ไฮไลท์ 4 รุ่นเด่นค่าย BMW ลุยตลาดรถหรูเต็มสูบ
หลังจากที่มีการแถลงนโยบายประจำปีของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย อย่างเป็นทางการ จะต้องมีการเผยโฉมรถรุ่นใหม่ที่เตรียมทำตลาดในปีนี้ โดยในช่วงไตรมาสแรกนี้จะได้พบกับ 4 รุ่นสุดเด่นที่จะต้องร้องว้าวกันเลยทีเดียว
เริ่มต้นกันกับ บีเอ็มดับเบิลยู 320d Sport ใหม่ ราคาจำหน่าย: 2,959,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard) และบีเอ็มดับเบิลยู 330i M Sport ใหม่ ราคาจำหน่าย: 3,359,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)
ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 ได้พิสูจน์ถึงความเป็นที่สุดแห่งยนตรกรรม หรือ “Ultimate Driving Machine” ด้วยเอกลักษณ์ดีไซน์ที่ทันสมัย สมรรถนะที่ปราดเปรียว ประสิทธิภาพการขับขี่เหนือระดับ รวมถึงนวัตกรรมล้ำยุค ที่ครองใจแฟน ๆ มาทุกยุคทุกสมัย จนมาสู่รุ่นล่าสุดกับ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 โฉมใหม่ ที่กลับมาอีกครั้งในเจเนอเรชั่นที่ 7 กับการพัฒนาทั้งในด้านดีไซน์ ระบบช่วงล่าง เครื่องยนต์ และเทคโนโลยีการขับขี่ เพื่อมอบประสบการณ์ที่เหนือระดับยิ่งขึ้น อันเป็นหัวใจสำคัญของบีเอ็มดับเบิลยู
บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 โฉมใหม่ มาในดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวสะดุดตา ตอกย้ำความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ด้วยเส้นสายที่แข็งแกร่งและคมชัด ด้านหน้าของตัวรถมาในรูปลักษณ์ที่ดุดันยิ่งขึ้นด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่ขึ้นในกรอบที่เชื่อมกับไฟหน้าคู่ LED ทรงเรียวยาวดีไซน์ใหม่ล่าสุด รับกับช่องดักอากาศรูปทรง T เพิ่มความโดดเด่นให้แก่ด้านหน้าของรถ ด้านข้างของตัวรถโดดเด่นด้วยกรอบหน้าต่างดีไซน์แบบ Hofmeister Kink อันเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยูที่ได้รับการออกแบบให้เป็นหนึ่งเดียวกับเสา C-pillar มอบมิติไร้ขอบหรูหรายิ่งขึ้น พร้อมด้วยไฟท้ายดีไซน์ใหม่เรียวยิ่งขึ้นในรูปทรง L แนวนอนสีหม่นแบบสามมิติ และ
ท่อไอเสียแบบคู่ให้ท้ายรถดูกว้างและสปอร์ตกว่าเดิม
การออกแบบโครงสร้างและเทคโนโลยีแชสซีใหม่ล่าสุดในบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 มอบการควบคุมที่เฉียบคมและปราดเปรียวยิ่งขึ้น ผสมผสานทั้งความสปอร์ตและความนุ่มสบายไว้ได้อย่างลงตัว พร้อมด้วยประสิทธิภาพของชุดเบรกที่เหนือชั้น จุดศูนย์ถ่วงต่ำ และการกระจายน้ำหนักแบบ 50:50 นอกจากนี้ ตัวรถยังมีน้ำหนักที่เบาลงกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 55 กิโลกรัม จากการใช้วัสดุอลูมิเนียมในชิ้นส่วนและโครงสร้างต่าง ๆ เช่น กระโปรงและกันชนหน้า ส่วนการออกแบบด้านอากาศพลศาสตร์ในบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 ใหม่ช่วยเสริมสมรรถนะการขับขี่ด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศต่ำถึง 0.26 ลดลง 0.03 จากรุ่นก่อนหน้า ทั้งจากระบบ Active Air Flap แผ่นปิดด้านในกระจังหน้าไตคู่เจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด และการจัดระเบียบทิศทางการไหลของอากาศผ่าน Air Curtains ที่ช่วยลดแรงเสียดทานอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 ใหม่ ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีขับเคลื่อนล่าสุด มอบพละกำลังสูงสุด 140 กิโลวัตต์ / 190 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,750 – 2,500 รอบต่อนาทีจากเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบของบีเอ็มดับเบิลยู 320d Sport สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 6.8 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู 330i M Sport มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ส่งกำลังสูงสุด 190 กิโลวัตต์ / 258 แรงม้าที่ 5,000 – 6,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,550 – 4,400 รอบต่อนาที เร่งความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 5.8 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยทั้งสองรุ่นรองรับระบบ Driving Experience Control ที่มีรูปแบบการขับขี่ให้เลือกทั้งในโหมด COMFORT, SPORT และ ECO PRO
บีเอ็มดับเบิลยู 320d Sport ใหม่ มาพร้อมล้ออัลลอย 18 นิ้วลาย V Spoke และชุดแต่ง BMW Individual high-gloss Shadow Line ด้วยขอบหน้าต่าง ขอบช่องดักอากาศ และซี่บริเวณกระจังหน้าไตคู่สีดำเงาเช่นเดียวกับภายใน ซึ่งตกแต่งด้วยวัสดุอลูมิเนียมลาย Mesheffect พร้อมพวงมาลัยและที่นั่งด้านหน้าแบบสปอร์ต ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู 330i M Sport โดดเด่นด้วยชุดแต่ง M Sport ที่ช่วยเสริมทั้งรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวและสมรรถนะปราดเปรียว ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วงล่าง ชุดเบรก และชุดแอโรไดนามิคส์ แบบ M Sport
ล้ออัลลอย M ขนาด 18 นิ้วลาย Double Spoke และพวงมาลัยหนังแท้ M ภายในตกแต่งด้วยวัสดุอลูมิเนียม Tetragon
ส่วนห้องโดยสารได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงผู้ขับขี่เป็นหัวใจสำคัญ พร้อมแผงหน้าปัดและจอ Control Display ในดีไซน์ใหม่ สะดวกสบายด้วยพื้นที่ด้านหน้าและด้านหลังที่กว้างขวางยิ่งขึ้น รวมถึงพื้นที่จุสัมภาระถึง 480 ลิตร เบาะนั่งสามารถพับได้แบบ 40:20:40 บรรยากาศหรูหราด้วยไฟ ambient light และระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 3 ตอน
ส่วนระบบ BMW Intelligent Personal Assistant ติดตั้งมาเป็นส่วนหนึ่งของระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 7.0 ในบีเอ็มดับเบิลยู 330i M Sport และทำงานประสานเป็นหนึ่งเดียวกับระบบ BMW Live Cockpit Professional ระบบผู้ช่วยส่วนตัวนี้สามารถรับคำสั่งจากเสียงพูดในรูปแบบที่เป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ทั้งยังมาพร้อมกับฟังก์ชั่นอันชาญฉลาดอีกมากมาย สามารถเรียนรู้และจดจำกิจวัตรประจำวันและความชอบส่วนตัวของผู้ขับขี่ได้ ก่อนจะนำมาปรับใช้งานอย่างถูกต้อง แม่นยำ หากผู้ขับขี่รู้สึกว่าอุณหภูมิในตัวรถหนาวเกินไป ก็สามารถพูดออกคำสั่งว่า “Hey BMW, I’m cold” เพื่อให้ระบบ BMW Intelligent Personal Assistant ปรับการทำงานของระบบปรับอากาศให้เหมาะสม ทั้งนี้ บีเอ็มดับเบิลยูได้พัฒนาให้ระบบผู้ช่วยส่วนตัวนี้สามารถอัพเกรดเพื่อเพิ่มเติมคุณสมบัติและรูปแบบการเรียนรู้ใหม่ๆ ได้อีกในอนาคต
นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 ใหม่ ยังมาพร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อย่างระบบช่วยนำรถเข้าที่จอด (Parking Assistant) ในบีเอ็มดับเบิลยู 330i M Sport ระบบเซนเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง (Park Distance Control) ในบีเอ็มดับเบิลยู 320d Sport รวมถึงระบบการเชื่อมต่อ BMW ConnectedDrive เพื่อการเชื่อมต่ออย่างไรขีดจำกัด และระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายในบีเอ็มดับเบิลยู 330i M Sport
บีเอ็มดับเบิลยู Z4 sDrive30i M Sport ใหม่ ราคาจำหน่าย: 3,999,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard) และ บีเอ็มดับเบิลยู Z4 M40i ใหม่ ราคาจำหน่าย: 4,999,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)
รถสปอร์ตโรดสเตอร์สุดคลาสสิก บีเอ็มดับเบิลยู Z4 พร้อมแล้วที่จะกลับมาโลดแล่นอีกครั้งในโฉมใหม่ที่โฉบเฉี่ยวยิ่งกว่า ผสมผสานทั้งรูปลักษณ์ที่สะท้อนทุกชั่วขณะของความเพลิดเพลินบนท้องถนน ทั้งยังเพียบพร้อมด้วยบรรยากาศสุดหรูหราในห้องโดยสาร และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน
งานออกแบบของบีเอ็มดับเบิลยู Z4 ใหม่ ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นโรดสเตอร์พันธุ์แท้ด้วยตัวถังเปิดประทุน แบบสองที่นั่ง พร้อมหลังคาผ้าใบที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้า สามารถเปิด-ปิดได้เพียงปลายนิ้วสัมผัสในเวลาเพียง 10 วินาที และรองรับการเปิด-ปิดขณะขับขี่ได้ที่ความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนกระจังหน้าทรงไตคู่มาในดีไซน์ใหม่แบบตะแกรง เสริมกลิ่นอายความสปอร์ตคู่กันไปกับกระโปรงหน้าทรงยาว ไฟหน้า LED ที่จัดเรียงในแนวตั้ง และช่องรับลมขนาดใหญ่บริเวณซุ้มล้อหน้า ขณะที่ส่วนท้ายรถก็ขับเน้นบุคลิกสุดโฉบเฉี่ยวด้วยสปอยเลอร์ที่ผนึกมาเป็นส่วนหนึ่งของฝากระโปรงท้าย ซึ่งซ่อนพื้นที่เก็บของที่มี
ความจุถึง 281 ลิตร มากกว่าในรุ่นก่อนหน้าถึง 50%
บีเอ็มดับเบิลยู Z4 ใหม่ มีให้เลือกเป็นเจ้าของในสองรุ่น ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู Z4 sDrive30i M Sport ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ให้พละกำลังสูงสุด 190 กิโลวัตต์/ 258 แรงม้า และเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 5.4 วินาที ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู Z4 M40i เสริมความแรงด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบที่ส่งพลังถึง 250 กิโลวัตต์ / 340 แรงม้าลงสู่ล้อหลัง เร่งความเร็ว 0-100 ได้ภายใน 4.5 วินาที ขณะที่ระบบ Driving Experience Control ในทั้งสองรุ่น สามารถปรับแต่งลักษณะการขับขี่ให้ตรงกับทุกความต้องการ นับจากการโลดแล่นบนท้องถนนในวันสบายๆ ในโหมด COMFORT ไปจนถึงความแม่นยำและเฉียบคมสไตล์สปอร์ตในโหมด SPORT และ SPORT+
ทุกสัดส่วนของบีเอ็มดับเบิลยู Z4 ใหม่ได้รับการออกแบบใหม่เพื่อเสริมความคล่องแคล่วและเพรียวลมบนท้องถนน กระจายน้ำหนักสู่ล้อหน้าและล้อหลังที่อัตราส่วน 50:50 โดยบีเอ็มดับเบิลยู Z4 sDrive30i M Sport เสริมความโฉบเฉี่ยวจากทุกมุมมองด้วยชุดแต่ง M Sport รอบคัน เบาะนั่งหนังแท้ Vernasca พวงมาลัยหนังแท้ และห้องโดยสารที่ตกแต่งด้วยชุดแต่ง Quartz Silver ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู Z4 M40i เติมความดุดันด้วยระบบช่วงล่างสมรรถนะสูง Adaptive M Suspension ระบบเบรก M Sport เบาะนั่ง
M Sport หนังแท้ Vernasca พร้อมพวงมาลัยหนังแท้ดีไซน์ M และเข็มขัดนิรภัยลาย M แผงคอนโซลวัสดุ Sensatec และชุดเครื่องเสียงแบบเซอร์ราวด์จาก Harman Kardon
ส่วนระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ในบีเอ็มดับเบิลยู Z4 ใหม่ ครบครันกว่ารถสปอร์ตโรดสเตอร์รุ่นไหนๆ เพื่อความปลอดภัยและมั่นใจบนทุกเส้นทาง ขณะที่ระบบ BMW Live Cockpit Professional มาพร้อมกับแผงหน้าปัดแบบดิจิทัลล้วน และหน้าจอทัชสกรีนขนาด 10.25 นิ้วที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 7.0 ซึ่งรองรับการปรับแต่งทุกคุณสมบัติให้เข้ากับการใช้งานจริงของผู้ขับขี่ และทำงานประสานเป็นหนึ่งกับบริการ BMW ConnectedDrive เพื่ออำนวยความสะดวกในทุกจังหวะ ทั้งยังรองรับการอัพเดทซอฟต์แวร์เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในอนาคต นอกจากนี้ ทั้งบีเอ็มดับเบิลยู Z4 sDrive30i M Sport ใหม่ และบีเอ็มดับเบิลยู Z4 M40i ใหม่ ยังรองรับระบบผู้ช่วยส่วนตัว BMW Intelligent Personal Assistant ที่มาพร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง เพื่อความสะดวกสบายของผู้ขับขี่มากยิ่งขึ้น
มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ รุ่นฉลองครบรอบ 60 ปี (60 Years Edition) ยังไม่ประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
ปี 2562 นี้ นับเป็นปีที่ 60 แห่งประวัติศาสตร์ที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ของมินิ รถยนต์สัญชาติอังกฤษที่ครองใจแฟน ๆ ทั่วโลก และเพื่อเริ่มต้นศักราชแห่งการเฉลิมฉลองนี้ มินิได้เปิดตัวรถยนต์รุ่นพิเศษ มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ รุ่นฉลองครบรอบ 60 ปี ที่มาในดีไซน์สุดคลาสสิก ตามสไตล์มินิแบบเรโทรที่เฉพาะตัวไม่ซ้ำใคร
ดีไซน์ภายนอกของ มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ รุ่นฉลองครบรอบ 60 ปี มาในสี British Racing Green สะดุดตา ตัดขอบสีดำ Piano Black พร้อมด้วยหลังคาและที่ครอบกระจกสีดำ รอบคันโดดเด่นด้วยสัญลักษณ์ 60 ปี ตกแต่งเส้นสายบนฝากระโปรงหน้าด้านซ้าย กรอบไฟเลี้ยวด้านข้าง รวมถึงไฟ LED ฉายสัญลักษณ์ 60 ปีจากประตูคนขับ นอกจากนี้ ยังสร้างเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครด้วยล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้วในลาย 60 ปี 2 สีสุดพิเศษ และยังคงประกาศตัวตนแห่งสัญชาติอังกฤษด้วยไฟท้าย LED ลายธงยูเนียนแจ็คอันเฉพาะตัวของมินิ
ภายในห้องโดยสารของมินิรุ่นพิเศษนี้ ยังโดดเด่นด้วยการตกแต่งที่ได้รับการออกแบบขึ้นมาเฉพาะเพื่อฉลองครบรอบ 60 ปี โดยมีโลโก้ 60 ปีปรากฏบนพวงมาลัยและบนที่นั่งด้านหน้า ซึ่งเป็นเบาะหนัง MINI Yours Leather Lounge 60 Years สี Dark Maroon ตัดกับตะเข็บสีเขียวเข้ากับสีตัวถังสุดพิเศษนี้
มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ รุ่นฉลองครบรอบ 60 ปี มาพร้อมด้วยขุมพลังเบนซิน 4 สูบ ให้พละกำลังสูงสุด 141 กิโลวัตต์ / 192 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตรที่ 1,350 – 4,600 รอบต่อนาที ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic คลัทช์คู่ 7 จังหวะ ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 235 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลา 6.7 วินาทีสำหรับมินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ 3 ประตู พร้อมด้วยเทคโนโลยีการขับขี่และระบบความปลอดภัยล้ำสมัยเพื่อมอบความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับขี่ในทุกเส้นทาง
บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT ใหม่ ราคาจำหน่าย: 399,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT สมาชิกใหม่ล่าสุดในตระกูลสกู๊ตเตอร์ขนาดกลาง มอบความสะดวกสบายยิ่งขึ้น พร้อมสมรรถนะการขับขี่แบบทัวริ่งในสไตล์แกรน ทัวริสโม ให้เพลิดเพลินทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ระยะใกล้หรือไกล
บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์หนึ่งสูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ มอบพละกำลังสูงสุด 25 กิโลวัตต์ (34 แรงม้า) ที่ 7,500 รอบต่อนาที ทำงานเข้าจังหวะกับระบบเกียร์ CVT และสวิงอาร์มที่ออกแบบมาเพื่อลดแรงสั่นสะเทือนและมอบความนุ่มสบายในขณะขับขี่ ส่วนระบบ Automatic Stability Control (ASC) ก็ช่วยให้ตัวรถมั่นคง ปลอดภัยขณะเร่งความเร็ว แม้บนพื้นถนนที่เปียกและลื่น
นอกจากเฟรมเหล็กกล้าที่มอบความแข็งแกร่งให้กับระบบช่วงล่างเช่นเดียวกับในรุ่นบีเอ็มดับเบิลยู C 400 X แล้ว บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT ยังมาพร้อมโช้คหน้าแบบเทเลสโคปิก โช้คหลังแบบสปริงสตรัทคู่ พร้อมด้วยดิสก์เบรกคู่ที่ล้อหน้า ดิสก์เบรกเดี่ยวที่ล้อหลัง และระบบ ABS เพื่อมอบความปลอดภัยด้วยแรงเบรกแบบเต็มประสิทธิภาพ
บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT โฉบเฉี่ยวด้วยดีไซน์ที่ผสานทั้งความสวยงามและประโยชน์ใช้สอยเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ไฟหน้าคู่ LED สร้างเอกลักษณ์โดดเด่นในสไตล์มอเตอร์ไซค์ตระกูล C พร้อมไฟ LED ส่องสว่างตอนกลางวัน daytime running light และไฟ Control Brake Light ตอกย้ำความเป็นแกรน ทัวริสโมด้วยกระจกบังลมที่ได้รับการออกแบบมาให้สูงกว่าบีเอ็มดับเบิลยู C 400 X และช่องเก็บของแบ่งพื้นที่ภายในเป็นสองส่วนเพื่อความสะดวกสบายและเป็นระเบียบ พร้อมด้วยช่องเก็บหมวกกันน็อก Flexcase ที่พับเก็บอยู่ใต้เบาะแบบตอนเดียว อีกทั้งยังมอบความสะดวกสบายให้แก่ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้วยพนักพิงแยกบนที่นั่งสำหรับผู้ขับขี่ และบอร์ดวางเท้าสำหรับผู้โดยสาร ให้ขับขี่อย่างสะดวกสบายและปลอดภัย ตอบได้ทุกโจทย์ในชีวิตประจำวัน
บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT ล้ำสมัยด้วยหน้าจอสีมัลติฟังก์ชั่น TFT Screen ขนาด 6.5 นิ้ว พร้อมเทคโนโลยีเชื่อมต่อ BMW ConnectedRide และระบบ Keyless Ride โดยมาให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีขาว Alpine White สีเทา Moonwalk Grey Metallic และสีดำ Blackstorm Metallic
เรื่อง: พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th