เปิดประสบการณ์สุดขั้วโลก ไซบีเรีย-มอสโก ตอนที่4
เช้าวันที่ 5 ของการเดินทาง แสงแดดยังคงขี้อายไม่ยอมออกมาให้เราได้สัมผัสไออุ่น มีเพียงแต่อากาศที่หนาวเหน็บระดับติดลบที่ออกมาตอนรับรอส่งคณะคาราวานของเราแต่เช้าตรู ที่เมือง Yekaterinburg แห่งนี้ก็เช่นกัน ตื่นอาบน้ำล้างหน้า เก็บของทานข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อย เดินออกไปที่รถสิ่งที่เห็นคือน้ำแข็งเกาะเต็มรถไปหมดเลย กระจกหน้า ข้าง และหลังเต็มไปด้วยน้ำแข็ง ทำยังไงดีไม่ยากครับ อย่าเปิดที่ปัดน้ำฝนนะครับไม่ได้ช่วยอะไรได้เลยแค่พอขูดเกร็ดน้ำแข็งไว้ทำบิงชูพอได้ แค่เปิดไล่ฝ้าปล่อยทิ้งไว้ซักพักก็เริ่มละลายหน้าไปเอง นี่เป็นเทคนิคเล็กๆน้อยๆเวลาเราขับรถในอากาศหนาวสุดขั้วขนาดนี้ ซึ่งผมก็เพิ่งเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงเหมือนกัน
รอซักพักพอฝ้าหน้ารถละลาย พร้อมออกเดินทางวันนี้เราเดินทางแค่ 360 กิโลเมตรเท่านั้นสบายมากชิลล์ๆ ครับ คาราวานของเราเลยมีเวลาแวะเที่ยวสถานที่ที่สำคัญของเมือง Yekaterinburg แห่งนี้กันในครึ่งวันเช้า เมืองแห่งนี้นับว่าเป็นเมืองที่สำคัญมากของประเทศรัสเซีย เพราะนอกจากจะเป็นบ้านเกิดของประธานาธิบดีเยลต์ซิน ประธานนาธิบดีคนแรกของสหพันธรัฐรัสเซีย แล้วยังเป็นเมืองที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของรัสเซีย เพราะเมืองนี้เป็นสถานที่ปลงพระชนต์ ซาร์นิโคลัสที่2 หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์บอลเชวิคปฎิวัติยึดอำนาจในปี 1917 ได้นำพระเจ้าซาร์ พระชายา พระโอรสพระธิดา ไปคุมขังตามสถานที่ต่างๆหลายแห่ง ก่อนย้ายไปเมือง Yekaterinburg (เอกาเตรินเบิร์ก)ในเดือนมิถุนายน ปี 1917
โดยคุมขังไว้ภายในบ้านอิฐซึ่งเคยเป็นของนักธุรกิจท้องถิ่นชื่อ อีปาเตียฟ บ้านนี้เลยชื่อว่า บ้านอีปาเตียฟ หลังจากนั้นได้ทำการสังหารราชวงค์ทุกพระองค์ พร้อมผู้ติดตามโดยยิงอย่างโหดเหี้ยม และนำศพไปทิ้งไว้ในป่าแถวนั้น นับจากนั้นระบอบกษัตริย์ของรัสเซียก็สิ้นสุดลง ปัจจุบันพื้นที่บ้านอีปาเตียฟ ถูกสร้างเป็นโบสถ์ Church on the Blood โบสถ์อนุสรณ์บนโลหิตของผู้ศักดิ์สิทธิ์ เราได้มาเยี่ยมชมและเรียนรู้ประวัติคร่าวของโบสถ์แห่งนี้เป็นที่แรก นับว่าเป็นสถานที่ที่สำคัญ และงดงามมาก นับว่าผมโชคดีมากครับที่ได้มาเพราะที่แห่งนี้ชาวไทยน้อยคนจะได้มาสัมผัสครับ
จากนั้นขับรถออกจากเมืองมุ่งหน้าสู่เมือง Perm เมืองนี้เป็นเมืองแรกของฝั่งทวีปยุโรป ว๊าวๆวันนี้เราจะข้ามไปยุโรปกันแล้ว ขับออกจากเมืองมาไม่นาน พี่ตำรวจเจ้าเก่ามาอีกแล้วจร้าแซงทับเส้นทึบอีกแล้ว! แหมม การแซงบางจังหวะก็เข้าไม่ทันจริงๆ แต่ก็ยอมรับผิดนะครับ ปรับประมาณ 2,500 รูเบิล หรือประมาณ 1,200 กว่าบาทแพงเอาเรื่องนะครับโดนบ่อยๆ จนแน่นอน เราเลยลดความเร็วลง และไม่พยายามแซงตอนมีเส้นทึบ พวกเราจอดแวะพักริมทางซึ่งเป็นจุดไฮไลซ์ที่มีเส้นแบ่งเขตทวีป เพียงแค่เดินข้ามเส้นนี้นับได้ว่าคุณถึงยุโรปแล้ว
คาราวาน “มาสด้า เปิดประสบการณ์สุดขั้วโลก” ใช้เวลาตรงนี้มากหน่อยเพราะแต่ละคนอยากถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ก่อนออกเดินทางกันต่อกับสภาพอากาศที่ดีขึ้น ไม่มีหิมะตกตลอดวัน ถนนมีสภาพเปลี่ยนไปเริ่มมีหลุมบ่อบ้าง ต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น ส่วนใหญ่เวลาแซงมักจะเจอกับรถบรรทุกพ่วงที่มีขนาดใหญ่กว่าบ้านเราเยอะ ระดับออฟติมัสในหนังทรานฟอร์เมอร์ทั้งนั้น เจ้าคอมแพคเอสยูวีของเราคงจะไม่ไหวถ้าจะวัดกัน แต่ถ้าเรื่องกำลังอัตราเร่งแซงละก็ผ่านสบาย
ผมสังเกตุได้ว่าพอขับไปซักพักทางหลวงของรัสเซียจะมีจุดแซงเป็นระยะเพื่อให้รถวิ่งช้าหลบข้างทางได้ ซึ่งพี่ๆ สิงห์รถบรรทุกที่นี่ขับรถใจเย็นและมีน้ำใจงดงามมากเปิดให้ขบวนของเราแซงถ้ามีโอกาส และเราต้องไม่ลืมมารยาทการขับรถของรัสเซียเปิดไฟฉุกเฉินสัก 2 ทีเพื่อเป็นการขอบคุณ (ตามที่ไกด์แจ้งมา) การแซงแต่ละครั้งยากหน่อยเพราะเราเป็นรถพวงมาลัยขวา และวิ่งบนถนนที่ชิดคนละด้านกับไทยมันมองไม่เห็นรถสวนได้ง่ายมักต้องใช้เนวิเกเตอร์คอยช่วงเพื่อความปลอดภัย วันนี้ต้องแบกท้องเพราะมีหลายเหตุการต้องหยุดขบวนจนมาพักทานอาหารกลางวันตอนบ่ายสองโมง ซึ่งผมต้องร้องว๊าว บางคนร้องยี้ ที่พูดแบบนี้เพราะมันเป็นร้านอาหารตามสั่งแบบมีกับข้าวให้เราเลือกตักราดหน้า แล้วยกมาคิดเงิน เป็นการเข้าถึงวัฒนธรรมคนรัสเซียได้ดีกับอาหารการกิน นี่แหละอาหารของคนขับรถบรรทุกไซบีเรียรัสเซียเหมือนในสารคดีเปี๊ยบ ส่วนบางคนเริ่มโหยหาอาหารไทยจะลำบากสักนิด เพราะมันไม่ถูกปากต้องเพิ่งน้ำพริกสำเร็จรูปกับข้าวที่ทีมงานเตรียมมาหุ้งกันสดๆ หลังรถมาสด้า BT-50 เช่นเคย
หลังท้องอิ่มเราก็ออกเดินทางกนต่อเลย ถนนยังคงเป็นเส้นตรงไม่เรียบเท่าไหร่เป็นหลุมเป็นบ่อบ้าง แต่ต้องขอชมช่วงล่างของเจ้ามาสด้า CX-3 สกายแอคทีฟคันนี้จริงๆครับเพราะขนาดบางจังหวะถนนเป็นหลุมหลบไม่ทันลงไปเต็มๆแต่ช่วงล่างก็สามารถดูดซับแรงกระแทกได้ดี วิ่งรูดหลุมบ่อของถนนไปอยากสบาย วิ่งทางตรงยาวๆยังคงให้ความนุ่มนวล เค้าโค้งไม่อย่างมั่นใจ แน่น หนึบ ขับไปซักระยะแวะเติมน้ำมันกันซะหน่อย แล้วก็เติมน้ำฉีดกระจกด้วยแต่ๆไม่ใช่เติมน้ำธรรมดานะครับ เพราะสภาพอากาศติดลบขนาดนี้น้ำธรรมดาเติมไปเป็นน้ำแข็งหมดเลยจร้า มันต้องเป็นน้ำยาพิเศษผมจำชื่อไม่ได้จริงๆ แต่มีขายตามปั๊มทั่วไปสามรถทนอุณหภูมิได้ถึง -30 สุดยอดเลย หลายท่านอาจจะไม่เชื่อว่าน้ำฉีดกระจกจะสำคัญสำหรับการขับรถขนาดนั้นเลยหรอ บอกเลยว่าสำคัญมากเพราะเวลาเราขับผ่านพายุหิมะ หรือโครนที่รถคันหน้าดีดใสมันมองไม่เห็นทางจริงๆครับต้องคอยฉีดไล่คราบขี้โครนคราบหิมะตลอดเวลาเพื่อทัศนะวิสัยที่ดี เติมน้ำมันเติมน้ำยาฉีดกระจกเรียบร้อย
ออกสตาร์ทกันต่อเหลือระยะทางอีกเพียงหนึ่งชั่วโมงเราก็มาถึงเมือง Perm บรรยากาศช่างแตกต่างจากสามเมืองก่อนอย่างมาก เชื่อไหมว่ามันคนละสไตล์กันเลยเหมือนคนละประเทศ การจราจรหนาแน่น ถนนเริ่มใหญ่ขึ้นทำให้ต้องเร่งตามขบวนให้ทัน เพราะถ้าคลาดกันจะทำให้เสียเวลารอ ช่วงนี้เลยได้สัมผัสถึงสรรถนะของเครื่องยนต์สกายแอคทีฟกันแบบเต็มๆ ขับสนุกมากพูดเลย
เริ่มเข้าเขตเมืองการจราจรหนาแน่น รถที่ใช้บนท้องถนนก็เริ่มเยอะ แต่เจ้ามาสด้า CX-3 สกายแอคทีฟของเราก็สามารถพาเราลัดเลาะไปตามช่องว่างขอการจราจรที่ติดขัดได้อย่างคล่องตัว เมืองนี้เป็นเมืองไม่ใหญ่มาก บ้านเรือนผู้คนดูน่ารัก น่าอยู่มากครับ
แต่จุดสำคัญคือมันเป็นเมืองแรกที่อยู่ในเขตของโซนยุโรป จนมาถึงโรงแรมที่พักของเรา และในวันพรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกันแต่เช้าเพราะเราจะเดินทางกัน 690 กิโลเมตร ยาวอีกแล้วจร้า ไปรอลุ้นกันว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรเดี๋ยวจะมารายงานให้ฟังกันครับ
เรื่อง: ณัฐพล เดชสิงห์
ภาพ : ณัฐพล จีระมงคลกุล
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th