วันที่ 9 คาราวานไฮลักซ์ รีโว่ ช่วงที่3 อุสเบกิสถาน – อิหร่าน
เข้าสู่วันที่ 9 ของการเดินทางเราโบกมือบ๊ายบายเมือง Shiaz กดปุ่ม Engine Start ขับรถออกมาตอนเช้าตรู่การจราจรไม่หนาแน่นมากเพราะคนที่นี่ยังไม่ออกไปทำงานกัน แต่ก่อนที่เราจะออกเดินทางมุ่งหน้าต่อไปยังเมือง Esfahan อีกประมาณ 480 กิโลเมตร เรามาแวะชมประตูเมือง กำแพงป้อมปราการของ Shiaz กันก่อนใช้เวลาเดินเล่น ชมความยิ่งใหญ่ของป้อมปราการ และศิลปะเปอร์เซียที่หลงเหลืออยู่ให้เห็น พร้อมถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันจนหนำใจ คณะคาราวานรีโว่ทั้งหมดก็มุ่งหน้าออกนอกเมือง
ถนนในช่วงนี้ไม่ค่อยมีภูเขาซักเท่าไหร่ ส่วนมากจะเป็นทะเลทราย ถนนตรงๆ ยาวๆ ระหว่างทางชมวิวทิวทัศน์ที่แสนงดงามแปลกตา นั่งคิดเพลินๆว่าประเทศอิหร่านมีความสวยงามมากจริงๆ น่าเสียดายไม่น่ามีสงครามเลย แถมผู้คนชาวอิหร่านก็มีอัธยาศัยดี แวะทักทายข่วยเหลือเราตลอดเวลา ขับผ่านมาได้ประมาณ 280 กิโลเมตรงานใหญ่มาอีกแล้วครับท่าน คือการหาอาหารกลางวันทานกันเพราะร้านปิดหมดจร้า เราจอดแวะพักที่ปั๊มน้ำมันที่พอมีร้านอาหารเปิดอยู่ให้ไกด์ลงไปถามว่าพอจะมีข่าวให้คณะคาราวานของเราหรือไม่ โชคดีของเราร้านนี้เปิดจร้าแถมมีไก่ให้เรากินด้วย เพราะหลายวันที่ผ่านมาในประเทศอิหร่านเรากินแต่แกะกันตลอดเวลาระแวกนั้นดูตื่นเต้นมากกับคณะคาราวานของเรา เข้ามาทักทายขอถ่ายรูปขอนั่งบนรถกันใหญ่ เมื่อท้องอิ่มมีแรงแล้วเรามาขับรถเดินทางไปจุดหมายของเราในวันนี้กันดีกว่า
เจ้ารีโว่ของเราวิ่งผ่านทะเลทรายที่ร้อนระอุ แต่ด้วยระบบแอร์ที่มีทั้งด้านหน้าแบบดิจิตอล แถมช่องปรับอากาศสำหรับเบาะหลังอีกต่างหาก ทำให้การเดินทางผ่านทะเลทรายที่อากาศภายนอกแสนร้อนระอุแต่ภายในยังเย็นสบาย แถมมีกล่องเก็บของพร้อมระบบรักษาความเย็นขนาดใหญ่อยู่ที่คอนโซลหน้าสามารถแช่น้ำไว้ดื่มยามกระหายเย็นชื่นใจและยังเพลิดเพลินตลอดการเดินทางด้วยระบบเอ็นเตอร์เทรนเม้นท์ทำงานผ่านจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว
อย่างที่บอกครับเส้นทางในวันนี้เป็นทางลาดยางตรงยาวๆ มองไกลสุดตา แต่ที่อิหร่านเขาห้ามขับเกิน 120 กม./ชม. เกินไปนิดหน่อยก็ไม่ได้นะครับ รับรองโดนตำรวจจับแน่เพราะมีกล้องตรวจจับความเร็วตลอดเส้นทาง แต่รีโว่ของเราสบายหายห่วงทางตรงยาวๆ กำหนดความเร็วใช่มั้ย กดครูซ คอนโทรล เลยจร้าล็อคความเร็วไว้ 120 กม./ชม. คอยแตะเบรกเวลารถคันหน้าช้าอย่างเดียวขับสบายเหมือนรถ SUV เลยทีเดียวครับ
ขับรถมาพักใหญ่ทางตรงยาวแดดร้อนๆ นี่มันชวนง่วงจริงๆครับ คาราวานจอดแวะพักพอดิบพอดี จึงได้โอกาศขอสลับมาเป็นผู้โดยสารบ้างดีกว่าเหลือระยะทางอีกประมาณ 200 กว่ากิโลเมตร เลยเอาโน็ตบุ๊กออกมาพิมพ์งานซะหน่อยเพื่อคืนนี้จะออกไปเดินเล่นในเมือง Esfahan พิมพ์งานมาซักแปปแบตตารี่ดันมาหมดซะนี่ ทำไงดีแต่จำได้ว่าเจ้ารีโว่คันนี้มีช่องต่อไฟฟ้ากระแสตรง DC 12 โวลต์ และช่องไฟกระแสสลับ AC 220 โวลต์ ชาร์จไฟโน้ตบุ๊กได้สบายทำงานเนียนๆ เลยจร้า
และแล้วก็เข้าเขตเมือง Esfahan สภาพบ้านเรือนและเมืองดูผิดหูผิดตาจากเมืองที่ผ่านมาเมืองนี้ดูจะมีกลิ่นอายของยุโรปผสมอยู่เล็กๆ แถวระแวกที่พักของเราเหมือนอยู่ชนบทแถวยุโรปมากๆ วันนี้เรามาถึงเร็วยังไม่มืดเลยออกไปเดินเล่นกันซะหน่อยบ้านเมืองดูสะอาดตามากๆ ครับสวยจริงๆ พูดเลย เมืองนี้เป็นเมืองที่มั่งคั่งเป็นศูนย์กลางการค้าขาย หัตถกรรม อุตสาหกรรม ศูนย์กลางของวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม วรรณกรรม โดยเฉพาะการประดิษฐ์อักษรภาพอิสลามอันวิจิตรสวยงามแบบเปอร์เซีย
เราเดินชมเมืองมาเรื่อยๆ จนมาถึงจตุรัสนัค เอ ฌฮาน ซึ่งนับเป็นจตุรัสที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากจตุรัสเทียนฮันเหมิน ใหญ่กว่าจัตุรัสแดงในกรุงมอสโคว์ 2 เท่า ที่ในอดีตเคยเป็นสนามแข่งโปโล ในปัจจุบันมีร้านค้าร้านอาหารมากมายคนเมืองนี้ใช้เป็นที่นั่งทานอาหารเย็น นั่งเล่นพักผ่อนกับครอบครัว พูดเลยว่าประชาชนชาวอิหร่านมีความเป็นครอบครัวสูงมากน่ารักจริงๆ แถมประเทศนี้จากที่ได้สัมผัสไม่มีการโกงเหมือนกับประเทศแถบตะวันออกกลางทั่วๆไป อาจจะคงเป็นเพราะเพิ่งเปิดประเทศนักท่องเที่ยวยังน้อยอยู่ก็เป็นได้
เดินเล่นชมศิลปะเปอร์เซียอยู่พักใหญ่ ก็ถึงเวลาอาหารเย็นกันแล้วเดินกลับไปกินข้าวเย็นกันที่โรงแรมก่อนที่จะแยกย้ายพักผ่อน ในวันพรุ่งนี้เราจะเดินทางเข้าเมืองหลวงกรุงTrhran กันอีกแค่ 430 กิโลเมตรเท่านั้น ระหว่างทางจะมีอะไรให้เราเที่ยว เมืองหลวงของอิหร่านจะเป็นอย่างไรไปติดตามกันครับ
เรื่อง : ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th