คู่รักนักเดินทางจากบราซิล ควบ “โคโลราโด” ตะลุยรอบโลก
ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ใครสักคนจะเดินทางรอบโลก แถมยังเป็นการเดินทางด้วยการ “ขับรถ” ข้ามซีกโลก แต่วันนี้เป็นโอกาสที่พิเศษมากๆ ที่ได้พบกับคู่รักนักเดินทางจากบราซิล เขาทั้งคู่เดินทางมาถึงเมืองไทย แถมยังขับเชฟโรเลต โคโลราโด S10 (S10 คือชื่อรุ่นของโคโลราโดในบราซิล) มาให้สัมผัสกันแบบใกล้ชิดกันเลยทีเดียว
สำหรับคู่รักนักเดินทางที่พูดถึงนี้ก็คือ โจเซลลี ปินเฮโร (Joselle Pinheiro) และ อามานดิโอ พัลฮาเรส (Amandio Palhares) ซึ่งก่อนหน้าที่จะมาที่เมืองไทย ทั้งคู่ได้เดินทาง 68,000 กิโลเมตร จากบราซิลไปถึงรัฐอลาสกา สหรัฐอเมริกา มาแล้ว และการเดินทางครั้งใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นโดยมีเอเชียเป็นจุดเริ่มต้น
โจเซลลีและอามานดิโอ เผยถึงแรงบันดาลใจในการเดินทางว่า “จุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจเกิดขึ้นเมื่อ 17 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นได้พบกับชายคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวบราซิลเช่นเดียวกัน เขาได้ขับขี่รถจักรยานยนต์จากบราซิลไปรัฐอลาสกา ซึ่งในตอนนั้นไม่ได้มีอินเทอร์เน็ต สัญญาณดาวเทียม หรืออุปกรณ์นำทางที่ทันสมัยเหมือนกับในปัจจุบัน ทำให้รู้สึกว่าเป็นการเดินทางที่ท้าทายและน่าสนใจมาก จากนั้นจึงกลับมาวางแผนการเดินทาง เพราะมีความฝันที่อยากจะเดินทางไกลออกไปสำรวจโลกดูบ้างเช่นกัน จากจุดนั้นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางในครั้งนี้ แต่ตอนนั้นยอมรับว่ามันเป็นความคิดที่บ้ามากๆ เลย”
ก่อนที่จะมาถึงเอเชีย ทั้งคู่ได้เคยเดินทางด้วยระยะทาง ไป-กลับ กว่า 65,000 กิโลเมตร ด้วยการขับรถกระบะเชฟโรเลต โคโลราโด เอส10 (S10) ที่มีการต่อเติมพิเศษให้กลายเป็นรถบ้านที่มีอุปกรณ์ทุกอย่างพร้อมสำหรับการพักแรม โดยเริ่มต้นจากเมืองโกยานา (Goiânia) ในบราซิลไปถึงรัฐอลาสกาของสหรัฐอเมริกา ใช้เวลาเดินทางไป-กลับ ถึง 9 เดือน ผ่านภูมิประเทศที่หลากหลาย ผู้คนท้องถิ่นที่ให้การต้อนรับ มิตรภาพระหว่างการเดินทางที่วิเศษสุด ซึ่งต้องพบกับอุณหภูมิที่ร้อนระอุกลางทะเลทรายในเม็กซิโกถึง 40 องศาเซลเซียล และสภาพอากาศแบบสุดขั้วที่อลาสกาที่ติดลบถึง 25 องศา พูดได้ว่าเจอทั้งร้อนที่สุดถึงเย็นยะเยือกที่สุดเช่นกัน อีกทั้งยังได้พบกับทิวทัศน์ที่เป็นป่าและภูเขาสูง 5,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลอีกด้วย
แต่ก่อนที่จะเดินทางครั้งแรก ทั้งคู่ได้ทดลองเดินทางแบบสั้นๆ 2 ครั้ง เพื่อเก็บประสบการณ์และเตรียมความพร้อมกันก่อน ด้วยการขับรถ 13,000 กม. สู่เมืองมาชูปิกชู (Machu Picchu) ในประเทศเปรู (Peru) และอีกครั้งคือการขับบนระยะทาง 16,000 กม. ถึงพาทาโกเนีย (Patagonia) ในอาร์เจนติน่าและชิลี ซึ่งทำให้ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตในรถและรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะหนาวสุดขั้วมากกว่า
“หลังจากที่กลับมาจากอลาสกา ได้มีรายการทีวีและสื่อมวลชนขอมาทำข่าวเกี่ยวกับการเดินทาง จนทำให้กลายเป็นคนดังไปเลย” โจเซลลี กล่าวทั้งรอยยิ้ม “มันน่าประหลาดใจมาก ที่การเดินทางของเราทั้งคู่กลายเป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจ ทั้งที่จริงแล้วเราต้องการเดินทางท่องเที่ยวตามความฝันของพวกเราสองคนเท่านั้น” อามานดีโอ สามีสุดหล่อพูดเสริมขึ้นมา
โดยการมาถึงเมืองไทยในครั้งนี้ ก็ถือเป็นเรื่องบังเอิญด้วยเช่นกันที่ทำให้ผู้เขียนได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนกันในหลายเรื่อง ซึ่งทั้งคู่ได้พูดถึงการเดินทางครั้งใหม่นี้ว่า “หลังจากกลับมาจากอลาสกา ก็คิดว่าความฝันในการเดินทางท่องเที่ยวไม่ได้จบอยู่แค่นี้ ยังมีความฝันที่จะเดินทางรอบโลกอยู่อีก เมื่อคิดได้อย่างนั้น จึงเริ่มวางแผนการเดินทางครั้งใหม่ทันที และยังคงเลือกใช้เชฟโรเลต โคโลราโด เช่นเดิม
สำหรับสาเหตุที่เลือกใช้เชฟโรเลต โคโลราโด S10 เป็นเพราะว่า ก่อนที่จะเริ่มเดินทางครั้งแรกมีการวางแผนเอาไว้ตั้งแต่ปี 2012 แต่บังเอิญว่าปีนั้นถูกโจรปล้นเอาทรัพย์สินและรถยนต์ไปด้วย หลังจากนั้นเชฟโรเลตที่บราซิลได้มีการเปิดตัวรุ่น S10 ขึ้นมา จึงได้ลองไปทดลองขับ แล้วรู้สึกว่าถูกใจ จึงตัดสินใจซื้อรถรุ่นนี้มาแล้วต่อเติมให้กลายเป็นรถบ้านที่พร้อมเดินทางค้างแรม และมีครบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเตียงนอน ห้องน้ำ ครัวเล็กๆ เตาแก๊ส อ่างล้างจาน ตู้เย็น เครื่องปั่นไฟ ที่สำคัญที่สุดคือ สมรรถนะที่ได้จากรถคันนี้เป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบมาก เครื่องยนต์ทนทานในทุกสภาพอุณหภูมิ ระบบช่วงล่างที่รองรับได้ทั้งแบบออฟโรดและออนโรด หลังจากขับผ่าน 65,000 กิโลเมตร เจ้าโคโลราโด S10 ยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ทุกอย่างปกติและพร้อมสำหรับการเดินทางครั้งใหม่
โดยแผนการเดินทางครั้งนี้ มีเอเชียเป็นจุดเริ่มต้น โดยส่งรถขึ้นเรือจากบราซิลมาขึ้นฝั่งที่มาเลเซีย แล้วขับเที่ยวที่สิงคโปร์ ก่อนที่จะขับย้อนขึ้นมาที่มาเลเซียแล้วขับต่อมาที่ประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่ 3 ของทริปนี้ และหลังจากนี้รถคันนี้จะได้รับการดูแลและตรวจสภาพทุกอย่างเป็นอย่างดีจากเชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทย หลังจากนี้อีก 2 สัปดาห์จะถึงเวลาเดินทางจากไทยไปกัมพูชา แล้วจึงขับต่อไปที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จากนั้นจะข้ามพรมแดนไปสู่สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีจุดหมายปลายทางที่เมืองเทียนจิน มณฑลเหอเป่ย์ แล้วจะส่งรถขึ้นเรือข้ามน้ำข้ามทะเลไปขึ้นฝั่งที่ออสเตรเลีย เพื่อเปิดประตูการเดินทางครั้งใหญ่ขับรถให้ครบทุกรัฐในออสเตรเลีย จากนั้นจึงส่งรถขึ้นเรืออีกครั้งเพื่อไปยังปาตาโกเนีย (Patagonia) ประเทศอาเจนติน่า แล้วขับย้อนขึ้นเหนือเพื่อกลับบ้านที่เมืองโกยานา (Goiânia) บราซิล เป็นอันเสร็จสิ้นการเดินทางรอบโลกในครั้งนี้ ซึ่งกว่าจะจบก็คาดว่าจะเป็นช่วงปลายปีนี้พอดี รวมระยะทางทั้งหมดที่รถเชฟโรเลต โคโลราโด S10 ขับมาตั้งแต่เดินทางครั้งแรกน่าจะอยู่ที่ 168,000 กิโลเมตร และเชื่อว่ารถคันนี้จะไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน เพราะเชื่อมั่นในคุณภาพ รวมถึงสมรรถนะที่เคยพิสูจน์มาแล้วเมื่อครั้งที่เดินทางไปอลาสกา”
ผู้เขียนจินตนาการตามไปเรื่อยๆ แล้วรู้สึกถึงพลังของการเดินทางและแรงบันดาลใจของทั้งคู่มากๆ แต่มีคำถามขึ้นมาว่า “แล้วเอางบประมาณจากที่ไหนมาใช้ในการเดินทาง” โจเซลลีภรรยาสุดแกร่งของอามานดิโอ ตอบว่า “ในครั้งแรกที่เดินทางมีเงินทุนอยู่ไม่มาก แต่หลังจากที่เริ่มเป็นที่รู้จักและได้ออกรายการโทรทัศน์ก็เริ่มมีผู้ให้การสนับสนุนหลายราย ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นและส่วนหนึ่งนำไปทำธุรกิจร้านอาหาร และตอนนี้ได้ให้ผู้จัดการร้านเป็นคนดูแลธุรกิจ จึงมีรายได้มาใช้ในการเดินทาง รวมทั้งผู้สนับสนุนต่างๆ ก็ได้ให้การช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยมีเชฟโรเลตเป็นผู้สนับสนุนหลัก เพราะเห็นว่าเราทั้งคู่ใช้รถกระบะเชฟโรเลตในการเดินทางตั้งแต่ครั้งแรก และไม่ได้คิดว่าจะต้องโปรโมทอะไร เพียงแค่ต้องการรถดีๆ สักคันเอาไว้ขับเดินทางเท่านั้น แต่สิ่งที่ได้มากลับมีค่ามากๆ และกลายเป็นเรื่องราวของการเดินทางที่สร้างชื่อเสียงให้กับเชฟโรเลตไปด้วย ซึ่งเราทั้งสองคนมีความยินดีมากๆ”
ระหว่างที่พูดคุยกัน ผู้เขียนจับความสำคัญของการเดินทางเอาไว้ได้ว่า การเดินทางท่องเที่ยวแบบที่คู่รักคู่นี้ทำ มันไม่ได้ทำให้เกิดความสุขและทำตามความฝันเท่านั้น แต่ยังเป็นการเรียนรู้วัฒนธรรมและสร้างมิตรภาพระหว่างการเดินทาง การเดินทางท่องเที่ยวแบบทั่วไปอาจจะได้ประสบการณ์ในแบบที่หลายๆ คนเคยสัมผัส แต่สำหรับการขับรถเดินทางพร้อมกับท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ ด้วยรถบ้าน มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไป ไม่ต้องวางแผนเช่นห้องพักหรือโรงแรม แต่ค่ำที่ไหนก็จอดรถนอนที่นั่น (เมื่อพบที่ปลอดภัย) ซึ่งอามานดีโอเอง มีหน้าที่ขับรถเกือบทั้งหมดบอกว่า “ตั้งแต่ขับรถคันนี้มาจากอเมริกาใต้ไปอลาสกา แล้วมาถึงเอเชีย ประเทศไทยและมาเลเซียเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยมากๆ ไม่ต้องกังวลว่าไปจอดรถตรงไหนแล้วจะมีโจรมาปล้น รู้สึกสบายและปลอดภัยจริงๆ
ที่สำคัญที่ลืมไม่ได้ในการขับรถทางไกล คือ ต้องมีรถที่เหมาะสมกับการเดินทาง เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางระยะไกลและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ, ตรวจสอบและดูแลรักษารถอย่างสม่ำเสมอ, ศึกษาเส้นทางให้ดี และควรมีเอกสารที่จำเป็น รวมถึงวางแผนงบประมาณอย่างรอบคอบ, มีชุดการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และเครื่องมือซ่อมแซมรถพื้นฐาน, มีเสื้อผ้าที่เหมาะสม และมีอาหารที่เก็บไว้ได้นานและมีปริมาณมากเพียงพอ และสุดท้ายถ้าจำเป็นต้องนอนในรถ ควรหาที่จอดที่ปลอดภัย อย่างลานจอดรถในซูเปอร์มาร์เก็ต, ปั้มน้ำมันหรือสถานีตำรวจ”
ทางด้านของ โจเซลลี ได้เสริมขึ้นว่า “มีหลายครั้งที่เจอเรื่องแปลกๆ และน่าตื่นเต้น อย่างเจอหมีกรีซลีตัวใหญ่เดินคาบปลาแซลมอลเดินตัดหน้ารถ เจอน้ำตกที่กลายเป็นน้ำแข็ง ค่ำคืนที่จอดรถนอนพักผ่อนแล้วเจอพายุเฮอริเคนพัดกระหน่ำที่เม็กซิโก รวมถึงเรื่องน่าตื่นเต้นอื่นๆ บางครั้งอาจเป็นอุปสรรคที่ผู้เดินทางต้องพบเจอ แต่อุปสรรคเหล่านั้นมันเทียบไม่ได้เลยกับการที่ต้องจากครอบครัว ความคิดถึงครอบครัว คิดถึงลูกๆ มันเป็นอะไรที่โหดร้ายกว่าอุปสรรคที่พบระหว่างการเดินทาง แต่สุดท้ายตั้งใจเดินทางแล้วก็ต้องทำให้เต็มที่ แล้วถ้าวันหนึ่งลูกๆ พร้อมเดินทาง แน่นอนว่าจะต้องพาพวกเขาออกเดินทางด้วยอย่างแน่นอน”
โจเซลลีและอามานดิโอ เผยความรู้สึกก่อนที่จะแยกย้ายกันว่า “ไม่คิดว่าจะมีวันที่เราได้มานั่งคุยกันแบบนี้ ภายในงานมอเตอร์โชว์ในเมืองไทย มันเหมือนเป็นสิ่งวิเศษที่เราได้พบจากการเดินทาง ได้พบเพื่อนใหม่ ได้พบมิตรภาพดีๆ และอยากให้ติดตามการเดินทางของเราทั้งคู่ต่อไป หากมีความฝันที่คิดเอาไว้ พยายามทำความฝันให้เป็นจริง อย่างเราสองคนฝันถึงการเดินทางรอบโลก ซึ่งบางคนอาจจะคิดว่าเป็นไปได้ยาก แต่ถ้าตั้งใจและหาทางอย่างจริงจังแล้วเชื่อว่าความฝันมันเกิดขึ้นได้ เหมือนกับที่พวกเรากำลังทำมันให้เป็นจริง คนไทยให้มิตรภาพที่ยอดเยี่ยมมากๆ เรารักคนไทยและประเทศไทยเหมือนกัน”
หลังจากแยกย้ายกันด้วยรอยยิ้ม ทำให้ผู้เขียนเข้าใจอะไรบางอย่างว่า ทำไมรถกระบะเชฟโรเลตถึงได้สานตำนานความแกร่งมาถึง 100 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะคุณภาพ สมรรถะ และชื่อเสียงเท่านั้น แต่ยังมีความภาคภูมิใจของผู้ที่เป็นเจ้าของ รวมถึงความมั่นใจในคุณภาพที่ส่งต่อมารุ่นต่อรุ่นอีกด้วย เช่นเดียวกับเชฟโรเลต โคโลราโด S10 ที่ประกอบในบราซิล แต่ในส่วนของเครื่องยนต์นั้นถูกผลิตขึ้นในโรงงานผลิตเครื่องยนต์ของเชฟโรเลต ในจังหวัดระยอง ประเทศไทย ของเรานี่เอง ซึ่งมันได้กลายเป็นการยืนยันถึงคุณภาพและฝีมือของแรงงานที่สรรค์สร้างเครื่องยนต์ที่ได้มาตรฐานและพร้อมพาทุกคนพุ่งทะยานสู่การเดินทางเพื่อทำตามความฝันต่อไป…เราจะ Find New Roads ไปด้วยกัน
เรื่อง/ภาพ : พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th