กำเงิน 5 แสน จะซื้ออีโคคาร์ หรือ ซิตี้คาร์ ดีนะ !
ถ้าท่านเกิดอยากซื้อรถยนต์ซักคันใช้ขับไปทำงาน ไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้างในวันหยุด ไม่จำเป็นต้องใช้รถคันใหญ่ๆ และมีงบประมาณจำกัดไม่เกิน 5 แสนกว่าบาท หลายๆท่านคงเคยมีปัญหาปวดหัวเลือกไม่ถูกว่าจะซื้อรถยนต์รุ่นใดเซ็กเม้นท์ไหนยี่ห้ออะไรดี จึงจะเหมาะกับการใช้งาน วันนี้เรามาดูว่าในงบประมาณ 5 แสนกว่าๆนี่มันจะซื้อรถยนต์รุ่นไหนได้บ้าง จากงบประมาณ 5 แสนบาท ก็เห็นจะมีแต่อีโคคาร์ และ ตัวเริ่มต้นของ ซิตี้ คาร์ หรือ รถยนต์ประเภท บีเซ็กเม้นท์นี่แหละ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักรถยนต์ทั้ง 2 เซ็กเม้นท์นี้กันก่อนเลยดีกว่า
ECO CAR คำว่า Eco Car ไม่ใช่มาจาก Economy Car หรือรถยนต์ประหยัดพลังงานที่หลายคนเข้าใจนะจ๊ะ แต่มันคือ Ecology Car ซึ่งหมายถึง รถที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก และข้อกำหนดของ อีโคคาร์ บ้านเราจะต้องประหยัดน้ำมันตามกฏเกณฑ์ โดยต้องมีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไม่เกิน 5 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร หรือ น้ำมัน 1 ลิตรวิ่งได้ระยะทาง 20 กิโลเมตร ,รักษาสิ่งแวดล้อมกำหนดให้รถยนต์รุ่นที่จะถูกผลิตขึ้นมาเป็นอีโค่คาร์ ต้องมีการปล่อยมลพิษปลอดภัยระดับ Euro4 คือ มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์น้อยกว่า 120 กรัมต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร เท่านั้น ,ความปลอดภัยจะต้องผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง ตามมามาตรฐานความปลอดภัยของยุโรป (UNECE 94 และ 95) ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยจากการชนด้านหน้าและด้านข้าง ,ต้องเป็นเครื่องยนต์เบนซินมีความจุไม่เกิน 1.3 ลิตร และเครื่องยนต์ดีเซล ที่มีขนาดไม่เกิน 1.4 ลิตร
ดังนั้นถ้ามองรถยนต์อีโคคาร์แล้ว มันไม่ใช่รถยนต์ที่มีราคาถูกไร้คุณภาพตามที่หลายคนเข้าใจ เพราะมันเป็นรถยนต์ที่มีมาตรฐานต่างๆรองรับมากมาย แต่ที่ราคาขายถูกกว่ารถซิตี้ คาร์ หรือ ประเภท บี เซ็กเม้นท์ เพราะมันได้จากการอุดหนุนจากภาครัฐไม่ใช่ต้นทุนต่ำอย่างเข้าใจ เอาแบบอ่านง่ายๆ อีโคคาร์ ก็คือ รถระดับ B-Segment ที่ถูกวางจำหน่ายในฐานะรถพลังงานประหยัดหรืออีโคคาร์ในเมืองไทย ซึ่งรถแนวนี้มักจะมีเครื่องยนต์พิกัด 1.2 ลิตร เช่น Nissan Note,Mitsubishi Mirage,Honda Brio,Suzuki Swift,Toyota Yaris รุ่นปี 2013 เป็นต้น (ตัวอย่างชัดๆ ก็เจ้า Swift และ Yaris มันคือรถที่วางตลาดในตำแหน่ง B-Segment ที่มาก่อน แล้วหลังจากนั้นมีการปรับเครื่องยนต์ลด ซีซี ลงมาตีตั๋วเด็กเข้าโครงการอีโคคาร์นั่นเองครับ)
มาดูที่รถ B-Segment คือจะเป็นรถที่มีพิกัดเครื่องยนต์แถวๆ 1000 CC. ขึ้นไป-1500 CC. มีคุณภาพการตกแต่งภายในที่ดีขึ้นจาก A-Segment ราคาก็จะมากกว่า A-Segment พอตัว มีขนาดที่ใหญ่กว่า A-Segment รถแนวนี้เหมาะกับครอบครัวเล็กๆที่มีลูกตัวไม่ใหญ่มากครับ หรือจะเป็นวัยกำลังทำงานที่อยากได้รถมาขับสักคัน โดยเฉพาะตัวคนเดียวถ้าขับรถแนวนี้จะจุดของได้เยอะเลย รถยนต์ B-Segment ที่จะใหญ่ขึ้นกว่าอีโคคาร์ เครื่องยนต์ก็จะใหญ่ขึ้น ออฟชั่นก็จะมีให้มากขึ้น ราคาก็จะสูงขึ้นด้วยครับ รถพวกนี้ก็ได้แก่ Toyota Vios,Honda City,Honda City,Honda Jazz,Ford Fiest,Mazda 2 เป็นต้น
เอาละหลายท่านที่กำลังให้ความสนใจรถกลุ่มนี้อยู่ แถมตอนนี้การแข่งขันในตลาดมีสูงประกอบกับเริ่มมีกลุ่มรถเล็กอย่างอีโคคาร์ เข้ามาเป็นตัวเลือก อีกต่างหาก ราคาแม้รุ่นสูงจะมีราคาค่อนข้างต่างกันเยอะ แต่ถ้าเรามาเทียบตัวท็อปสุดของอีโคคาร์ กับตัวล่างสุดของซิตี้คาร์ ราคาเกือบจะเท่ากันเลยทีเดียวครับ มันตัดสินใจยากจริงๆครับว่าแบบไหนที่คุ้มค่ากว่ากัน
- ราคาจากที่เห็นในตลาดภาพรวมในตอนนี้ ราคารถในกลุ่มซิตี้คาร์จะเริ่มต้นที่ประมาณ 5 แสนบาทต้น ไปจนถึง 7 แสนบาท ในขณะที่อีโคคาร์เริ่มต้นที่ 3 แสนกลาง จนถึง 5 แสนกลาง ซึ่งถ้ามองที่ราคาอย่างเดียวแน่นอน รถอีโคคาร์ น่าสนใจกว่า
- ขนาดของเครื่องยนต์รถอีโคคาร์ ในประเทศไทยจะใช้เครื่องยนต์ 1200 ซีซี ในขณะที่รถซิตี้คาร์จะใช้เครื่องยนต์ขนาด 1500 ซีซี ซึ่งถ้าคุณชอบขับรถเร็ว ขับสนุก และเน้นไปในเรื่องของสรรถนะการขับขี่ การเร่งแซง เดินทางออกต่างจังหวัดไกลๆบ่อยครั้ง ผมว่าคุณเหมาะกับรถซิตี้คาร์ มากกว่า อีโคคาร์ นะจ๊ะ เพราะอีโคคาร์อาจจะขับไม่สนุก และอัตราเร่งไม่ดีเท่าซิตี้คาร์ แต่ถ้าคุณเป็นคนขับรถไปเรื่อยๆไม่รีบร้อนอะไรมาก เน้นไปที่ความประหยัดน้ำมัน อีโคคาร์เลยไม่ต้องคิดมาก
- . ถ้าคุณเป็นประเภทบ้าออฟชั่น ต้องการอุปกรณ์ เทคโนโยลี ต่างๆแบบครบครัน ภายในใช้วัสดุดูดี ดูแพง ระบบต่างๆอัดมาให้เพียบ น้ำหนักจะไปอยู่ที่ซิตี้คาร์จะมากกว่า แต่เวลานี้อีโคคาร์ก็พัฒนาตามมาติดในรุ่นท็อปสุดของอีโคคาร์ในขณะนี้ก็ใส่ออฟชั่นต่างๆมาให้แบบครบครันเช่นเดียวกัน อันนี้ก็คงต้องอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคลแล้วละ
- การผ่อนชำระ เมื่อพูดถึงเรื่องการผ่อนชำระ เราก็ต้องมาดูเรื่องเงินวางดาวน์กันด้วยว่า คุณสามารถวางเงินก้อนแรกก่อนนำรถออกมาได้มากหรือน้อยเพียงใด แต่โดยทั่วไปคนส่วนมากจะเลือกดาวน์ที่ 20-25% และถ้าเทียบกับราคาของรถซิตี้คาร์ที่จะอยู่ประมาณ 5แสนปลายๆ และอีโคคาร์ที่อยู่ประมาณ 4 แสนกลาง จะพบว่าราคาค่างวดนั้นต่างกันไม่ถึง 1500 บาทต่อเดือน ดูเอาว่าผ่อนไหวมั้ย อย่าลืมนะครับซื้อรถต้องมีค่าอื่นๆอีกไม่ใช้ผ่อนอย่างเดียว มีทั้งค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษา ค่าประกัน คำนวนดีๆนะจ๊ะ
สุดท้ายมันขึ้นอยู่ที่คุณเป็นคนตัดสินใจ เพราะรถยนต์เป็นสิ่งของที่มีราคาแพง เมื่อเราตัดสินใจซื้อมามันจะอยู่กับเราไปอีกนานแสนนาน อย่างน้อย 5-6ปี ทีเดียว เลือกให้เหมาะสม และความจำเป็นต่อการใช้งาน เผื่อให้ได้ใช้ประโยชน์สูงสุด และก็อย่าลืมคำนวนรายได้ให้ดีๆถ้าเราตัดสินใจจะซื้อรถยนต์ว่าตัวเราเองผ่อนไหวแค่ไหน ขอให้ได้รถยนต์ที่ถูกใจนะครับ
เรื่อง: ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th