ความรู้สึกที่ใหม่ถอดด้ามกับ All-New Harrier 2020 by อีตั้น
เปิดตัวไปแล้วอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมากับ All-New Harrier 2020 โฉมใหม่ล่าสุด นำเข้าโดย อีตั้น กรุ๊ป เป็นรถอเนกประสงค์ที่ใหม่หมดจดทั้งแพลตฟอร์ม มาด้วยรูปลักษณ์ใหม่พร้อมพร้อมด้วยเทคโนโลยีใหม่แบบจัดเต็ม เอาใจกลุ่มผู้ที่ใช้ชีวิตในเมือง แต่พร้อมออกไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในทุกที่ ด้วยยานพาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรูหรา ห้องโดยสารกว้างขวาง ระบบความปลอดภัยเต็มขั้น และพร้อมดูแลตลอด 24 ชั่วโมง จากศูนย์บริการของอีตั้น กรุ๊ป
สำหรับ All-New Harrier 2020 เป็นเจนเนอเรชั่นที่ 4 บนแพลตฟอร์ม TNGA (Toyota New Global Architecture) มีความปลอดภัย คล่องตัว ดีไซน์ลํ้าสมัยอย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยโครงสร้างยานยนต์สำเร็จรูป ในรูปแบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นพื้นตัวถังห้องเครื่องยนต์ พื้นตัวถังห้องโดยสาร พื้นตัวถังห้องสัมภาระ ชุดระบบส่งกำลังและระบบไฟฟ้า จะทำให้เครื่องยนต์จะมีนํ้าหนักเบา แต่แข็งแรงและปลอดภัยสูง ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันกับรถยนต์ที่ใช้ในอเมริกาและยุโรป
สำหรับแพลตฟอร์ม TNGA (Toyota New Global Architecture) แถมมาพร้อมระบบความปลอดภัยอย่าง Toyota Safety Sense 2.0 รวมระบบความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น Pre-Collision System – ระบบความปลอดภัยก่อนการชน, Lane Departure Warning with Steering Assist – ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงพวงมาลัยอัตโนมัติ, Dynamic Radar Cruise Control – ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ แบบแปรผัน, Automatic High Beam Control – ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ, ระบบ Road Sign Assist (RSA) – สามารถอ่านป้ายจราจรควบคุมความเร็ว
All-New Harrier 2020 เป็นรถยนต์เอนกประสงค์แบบ SUV ระดับพรีเมี่ยม ให้ความรู้สึกหรูหรา ดูสปอร์ตด้วยการออกแบบตกแต่ง เลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูง เหมาะสําหรับคนเมืองที่ต้องการความคล่องตัว ในทุกไลฟ์สไตล์ โดยขุมพลังของ All-New Harrier 2020 จาก อีตั้น กรุ๊ป มีให้เลือกทั้งแบบเครื่องยนต์ไฮบริด และเครื่องยนต์เบนซิน
เครื่องยนต์ไฮบริด (2.5 Hybrid 2WD)
เครื่องยนต์ไฮบริด 2.5 ลิตร มาพร้อมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ล้อขนาด 18 นิ้ว แรงม้าจากเครื่องยนต์สูงสุด: 178แรงม้า / 5,700รอบต่อนาที แรงม้าจากมอเตอร์หน้า 88 แรงม้า / 120 กิโลวัตต์ (กําลังแรงม้ารวมทั้งระบบ 218 แรงม้า) ระบบเกียร์E-CVT (Electrically-controlled Continuously Variable Transmission) ซึ่งมักใช้กับเครื่องยนต์ประเภท Hybrid อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ที่ 24 กม./ลิตร
เครื่องยนต์เบนซิน (2.0 Petrol 2WD)
เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร มาพร้อมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ล้อขนาด 18 นิ้ว แรงม้าสูงสุด: 171 แรงม้า / 6,600รอบต่อนาที ระบบเกียร์ CVT (Continuous Variable Transmission) ให้ความรู้สึกนุ่มนวล ทำให้รถยนต์นิ่งไม่มีความรู้สึกถึงการกระชาก หรือกระตุกในจังหวะเปลี่ยนเกียร์ อีกทั้งยังช่วยให้อัตราการบริโภคน้ำมันลดลงอีกด้วย
ส่วนมิติตัวถังยังคงดูใหญ่ด้วยความกว้าง 1,855 มม. ความยาว 4,740 มม. ความสูง 1,660 มม. ซึ่งจะใหญ่กว่าจากรุ่นก่อนหน้านี้ แต่ความสูงลดลงเล็กน้อย (สำหรับขนาดรุ่นเดิมอยู่ที่ความกว้าง 1,835 มม. ความยาว 4,725 มม.และความสูง 1,690 มม.)
รูปลักษณ์ภายนอกของเจนเนอเรชั่นนี้ มาพร้อมกับดีไซน์หรูหรา เน้นเส้นสายตัวรถที่มีความเฉียบคม ตั้งแต่หน้าจรดท้าย มีความสปอร์ตมากขึ้นกว่าเดิม โฉบเฉี่ยว ไฟหน้าเพรียวบาง สอดคล้องกับกระจังหน้าใหม่ได้อย่างเฉียบคม กระจังหลังที่ดูทันสมัยกว่าเดิม ไฟท้ายคาดยาวเส้นบางเฉียบ และขนาดล้อที่ออกแบบมาพิเศษสำหรับรุ่นท็อป ที่มีขนาด 19 นิ้ว แต่ยังคงไว้ในส่วนฟังค์ชั่น ตามแบบฉบับเช่นเดียวกับรุ่นเดิม เช่น ระบบไฟ LED 3 ดวง, ระบบไฟหน้า LED Daytime Running Lights, กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ รวมถึงการใช้งานเบาะไฟฟ้า ที่สามารถปรับได้แบบ 8 ทิศทาง สำหรับที่นั่งคนขับ และปรับได้ 4 ทิศทาง สำหรับที่นั่งผู้โดยสาร เป็นต้น
สำหรับภายในห้องโดยสาร มาพร้อมพวงมาลัยหนังแท้ เบาะผ้าผสมหนัง เพื่อเพิ่มความหรูหรามากยิ่งขึ้น ซึ่งตัวเบาะมีให้เลือกด้วยกัน 3 เฉดสี คือ สีเทา, สีดำและสีนํ้าตาล เสริมความทันสมัยด้วยหน้าจอ Audio ขนาดใหญ่ รองรับการใช้งาน Apple CarPlay และ Android Auto ระบบเสียงพร้อมลำโพง 6 จุด จุดชาร์จ usb 2 จุดหน้าและ 2 จุดหลัง รวมถึงระบบไฟภายในห้องโดยสาร และปุ่มสตาร์ทด้วยกุญแจอัจฉริยะ
ในรุ่นท็อป ยังมีจุดเด่นและฟังค์ชั่นที่น่าสนใจอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอ Audio ขนาด 12.3” พร้อมระบบนำทางและชุดเครื่องเสียง JBL พรีเมี่ยม (ลำโพง 9 จุด) หน้าปัดแสดงกระจกมองหน้า และกล้องมองหลัง ที่มีความโดดเด่นอย่างมาก เป็นรุ่นแรกที่ติดตั้งกระจกมองหลังแบบกล้อง แทนที่กระจกปกติ เพื่อทัศนวิสัยที่ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังสามารถเปิด-ปิดฝาท้าย โดยใช้เท้าเตะ และเสริมด้วยหลังคา Panoramic Sun Roof ที่สามารถปรับความทึบกระจกด้วยไฟฟ้า เรียกได้ว่าตอบโจทย์ครบทุกการใช้งานจริง
โดยรุ่นที่นำมาลองขับนี้เป็นรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด งานนี้ขับไม่ไกล เพราะอยากจะลองการใช้งานการใช้พลังงานในโหมด EV โดยเฉพาะ ต้องยอมรับว่า All-New Harrier 2020 เป็นความรู้สึกใหม่ที่เปลี่ยนไปจากเดิมจากหน้ามือเป็นหลังมือ เรื่องของห้องโดยสารที่กว้างขวางให้ความหรูหรายังคงสมบูรณ์แบบ แต่รูปร่างหน้าตาที่สดใหม่ทำให้รถคันนี้มีเสน่ห์มากขึ้น ขับไปไหนก็มีแต่คนมอง จอดตรงไหนก็มีคนมาทัก (ใช่สิติดสติ๊กเกอร์ซะขนาดนี้ คงนึกว่าเราเป็นเซลส์แน่ๆ)
การออกตัวทำได้กระฉับกระเฉง ความต่อเนื่องของการเปลี่ยนเกียร์ทำได้ราบเรียบ ช่วงล่างเน้นนุ่มนวล แต่หากทำความเร็วจะให้ความรู้สึกแน่นกระชับ ควบคุมรถได้ง่าย คนนั่งข้างหลังไม่เวียนหัว แถมมีพื้นที่ว่างตรงหัวเข่าอีกมากพอสมควร การขับในเมืองที่การจราจรแออัด เครื่องยนต์แทบจะไม่ทำงานเลย มอเตอร์ไฟฟ้าทำการขับเคลื่อนเกือบทั้งหมด นั่นทำให้อารมณ์การขับจะเหวอๆ นิดนึง เพราะออกตัวได้แบบนิ่ง เงียบ ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ให้ได้ยินเลย แต่เมื่อทำความเร็วเกิน 40 กม./ชม. เครื่องยนต์จะทำงานทันที แล้วมีการสลับการใช้พลังงานจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าผสานกันแบบไม่รู้ตัวกันเลย นั่นทำให้ในระยะทางที่ขับในเขตเมือง และออกนอกเมืองไปเล็กน้อย ทำให้มีอัตราสิ้นเปลืองที่โชว์มาบนหน้าจอใกล้เคียงกับที่เคลม โดยอยู่ที่ 21 กม./ลิตร
จุดที่น่าสนใจคือ All-New Harrier 2020 สามารถชาร์จกระแสไฟฟ้ากลับมาเก็บไว้ในแบตเตอรี่ได้เร็วมาก เลยทำให้เลือกปรับโหมดการขับใช้งานเป็นแบบ EV ล้วนๆ ได้บ่อยกว่าทั่วไป จึงทำให้เหมาะมากกับการขับใช้งานในตัวเมืองที่การจราจรแออัดอย่างในกรุงเทพและเมืองใหญ่ทั่วไป แต่ถึงจะขับในสภาพรถติด ด้วยเบาะที่นั่งขนาดใหญ่ รองรับสรีระได้หลายแบบ เบาะนั่งปรับแบบไฟฟ้า ทำให้ลดอาการเมื่อยล้าลงได้มากอีกด้วย ถือว่าเป็นตัวเลือกในกลุ่มรถนำเข้าที่น่าสนใจรุ่นหนึ่งในตลาดตอนนี้เลยทีเดียว ยิ่งเปิดตัวมาด้วยราคาเริ่มต้น 2,490,000 บาท พร้อมแคมเปญพิเศษที่ทาง อีตั้น กรุ๊ป พร้อมจัดใหญ่ ยิ่งทำให้น่าเป็นเจ้าของมากขึ้น… All-New Harrier 2020 มันแจ่มจริงๆ
เรื่อง/ภาพ: พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th