ในปัจจุบันกลุ่มผู้ใช้รถ ใช้ถนนต่างหันมาให้ความสนใจกับ รถยนต์ กระบะ กันมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลที่ว่า แกร่ง อึด ทน และใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ และหนึ่งในรถยนต์ปิกอัพที่น่าสนใจ และถือเป็นการเปิดมิติใหม่นั่นก็คือ รถยนต์ของบริษัท Volkswagen อย่างรุ่น Amarok ซึ่งมีความหมายว่า “หมาป่า” ในภาษา Inuit ที่ได้ทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2552 ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ดุดันเฉกเช่นชื่อรุ่น ก็ทำให้รถยนต์รุ่นดังกล่าวได้รับความนิยมเสมอมา สำหรับผู้ขับขี่ที่มีความสนใจ และต้องการที่จะเล่นรถแบรนด์นี้ ก็ไปทำความเข้าใจให้มากยิ่งขึ้น พร้อม ๆ กันเลย

วิวัฒนาการของ รถยนต์ กระบะ Volkswagen รุ่น Amarok

Volkswagen ได้จับมือร่วมกับ Ford เพื่อทำการพัฒนา รถยนต์ กระบะ ด้วยการใช้วิศวกรรมร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง รวมไปถึงช่วงล่าง และในปัจจุบันรถยนต์รุ่น Amorok ก็ได้ประสบความสำเร็จในแถบทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ Volkswagen ยังได้วางแผนในการใช้โรงงาน Silverton ในประเทศแอฟริกาใต้ เพื่อเป็นฐานการผลิต และส่งออกจัดจำหน่ายทั่วโลก และทางผู้บริหารยังได้กล่าวอีกว่า รถ Amarok รุ่นต่อไป จะถูกพัฒนา และต่อยอดบนพื้นฐานงานวิศวกรรมร่วมกันกับ Ford Ranger แต่ทว่าในส่วนของรูปลักษณ์ภายนอก และภายใน จะมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

เหนือสิ่งอื่นใด Volkswagen และ Ford ยังได้ลงนามข้อตกลงกันอย่างเป็นทางการ สำหรับการแบ่งปันเทคโนโลยีต่าง ๆ ร่วมกัน โดยทางบริษัท Ford จะหยิบยืมโครงสร้างแพลตฟอร์ม MEB เพื่อใช้สำหรับพัฒนาพลังงานไฟฟ้า และตัวถึง Caddy เพื่อใช้สำหรับสร้างรถ CT Van รุ่นใหม่ ในทางกลับกันทางบริษัท Ford ก็ได้ส่งมอบเทคโนโลยีระบบขับขี่อัตโนมัติ รวมไปถึงโครงสร้างรถแวน เพื่อใช้สำหรับบรรทุกสินค้า ที่มีขนาดมากถึง 1 ตัน ให้แก่บริษัท Volkswagen ด้วย

และในส่วนของเทคโนโลยีระบบขับขี่อัตโนมัติ ทาง Volkswagen และ Ford จะทำงานร่วมกันกับบริษัท Argo AI เนื่องจากสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทั้งสองบริษัทจะได้รับ จากการทำงานร่วมกันนั่นก็คือ การใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มเดียวกันนั่นเอง และในขณะเดียวกัน ทั้งสองบริษัทก็จะทำการปรับใช้จุดแข็งต่าง ๆ มาใช้สำหรับพัฒนารถยนต์ให้มีประสิทธิภาพอย่างถึงที่สุด โดยจะอยู่ภายใต้แบบแผนที่กำหนดเอาไว้ร่วมกันตั้งแต่ต้น

เครื่องยนต์ และการออกแบบใหม่ ของ รถยนต์ กระบะ Volkswagen รุ่น Amarok

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ในประเทศไทยได้มีการนำเอา รถยนต์ กระบะ Volkswagen รุ่น Amarok เข้ามาจัดจำหน่ายเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ.2556 ที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 177 แรงม้า แรงบิดที่ 42.88 นิวตันเมตร ที่ 1,500-2,250 รอบต่อนาที ประกอบกับมีระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ ZF 8 จังหวะ ถือเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่ได้นำเอาเทคโนโลยีจากรถยนต์ระดับพรีเมียมมาใช้กับรถปิกอัพ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4 Motion ที่ได้ทำการผสมผสานเข้ากับระบบ ABS, ESP, Differential Lock แบบไฟฟ้า ประกอบกับระบบกันสั่นสะเทือน ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการขับเคลื่อนรถยนต์ได้อย่างอิสระ ซึ่งมีราคาจัดจำหน่ายอยู่ที่ 1.89 ล้านบาท

ในส่วนของรูปลักษณ์ภายนอก ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้า ไฟหน้าโคมเดิมแบบ bi-xenon พร้อมชุดไฟ LED ใหม่ ไม่ว่าจะจะเป็นไฟ DRL ไฟส่องป้ายทะเบียน รวมถึงไฟส่องสว่างด้านข้างตัวรถ นอกจากนี้ในส่วนของกันชน ก็ได้มีการออกแบบใหม่เช่นเดียวกัน ที่มาพร้อมกับล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ที่ช่วยส่งให้ตัวรถยนต์มีความโดดเด่น ไม่เหมือนใคร

สำหรับการออกแบบรูปลักษณ์ภายใน ของรถยนต์ Volksagen รุ่น Amarok ก็ได้มีการปรับแต่งแผงหน้าปัดด้านหน้าใหม่ทั้งหมด โดยออกแบบให้มีรูปแบบที่ไฉไล และหรูหรามากกว่าเดิม ประกอบกับตกแต่งภายในรอบคัน ด้วยหนังแท้ ที่เสริมทับด้วยอะลูมิเนียม ที่ให้ความรู้สึกดุดัน และหรูหราไปพร้อม ๆ กัน พวงมาลัยแบบ 4 ก้าน ที่ติดตั้งปุ่มควบคุม รวมถึงระบบปรับเปลี่ยนเกียร์ ระบบควบคุมเครื่องเสียง โทรศัพท์บลูทูธ และระบบปรับตั้งความเร็วคงที่ ขณะเดินทางไกลได้อย่างลงตัว ในส่วนของเบาะที่นั่งคู่หน้า ก็สามารถปรับด้วยระบบไฟฟ้า ได้ถึง 14 ทิศทาง ด้วยการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ ที่พร้อมส่งมอบความสะดวกสบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้คอนโซลตรงกลางยังได้มีการติดตั้งจอมอนิเตอร์ แบบมัลติฟังก์ชัน 3 มิติ พร้อมกับระบบสั่งการแบบสัมผัส ที่สามารถรองรับ Apple Connect, Guode&Inform หรือ Car-Net และวิทยุดิจิตอล แบบ DAB เรียกได้ว่า รถยนต์ กระบะ Volkswagen รุ่น Amarok ค่อนข้างตอบโจทย์ตามความต้องการ และมอบความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่ และผู้โดยสารทุกที่นั่ง อย่างเต็มประสิทธิภาพเลยทีเดียว

จากบทความที่เพิ่งกล่าวไปเมื่อข้างต้น อาจจะเป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่ทางบริษัท Volkswagen ไม่ได้เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างจริงจังเท่าไหร่นัก แต่ในท้ายที่สุด ประเทศไทยก็ได้นำ รถยนต์ กระบะ รุ่น Amarok เข้ามาจัดจำหน่ายอย่างเงียบ ๆ และได้รับความนิยมในกลุ่มคนที่ชื่นชอบรถยนต์แบรนด์นี้เป็นอย่างมาก หากเทียบสมรรถนะของตัวรถยนต์ กับราคาที่ต้องจ่ายแล้วนั้น ถือว่ามีความคุ้มค่าเป็นอย่างมาก หากท่านใดที่ได้รถยนต์รุ่นดังกล่าวไปครอบครอง ก็จะถือว่าเป็นการเปิดมิติใหม่ของการขับเคลื่อนรถยนต์ ที่แปลกใหม่ เท่ และสะดุดตาแก่ผู้พบเห็นได้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว ประกอบกับมีระบบความปลอดภัยที่ไม่เป็นสองรองใคร ทำให้ทุกท่านเกิดความมั่นใจได้ตลอดการเดินทาง ไม่ว่าถนนเส้นนั้นจะเป็นลักษณ์เช่นใดก็ตาม

เรื่อง : กองบรรณาธิการ

เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE

ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th