เปิดประสบการณ์สุดขอบฟ้าขับไกลถึงสแกนดิเนเวีย “เที่ยวเมืองซานตาครอส” Day 4
เช้าวันที่ 4 ของการเดินทาง ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ฉีกทุกกฏการขับขี่ ตะลุยคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย ซึ่งไม่เคยมีค่ายรถใดทำมาก่อน มาสด้ากล้าที่จะแตกต่างในการท้าทายทั้งรถ และคนขับ เดือนกันยายนยังเป็นช่วงปลายหน้าร้อนของยุโรปเหนืออยู่ ประเทศในแถบนี้อณหภูมิกำลังดี 15-17 องศา เหมาะแก่การขับรถเที่ยว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวจากไทยจะชอบมาตอนหน้าหนาวมากกว่า เพราะที่นี่มีกิจกรรมฤดูหนาวให้เล่นเพียบ ทั้งสกี สโนโมบิล หมาลากเลื่อน แน่ละว่าคนที่นี่คลั่งฮอกกี้เอามากๆ ดูจากร้านค้าของที่ระลึกจะเจออยู่ตลอดเวลาเข้าย่านใจกลางเมือง สำหรับทีมงานคาราวานจะตื่นเต้นกับความที่นักแข่งชื่อดังในรายการ WRC แจ้งเกิดจากประเทศแถบนี้ทั้งสิ้น (ไม่นับฝรั่งเศส)
เราเก็บของกันตั้งแต่ช่วงเช้าพร้อมเดินทางต่ออีก 490 KM จากเมือง Kupio ไปที่ Rovanimi เมืองซานตาครอส แถบภาคเหนือของฟินแลนด์เพื่อบรรลุภารกิจของวันนี้คือข้ามเส้น “อาร์ติก เซอร์เคิล” ระหว่างทางบรรยากาศที่มองผ่านหน้าต่างแทบไม่แตกต่างจากเดิม คือป่าสน บึงทะเลสาบ แต่ที่แปลกไปคือต้นไม้เริ่มเปลี่ยนสี สวยสดงดงามในแบบที่ช่างภาพชอบ ผู้คนระหว่างทางไม่ค่อยพอเจอมากนัก เพราะประชากรส่วนใหญ่มีไม่มาก และด้วยความที่อากาศเย็นทำให้มักจะอยู่กันแต่ในบ้าน ถ้าไม่ใช่ในเมืองใหญ่ กิจวัตรประจำวันที่เห็นและชอบมากคือ ผู้คนที่ชอบใช้จักรยานเป็นพาหนะ มีทางปั่นที่สะดวก ปลอดภัย แบบว่าอากาศเย็นๆ ในหน้าร้อนของเค้าใครก็ปั่นได้ (แอบคิดในใจเมืองไทยร้อนเฟ้ย) ตอนกลางวันเวลาเข้าเมืองพักกินข้าว จะพอเจอแต่คุณแม่ที่พาลูกน้อยใส่รถเข็นออกมาเดินเล่นกันเต็มไปหมด เหมือนกับว่าผู้ชายทำงานหาเงินให้เต็มที่ ไม่ต้องห่วงทางบ้านแม่ๆ ดูแลเอง
สิ่งสำคัญในการขับรถนอกจากเป็นเรื่องที่ไม่คุ้นชินอย่างพวงมาลัยซ้ายด้วยแล้ว ตอนแรกก็มีติดขัดเพราะลองนั่งดูไม่เหมือนที่คิด แต่ใช้เวลาแป๊ปเดียวก็ปรับตัวได้ ส่วนสำคัญคือกฏจราจรที่เคร่งครัดเอามากๆ ต้องมั่นสังเกตุ เพราะความเร็วที่กำหนดเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แถมกล้องถ่ายรูปเพียบ ระดับที่เอางบมาจากไหนทางเล็กทางน้อยมีหมด ส่วนที่แปลกคือป้ายระวังกวางยังคงพบเจอเหมือนเดิม แต่วันที่ 4 แล้วยังไม่เห็นสักตัว! เวลาไปจอดที่ไหนก็จะมีฝรั่งมากหน้าหลายตาคอยมองและเข้ามาถามว่าพวกคุณมากจากไหนกัน มากันยังไง มันบ้ามากขับมาจากไทยเลยหรือ (เปล่าเฟ้ยเอารถมาจากมาสด้าสวีเดน) เราจะสนุกทุกครั้งที่จอดเข้าปั้มหรือแวะข้างทางสำรวจสินค้าขนม แอบซื้อทุกครั้งเพื่อแกะชิม จะได้รู้ว่าอันไหนควรซื้อฝากคนที่บ้าน เพราะอย่าลืมไม่มีเวลาไปเดินเล่นตามห้าง การมาเที่ยวแบบคาราวานใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในรถเท่านั้น แต่จะได้อรรถรสมากกว่าซื้อทัวร์มาเทียวมีเรื่องให้แก้ปัญหาบ้าง อยากแวะตรงไหนก็จอด เป็นต้น
ในช่วงเที่ยงคาราวานแวะร้านอาหารไทย ชื่อ “ผัดไทยบ้านนา” สเต็ปของร้านเหมือนกับ 2 ร้านก่อนหน้า ขนาดเล็กๆ มี 6-7 โต๊ะ รูปแบบคล้ายๆ กัน คือกลางวันจะขายแบบบุฟเฟ่ เย็นจะ A La Carte และเน้นขายออนไลน์เหมือนบ้านเรา มีคนรับส่งอาหารผ่าน App ซึ่งพี่ๆ ที่ร้านบอกขายดีมาก 95% เป็นลูกค้าฝรั่ง “เราปรับวัตถุดิบ และรสชาติตามที่คนท้องถิ่นชอบ” เคยมีอยู่ครั้งเอาไข่พะโล้มาเสิร์ฟ ลูกค้าถึงกับร้อง ถามว่าไข่ทำไมดำ กว่าจะอธิบายกันได้รู้เรื่อง คือเค้ามองว่ามันเสียว่างั้น เลยเอาไข่ออกจากพะโล้ขายแต่ปีกไก่ น่องไก่พะโล้แทน” ซึ่งทีมงานมาสด้าและผู้สื่อข่าวจะเป็นอะไรที่ฟินมากเมื่อมาเจออาหารไทย อย่าลืมว่ามื้อเช้าและเย็น “กินนมกินชีส”
ขับต่อยาวๆ ช่วงบ่ายจนถึงเวลาพระอาทิตย์ใกล้ตกก็มาถึงเมือง Rovanimi ผ่านซุ้มประตูที่เป็นเหล็กมาพาดผ่านถนน แวะพักบ้านซานตาครอสที่เปิดเวลคัม เหมือนร้านฟาร์มโชคชัยนั่นแหละ มีขายของที่ระลึก ร้านอาหาร เวทีการแสดง กิจกรรมต่างๆ แต่จะดีต้องมาตอนหน้าหนาวถึงเหมาะ เราตื่นเต้นกับการข้ามเส้น “อาร์ทติก เซอเคิล” ใช้เวลานานเลยละเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึก “ฉันเข้าเขตขั้วโลกเหนือแล้ว” จนเกือบลืมว่าอากาศมันหนาวขึ้นจับใจเหลือ 11 องศา ต้องรีบกลับไปใส่ชุดใหญ่ในรถออกมาก ด้านของที่ระลึกพวกตุ๊กตา แม่เหล็กติดตู้เย็น ราคาเริ่มต้นมีหลายร้อย ถึงกับเหงื่อแตกมือ อย่างว่าค่าครองชีพคงต่างกันมาก ก่อนจากไม่ลืมส่งโปสการ์ด กลับมาเมืองไทยเพื่อซานตาครอสจะแถมของขวัญมากให้ด้วย ก่อนเข้าที่พักที่ติดกับร้านแมคโดนัล คืนนี้สบายละ…ติดตามต่อกันได้กับบันทึกการเดินทางสุดขอบโลกของมาสด้า
- เก็บตก แพงไปหมดซื้อไม่ไหว แม้แต่ของ “ลดราคา”
- วิวสองข้างทางตลอดทริ๊ป ประมาณนี้
- รถปิดขบวน เช่าจากเยอรมัน จอดคอยดูแลความปลอดภัยเวลาพักถ่ายรูปข้างทาง หน้าที่หลักคือชงกาแฟท้ายรถ
- ค่าน้ำมันดีเซลแพงมาลิตรละเกือบห้าสิบบาท ใครว่าไทยแพงขอเถียง!!!!
“วันที่ 5 เจอกลุ่ม B มาเปลี่ยนมือ มุ่งหน้าสู่ North Cape ตามล่าแสงเหนือ”
เรื่อง ภาพ : ณัฐพล จีระมงคลกุล
เรียบเรียงโดย GRAND PRIX ONLINE