่อนที่จะมุ่งหน้าสู่ท่าเรือขลุง เพื่อเดินทางสู่จุดหมายปลายทางในวันนี้ “หมู่บ้านไร้แผ่นดิน” โดยเรือหางยาวขนาดใหญ่ ที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 15 – 20 ท่าน และเราจะใช้เวลาเดินทางไปยังหมู่บ้านที่หมายของคืนนี้ราว 30 นาที
เมื่อเราถึงท่าเรือขลุง แม้ว่าฝนจะโปรยปรายมาตลอดเส้นทาง ก็ยังสัมผัสได้ถึงความงดงามของธรรมชาติโดยรอบ ป่าโกงกางที่ขึ้นทอดยาว ราวกับเป็นกำแพงเมือง พร้อมกับพื้นที่เหนือพื้นน้ำในบางช่วง เราจะเห็นว่ามีขวดน้ำลอยอยู่เต็มพื้นที่ เป็นระยะทางยาวพอสมควร สอบถามจากคนขับเรือแล้วได้ความว่า เป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านใช้เลี้ยงหอยนางรม เรานั่งมองน้ำทะเลกระเซ็นขึ้นมาจากข้างกาบเรือไม่นานนัก ก็ถึงหมู่บ้านไร้แผ่นดิน จุดหมายของทริป
“หมู่บ้านไร้แผ่นดิน” หรือ หมู่บ้านปากน้ำเวฬุ เป็นหมู่บ้านที่มีความเป็นมายาวนานกว่าร้อยปี เดิมเคยเรียกกันว่า “บ้านโรงไม้” ที่ได้ชื่อว่าบ้านโรงไม้นั้น เมื่ออ่านจากประวัติก็ทราบว่า ราวปี พ.ศ. 2410 ชาวจีนที่เดินทางอพยพเข้ามาในไทย ทำการค้าขายติดต่อไปถึงกรุงเทพฯ เมื่อผ่านมาที่จันทบุรีได้นำเรือมาหลบลมในบริเวณลุ่มน้ำเวฬุ และเห็นว่าเป็นบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางทะเล มีสัตว์น้ำมากมาย จึงได้ทำการประมง จนกลายเป็นอาชีพ
ต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อจากบ้านโรงไม้ เป็น “หมู่บ้านไร้แผ่นดิน” โดยคำว่า “ไร้แผ่นดิน” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงผู้อพยพที่ไร้สัญชาติ หรือผู้ที่ไม่มีที่อยู่อาศัย แต่เป็นการเรียกเพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะการอยู่อาศัยของชุมชน แต่ตอกเสาสร้างบ้านอยู่กันตรงดินเลน ตามแนวป่าชายเลน โดยมีน้ำล้อมรอบ ปัจจุบันมีประชากรที่อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านไร้แผ่นดินจำนวนมากกว่า 1,000 คน เกือบ 500 หลังคาเรือน มีวัด ศาลเจ้า โรงเรียน เรียกว่าเหมือนเมืองเมืองหนึ่ง ไม่ใช่แค่หมู่บ้าน
คืนนี้คณะสื่อมวลชนพักค้างคืนกันที่ “มุมทะเลจันท์” เป็นโฮมสเตย์ เราถึงที่พักกันก็บ่ายแก่ๆ ทำให้ไม่มีเวลานั่งแช่นานเท่าไหร่นัก เพราะฝนปรอยๆ แบบนี้ เกรงว่าเหยี่ยวแดงจะหมดไว เลยต้องรีบเปลี่ยนชุดพร้อมเปียก ลงแพไม้เพื่อล่องไปชมเหยี่ยวแดงสัตว์ที่หาชมได้ยากในปัจจุบัน ที่เป็นเวิ้งกว้าง ริมป่าโกงกางที่อาศัยของฝูงเหยี่ยวแดง ก่อนจะขยับไปยัง “ทะเลแหวกบางชัน” สิ่งมหัศจรรย์ของธรรมชาติแห่งเดียวในภาคตะวันออก ที่เกิดขึ้นบริเวณปากแม่น้ำเวฬุก่อนที่จะไหลออกสู่ทะเล พอน้ำเริ่มลด ก็จะทำให้เห็นเนินสันทรายโผล่ขึ้นมา ทอดยาวอยู่กลางทะเล ทรายที่นี่จะไม่เหมือนกับทะเลแหวกทางภาคใต้ ตรงที่เนินทรายจะมีบางส่วนเป็นทรายสีดำ โดยไม่ได้เกิดจากสิ่งสกปรกมาทับถม แต่เป็นเม็ดทรายที่มีเนื้อทรายสีดำ บนเนินทราย นักท่องเที่ยวสามารถลงจากแพไปเดินเล่นกลางน้ำได้ หรือจะพายเรือคะยักเล่น ก่อนที่แพจะหันหลังกลับมายังโฮมสเตย์อีกครั้ง เพื่ออาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ร่วมทานอาหารค่ำ ที่เต็มไปด้วยอาหารทะเล ที่มีไฮไลท์เด็ดเป็นปูตัวโตสด หวาน ที่สามารถสั่งได้ไม่อั้นจนถึงเวลาสองทุ่ม เมื่ออิ่มหนำเต็มที่แล้ว ทางทีมงานฮุนไดก็เตรียมกิจกรรมให้คุณได้ร่วมสนุก พร้อมมอบของรางวัลมากมายให้กับสื่อมวลชน หลังจากนั้นก็เป็นชั่วโมงสันทนาการ ร้อง เต้น ร่วมสนุกกันจนดึก แล้วจึงแยกย้ายเข้านอน
วันที่สองบอกลาความเรียบง่าย ฮุนไดพร้อมพาสื่อมวลชนมุ่งหน้าสู่ “ชุมชนริมน้ำจันทบูร” เรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำจันทบุรี ซึ่งไฮไลท์ของชุมชน คือ “บ้านเลขที่ 69” เจ้าของในอดีตคือรองอำมาตย์ตรีขุนอนุสรสมบัติ ผู้ช่วยคลังมณฑลจันทบุรี บ้านหลังนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2476 ซึ่งปัจจุบันได้รับการดัดแปลงมาเป็น ศูนย์เรียนรู้ชุมชน ชุมชนริมน้ำจันทบูร ก่อนเดินทางต่อเพื่อไปทานอาหารกลางวัน ณ ร้านจันทรโภชนา เพื่อทานอาหารท้องถิ่นเลื่องชื่อที่ใช้วัตถุดิบที่มีเฉพาะจังหวัดนี้ ไม่ว่าจะเป็นใบชะมวง กระวาน หรือแม้แต่ทุเรียน จบทริปในจังหวัดนี้ด้วยการแวะชมและชิมผลไม้ ที่สวนผลไม้ “บ้านสวนลุงฉลวย” ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร
ทริปนี้สื่อมวลชนได้ขับรถยนต์อเนกประสงค์ทั้ง 2 รุ่น ในเส้นทางรวมทั้งสิ้น 540 กิโลเมตร ผู้ขับสามารถใช้กล้อง Smart View System ที่แสดงภาพ ในมุมมองแบบ 360 องศา ส่วนผู้โดยสารในรถยนต์ทั้งสองรุ่นนี้สามารถพูดคุยในห้องโดยสารที่กว้าง ทั้งในแบบ 7 ที่นั่งในแกรนด์ สตาร์เร็กซ์ หรือ 11 ที่นั่งในเอช วัน ที่สำคัญหากเจอสภาพการจราจรที่ไม่เอื้ออำนวย ผู้โดยสารยังสามารถพบความบันเทิงได้จากอุปกรณ์เพื่ออำนวยความสะดวกและตอบรับความบันเทิงได้เต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นจอภาพ LCD ติดเพดานขนาด 13.3 นิ้ว มาพร้อมระบบพับไฟฟ้า เชื่อมต่อกับเครื่องเล่น DVD จากด้านหน้า (ในรุ่น แกรนด์ สตาร์เร็กซ์ พรีเมียมและ เอช-วัน เดอลุกซ์) จอภาพ LCD ขนาด 22 นิ้ว แบบ Full HD สามารถปรับ ขึ้น-ลง ด้วยระบบไฟฟ้าที่เคาน์เตอร์ (เฉพาะรุ่น แกนด์ สตาร์เร็กซ์ วีไอพี) และเมื่อถึงที่หมาย ผู้โดยสารด้านหลังสามารถขึ้น-ลงจากรถทั้งสองฝั่งได้อย่างง่ายดาย ด้วยประตูบานเลื่อนแบบไฟฟ้าที่ควบคุมได้ทั้งจากที่นั่งคนขับหรือจากรีโมท คอนโทรล
เรียกได้ว่าทริป “ฮุนได พาไปชิลล์ กินปู ดูเหยี่ยว เที่ยวจันทบูร สัมผัสเมืองสุดฮิปส์” เป็นทริปที่ช่วยมอบประสบการณ์การขับขี่เพื่อการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ที่ผู้ใช้งานสามารถสัมผัสถึงอรรถประโยชน์ของรถยนต์อเนกประสงค์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทย พร้อมทั้งได้เรียนรู้ในย่านท่องเที่ยวอันถือเป็นแหล่งคลังความรู้ที่เราอาจจะลืมเลือนหรือไม่เคยสัมผัสมาก่อน ณ เมืองน่าเที่ยวอย่าง “จันทบูร” ดินแดนที่ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติ และวิถีชีวิตที่น่าชื่นชม
เรื่อง : สัญชวัล จินดารัศมี
ภาพ : Chubby Driver และ PR
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th