จับตา! Volvo 2 ปี เข้าสู่ยุครถไฟฟ้า—เจาะตลาดจีน, สหรัฐฯ
จากที่สัปดาห์นี้ทุกความสนใจในวงการรถยนต์ควรพุ่งเป้าไปที่ข่าว Tesla Model 3 คันแรกออกจากสายการผลิต แต่ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกัน ต้องถูก Volvo ขโมยซีนด้วยการออกมาประกาศว่าในอีก 2 ปีข้างหน้ารถยนต์ใหม่ทุกรุ่นของพวกเขาจะมาพร้อมระบบมอเตอร์ไฟฟ้า
การเปลี่ยนแปลงของแบรนด์รถยนต์พรีเมียมเก่าแก่ที่ปัจจุบันอยู่ในเครือ Geely ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของประเทศจีน เกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนที่รัฐบาลฝรั่งเศส ประกาศแผนยุติการขายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันทั้งเบนซิน และดีเซล ภายในปี 2040 ตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) เพื่อแก้ไขปัญหาสภาวะโลกร้อนที่ร่วมลงนามมากกว่า 200 ประเทศ
“นับเป็นการยึดพื้นที่ข่าวพีอาร์ได้อย่างยอดเยี่ยม และเป็นวิธีการที่ค่อนข้างฉลาดของ Volvo” Tim Urquhart นักวิเคราะห์จาก IHS Markit บริษัทบริการข้อมูลธุรกิจของประเทศอังกฤษ ให้ความเห็น “ครึ่งหนึ่งเหมือนเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้แบรนด์ แต่อีกครึ่งหนึ่งถือเป็นแถลงการณ์ที่น่าประทับใจในการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของพวกเขา”
ถ้อยคำในแถลงการณ์ที่ได้รับการยกย่องเป็นคำพูดของ Hakan Samuelsson ซีอีโอ Volvo Cars ระบุว่า “แถลงการณ์นี้เป็นบันทึกการสิ้นสุดยุคของการใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในเท่านั้นในการขับเคลื่อนรถยนต์ Volvo Cars ขอประกาศแผนที่จะขายรถยนต์ไฟฟ้า 1 ล้านคันภายในปี 2025 เรามุ่งมั่นจะทำให้สำเร็จตามข้อความที่เราประกาศออกมา นั้นคือแนวทางที่เราจะก้าวเดินไปสู่เป้าหมาย”
แต่หากลงลึกสู่รายละเอียด Volvo ไม่ได้จะยุติการผลิตเครื่องยนต์สันดาปภายใน (Combustion Engine) ในเวลา 1-2 ปีข้างหน้า ตามแผนของพวกเขาระหว่างปี 2019-2021 จะมีการเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 5 โมเดล โดยทั้งหมดจะมีตัวเลือกในรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน/ดีเซล ขับเคลื่อนด้วยระบบ Plug-in Hybrid และ Mild Hybrid ที่ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 48 โวลต์
Hakan Samuelsson ประธานบริหารของ Volvo Cars
นอกจากนี้ 2 ใน 5 โมเดลของรถยนต์ไฟฟ้าจะถูกแยกเป็นแบรนด์ Polestar ที่ถูกอัพเกรดขึ้นมาจากปัจจุบันที่เป็นแผนกพัฒนารถยนต์สมรรถนะสูงของ Volvo ทำให้พวกเขามีตัวเลือกในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าที่หลากหลายมากที่สุดแบรนด์หนึ่งอีกด้วย
อย่างไรก็ตามแถลงการณ์ของ Volvo นับเป็นการเปลี่ยนนโยบายบริษัทแบบกะทันหัน หากดูจากรายงานประจำปี 2016 ที่เพิ่งตีพิมพ์ออกมาเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พวกเขาประเมินว่าสถานการณ์ของรถยนต์ไฟฟ้า “ไม่มีความแน่นอนในระดับสูง” ทั้งจำนวนผู้ใช้งาน และต้นทุนแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่เป็นหัวใจสำคัญ
แต่สถานการณ์ปัจจุบันที่ราคาแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยผลศึกษาล่าสุดของ UBS บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนในสวิตเซอร์แลนด์ คาดการณ์ว่าในปี 2018 ต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามีโอกาสจะลงมาอยู่ระดับเดียวกับเครื่องยนต์สันดาปภายใน โดยเราต้องติดตามดูกันต่อไปว่าจะจริงหรือไม่
ภาพแรกของ Tesla Model 3 ที่ออกจากโรงงาน ถูกขโมยซีนไปแบบไม่คาดคิด
“หลายสิ่งเปลี่ยนแปลง ทำให้เราต้องเปลี่ยนการตัดสินใจของตัวเอง” Samuelsson อธิบายเหตุผล “ทั้งราคาแบตเตอรี่ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง และการเพิ่มจำนวนของสถานีชาร์จไฟฟ้า” แต่เขาออกตัวว่า Volvo เป็นเพียงแบรนด์รถยนต์พรีเมียมอันดับ 2 ของโลกรองจาก Tesla ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า “พวกเขาเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งที่เราให้ความเคารพ”
สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนดูได้จากตัวเลขยอดขายรถยนต์ในทวีปยุโรปของ Toyota ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2017 ที่เพิ่งประกาศออกมาเมื่อสัปดาห์ก่อน นับเป็นครั้งแรกที่รถยนต์ไฮบริดของยักษ์ใหญ่แดนอาทิตย์อุทัยมียอดขายสูงถึง 40 เปอร์เซ็นต์จากตัวเลขรวม
นอกจากนี้มาตรการควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เริ่มมีความเข้มงวดมากขึ้น โดยนับตั้งแต่ปี 2021 รถยนต์ที่ผลิตขายในยุโรป ต้องปล่อยไอเสียต่ำกว่า 95 กรัม/กม. และมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน 24 กม./ลิตร เช่นเดียวกับอีก 2 ตลาดใหญ่ สหรัฐฯ เพิ่มระดับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเป็น 23 กม./ลิตร ในปี 2025 และจีน จะเพิ่มเป็น 20 กม./ลิตร
ตามข้อมูลของบริษัทวิจัยข้อมูล AID ในปี 2016 Volvo มียอดขายในทวีปยุโรป 290,004 คัน แต่คิดเป็นรถกลุ่มไฮบริด 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ขณะที่ยอดขายรถยนต์ดีเซลร่วงลงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ Volkswagen ยักษ์ใหญ่ของเยอรมนี ถูกจับได้ว่าติดตั้งซอฟต์แวร์หลบเลี่ยงการตรวจค่าไอเสีย เมื่อปลายปี 2015 จนกลายเป็นคดีอื้อฉาว ‘Dieselgate’ ที่ยืดเยื้อมาถึงทุกวันนี้ ทั้งที่ความจริงเครื่องยนต์ดีเซลมีอัตราปล่อย CO2 ต่ำกว่าเครื่องยนต์เบนซิน
“ดีเซล เคยเป็นอาวุธหลักที่ถูกเลือกใช้เพื่อสร้างรถยนต์ที่อยู่ภายใต้กฎที่กำหนด ตอนนี้พวกเขาต้องเปลี่ยนมาใช้แผนสำรองแทน” Matthias Schmidt นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมรถยนต์จาก AID ให้ความเห็น โดย Volvo มียอดขายรถยนต์ดีเซลในยุโรป 83 เปอร์เซ็นต์ เป็นรองแค่ Land Rover (96%) และ Jaguar (84%) ทำให้มีสิทธิ์จะเกิดอีกข่าวใหญ่ตามมา “ไม่ต้องเซอร์ไพรส์หากมีการประกาศข่าวทำนองเดียวกันจาก Jaguar Land Rover”
ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่ Volvo เลือกเดินหน้าสู่การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าแบบเต็มตัว โดยระหว่างงาน Auto Shanghai 2017 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา พวกเขายืนยันจะใช้โรงงานในประเทศจีน ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กออกขายในปี 2019 ตามนโยบายสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อส่งออกของรัฐบาลแดนมังกร
ที่สำคัญตลาดรถยนต์นั่งในประเทศจีน มีอัตราเติบโตสูงสุดของโลก เมื่อปี 2016 มียอดขายรถยนต์นั่งราว 28 ล้านคัน ขณะที่ยอดขายรถยนต์ในประเทศสหรัฐฯ อยู่ที่ 17.55 ล้านคัน ทำให้กลายเป็นประเทศที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตสูงสุดในเวลาเดียวกันด้วยจำนวน 352,000 คัน เกือบจะ 2 เท่าของยอดขายรถไฟฟ้าในสหรัฐฯ 160,000 คัน
บรรดานักวิเคราะห์อุตสาหกรรมรถยนต์มองว่าหาก Volvo และแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่ทำตลาดในประเทศจีน มียอดขายเพิ่มสูงขึ้น และต้นทุนแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนถูกลง จนมาสู่จุดคุ้มทุนที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาใกล้เคียงกับเครื่องยนต์สันดาปภายใน และเมื่อถึงเวลานั้นชื่อของ Volvo อาจกลับขึ้นมาอยู่หัวแถวของวงการรถยนต์โลกอีกครั้งก็เป็นได้
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: Volvo Media/ Automotivenews.com
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th