มีผลการศึกษาใหม่ที่จัดทำโดย Consumer Report ที่พบว่าเทคโนโลยีความปลอดภัยแบบแอคทีฟที่มีอยู่สามารถช่วยลดการเสียชีวิตบนถนนได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ หากการทำงานเหล่านี้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถยนต์ใหม่ทุกคัน

ตามข้อมูลที่ระบุจากการศึกษาของ Consumer Report จะสามารถช่วยรักษาชีวิตคนไว้ได้ถึง 20,000 คนในแต่ละปีหากผู้ผลิตรถยนต์ไม่ทำให้ผู้ซื้อรถต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อการทำงานที่พิสูจน์แล้วว่ามีความสำคัญต่อชีวิต โดย William Wallace ผู้จัดการด้านนโยบายความปลอดภัยของ Consumer Report ได้บอกว่า “แทนที่จะจัดให้มีความปลอดภัยสำหรับทุกคน ผู้ผลิตรถยนต์กลับปล่อยสิ่งนี้ให้เป็นภาระของผู้ที่ศึกษา เข้าใจ และจ่ายแพงกว่าสำหรับการทำงานของรถยนต์ที่ช่วยชีวิตได้ ผลลัพธ์ก็คือต้องใช้เวลานับสิบปีเพื่อให้เทคโนโลยีความปลอดภัยมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถยนต์ใหม่ทุกคัน นโยบายของผู้ผลิตควรเลือกในเส้นทางที่แตกต่างออกไป คือทางที่จะช่วยรักษาชีวิตไว้ได้ตั้งแต่ตอนนี้”

การศึกษานี้ออกมาในขณะที่สหรัฐอเมริกากำลังมีการลงมติ Moving Forward Act ซึ่งเป็นกฏหมายที่รวมหลายๆ เงื่อนไขความปลอดภัยของรถเอาไว้ด้วยกันอย่างการกำหนดให้รถใหม่ทุกคันมีระบบช่วงเลี่ยงการชนเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

“เรากระตุ้นให้สมาชิกสภาทุกคนวางเรื่องความปลอดภัยไว้เป็นสิ่งแรกโดยกำหนดให้มีการทำงานเพื่อช่วยชีวิตมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรถ เทคโนโลยีที่ช่วยลดการเสียชีวิตบนถนนลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งหากบรรดาผู้นำของเราไม่สามารถรับประกันว่าผู้ขับรถจะมีการทำงานเหล่านี้ในรถของตนก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้เรื่องเศร้าจากการสูญเสียบนถนนมีต่อไป” William Wallace กล่าวเพิ่ม

ตามข้อมูลที่ทาง Consumer Report พบก็คืออาจมีจำนวนรวมถึง 11,800 ชีวิตที่สามารถช่วยไว้ได้โดย 4 การทำงานที่มีอยู่ในปัจจุบันคือระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน, ระบบตรวจจับมุมบอด และระบบตรวจจับคนเดินถนน

นอกจากนี้ยังอาจสามารถช่วยรักษาไว้ได้ 1,300 ชีวิตผ่านเทคโนโลยีการสื่อสารระหว่างรถยนต์ด้วยกันหรือ Vehicle-to-Vehicle ขณะที่มีจำนวน 3,700-7,400 ชีวิตที่สามารถช่วยรักษาไว้ได้ด้วยการติดตั้งเทคโนโลยีป้องกันคนเมาขับรถในรถทุกคัน หรืออาจจะใช้ระบบตรวจจับผู้ขับ Driver Monitor แทนก็อาจให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน

เรื่อง: กองบรรณาธิการ

เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE

ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th