ตื่นเช้ามุ่งหน้าสู่ถนนที่สวยที่สุดในโลก Atlantic Ocean Road
เช้านี้เป็นอีกหนึ่งวันที่อากาศดีแดดอ่อนๆยามเช้าทำให้เรารู้สึกสดชื่นขึ้นอีกหลายเท่าตัว แต่ถึงแม้แดดจะออกแต่ความหนาวและลมที่พัดโหมกระหน่ำไม่ได้ลดลงเลย กิจกรรมเดิมๆของเราคือรีบกินข้าวเช้าให้เรียบร้อย แล้วออกไปถ่ายรูป วันนี้ราจะเดินทางออกจากเมือง Trondheim มุ่งหน้าสู่เมือง Leikanger ระยะทางประมาณ 580 กิโลเมตร
แต่ไฮไลท์มันไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางของเราแต่มันอยู่ระหว่างการเดินทางเพราะวันนี้เราจะขับเจ้ามาสด้าCX-5วิ่งบนถนนที่ได้ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในโลกคือ Atlantic Ocean Road วิ่งข้ามมหาสมุทรแอดแลนติกกันเลยทีเดียว ผมนี้ตื่นเต้นไม่น้อยเพราะเคยเห็นแต่ในรูปผ่านอินเตอร์เน็ตวันนี้จะได้เห็นของจริงแล้วจ้า
เราเริ่มออกเดินทางจากเมืองTrondheimวิ่งลัดเลาะในตัวเมืองเพื่อวนออกไปยังถนนหลัก ทำให้เรารู้ว่าเจ้า Mazda CX-5 มีความคล่องตัวสูงมากขับสบายลัดเลาะไปตามถนนเล็กของเมืองTrondheimได้อย่างคล่องตัว ภาพบ้านเรือนของเมืองแห่งนี้ช่างน่าหลงไหลยิ่งนัก เราออกเดินทางได้ซักพักใหญ่ฝนก็เริ่มโปรยปลายลงมาอีกครั้งเส้นทางในวันนี้ส่วนมากจะต้องวิ่งลัดเลาะขึ้น-ลงภูเขาซะส่วนใหญ่แต่ด้วยพละกำลังของเครื่องยนต์เครื่องยนต์ดีเซล 2,200 ซีซี เทอร์โบชาร์จแบบ 2 สเตจ ฝาสูบแบบ DOHC 16 วาล์ว พร้อมระบบแปรผันวาล์วไอเสีย VVT ให้กำลังสูงสุด 175 แรงม้า ที่ 4,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 42.79 กก.-ม. ที่ 2,000 รอบต่อนาที ที่สามารถผ่านเราขึ้น-ลงเขาได้อย่างง่ายดายพละกำลังเหือเฟืดเลยทีเดียวครับ การเร่งแซงรถยนต์ท้องถิ่นที่วิ่งช้าก็ไม่มีปัญหารวดเร็วทันใจไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อย
ขับผ่านเขาสูงที่มีทั้โค้ซ้าย-ขวาแถมถนนยังเล็กอีกทำให้เราใช้ความเร็วไม่ได้ แต่ช่วงล่างแบบอิสระพร้อมเหล็กกันโคลงทั้ง 4 ล้อ ด้านหน้าแม็กเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังมัลติลิงก์ ช่วงล่างปรับเซตเพื่อความนุ่มนวล ขับความเร็วต่ำถึงปานกลางนุ่มนวลและผ่อนคลาย สามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนจากพื้นผิวของถนนได้ดี การเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงระบบ G-VECTORING CONTROL (GVC) ระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดภายใต้ชุดเทคโนโลยี SKYACTIV-VEHICLE DYNAMICS ระบบ GVC ช่วยควบคุมสมรรถนะในการขับขี่ให้แม่นยําและสมดุล ขับง่ายมากครับ
เค้าโค้งได้อย่างแม่นยำและนุ่มนวลและเพื่อให้ผู้ขับMAZDA CX-5 โฉมใหม่สัมผัสความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันของคนกับรถได้อย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นการทํางานของระบบ GVC ระบบจะทํางานโดยประมวลผลจากการบังคับพวงมาลัยของผู้ขับขี่ ความเร็วของรถ รวมถึงน้ำหนักของเท้าที่กดลงบนแป้นคันเร่งจากนั้นระบบจะควบคุมแรงบิดของเครื่องยนต์และเกิดการถ่ายน้ำหนักที่เหมาะสมไปสู่แต่ละล้อทําให้รถเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้นควบคุมได้แม่นยําในทุกสถานการณ์ แถมเจ้าพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าปรับปรุงเรื่องน้ำหนักให้เบาที่ความเร็วต่ำ และไม่กระทบกับประสิทธิภาพการควบคุมเมื่อใช้ความเร็วสูงจะรู้สึกว่าพวงมาลัยมีความหนืดไม่เบาหวิวน้ำหนักกำลังดีเลยครับเพิ่มความมั่นใจในการขับได้เยอะมากทีเดียวครับ
เราผ่านโค้งซ้าย-ขวา ขึ้น-ลงเขามาซักระยะหนทางยังคงอีกยาวไกลนักแต่วันนี้เราจะนำเจ้าMAZDA CX-5 ขึ้นเรือเฟอร์รี่กันช่วยย่นระยะได้นิดหน่อย(ดีเลยครับ)ขับลงมาที่ท่าเรือเฟอร์รี่การจัดการดีมากครับมาตรงเวลาแถมไม่ต้องรอคิวนาน อารมณ์เหมือนเอารถลงเรือข้ามไปเกาะช้างยังไงอย่างนั้นเพียงแต่อากาศดีกว่าและวิวสวยกว่าก็เท่านั้น เราอยู่บนเรือประมาณ 20 นาที ก็ได้ยินเสียงเรียกขึ้นรถได้แล้วเตรียมออกเดินทางกันต่อเลยลงเรือมาเรายังคงเจอกับถนนเล็กๆที่วิ่งลัดเลาะริมทะเลไปเรื่อยๆฝนยังคงตกไม่ขาดสายแถมยังมีลมพัดโหมกระหน่ำเข้ามาอีก
คณะของพวกเราควบเจ้าMAZDA CX-5 ฝ่าฝนจนเราเห็นสะพานสูงๆอยู่ด้านหน้าใช่แล้วครับเราเดินทางมาถึงถนนที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในโลกแล้ว แต่จากมุมมองบนรถมันไม่เหมือนในภาพถ่ายซะเท่าไหร่นักฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆตามโปรแกรมเราจะใช้เวลาอยู่ถ่ายรูปชื่นชมถนนที่สวยงามแห่งนี้ประมาณ 1 ชั่วโมงแต่เนื่องจากฝนตกหนักมากแถมลมก็แรงมากจนแถบจะยืนไม่อยู่ เราทำได้แค่เพียงวิ่งฝ่าลมไปถ่ายรูปถนนเก็บไว้เป็นที่ระลึก ก่อนออกเดินทางกันต่อเอาน่าอยากน้อยเราก็กลับไปคุยได้ว่าเราขับรถบนถนนที่สวยที่สุดในโลกมาแล้วแถมขับบนทะเล Atlantic ซะด้วยถือว่าคุ้มแล้ว
ก่อนวิ่งขึ้นรถเพราะสู้แรงลมไม่ไหวควบเจ้า Mazda CX-5มุ่งหน้าร้านอาหารกลางวันซึ่งเรายังต้องไปอีกเกือบ 200 กิโลเมตร เพราะเมืองที่เราจะแวะพักกินข้าวกลางวันกันมันอยู่บนเขา เราขับฝ่าพายุฝนที่ตกกระหน่ำมันทั้งวันแต่ผมก็ไม่หวั่นเพราะระบบเบรกดิสก์ 4 ล้อ สามารถหยุดรถได้อย่างมั่นใจเพียงแต่มันจะรู้สึกลึกไปนิด ช่วงแลกอยากจะเหมือนเบรกไม่ค่อยอยู่ต้องปรับตัวให้ชินซักระยะ เบรกหยุดแบบนุ่มนวลแน่นอน
เดินทางต่อพักใหญ่ๆเราก็มาถึงเมืองที่เราแวะรับประทานอาหารกลางวันกัน เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆเรียบง่ายน่าอยู่มากครับ ด้วยความที่เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่บนภูเขาทำให้ที่จอดรถไม่มีในย่านนั้น เราจึงต้องวนรถไปจอดที่จอดรถของเมืองนี้ซึ่งมันทำให้ผมตื่นตาตื่นใจมากเพราะเขาเจาะภูเขากลางเมืองทำที่จอดรถด้านในอลังกาลงานสร้างมากครับ
เรารีบทานอาหารกันจนอิ่มท้องก่อนที่จะออกเดินทางกันต่อเพราะจุดมุ่งหมายของเราในวันนี้คือเมือง Leikanger ที่หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลนัก
การเดินทางในวันนี้แค่ 580 กิโลเมตรแต่มันใช่เวลานานกว่าเมื่อวานที่เราขับ900กิโลเมตรซะอีก เพราะเส้นทางมันเล็กแถมฝนตกและขึ้น-ลงเขาตลอดเส้นทางขับค่อนข้างยากแต่ระบบ LDWS (Lane Departure Warning System) ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลนส่งเสียงเตือนผมเมื่อผมขับเพลินๆแล้วรถมันเอียงขวาโดยไม่ได้ ตั้งใจช่วยผมได้เยอะทีเดียว เรายังคงข้ามเอารถข้ามเรือเฟอร์รี่เพื่อย่นระยะทางแต่มันก็ไม่ได้ทำให้การเดินทางเร็วขึ้นซะเท่าไหร่นักเพราะเส้นทางที่เล็กรถสวนมาเล่นเอาเสียวทุกครั้ง แถมวิ่งโค้งซ้าย-ขวา ขึ้น-ลงเขาตลอดเส้นทางแถมไหล่ทางก็ไม่มีเหวล้วนๆ
ฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆจนมืดสนิทไฟถนนก็ไม่มีดวง ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะของเจ้า MAZDA CX-5 ก็ติดขึ้นช่วยส่องสว่างบนถนนที่มืดมิดไร้แสงไฟทำให้ผมขับง่ายขึ้นแยอะมองเห็นไกลและชัดเจนขึ้นเพราะไฟหน้าของ MAZDA CX-5 คันนี้สามารถปรบ ไฟสูง – ต่ำ แยกอิสระ ซ้าย – ขวา อัตโนมัติให้เหมาะสมกับสภาพถนน ระยะห่างจากตําแหน่งของรถคันหน้า หรือรถที่วิ่งสวนมาฉลาดจริงๆเลย
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงเมืองLeikangerเมืองเล็กที่น่าเดินทางมาท่องเที่ยวโอบโล้มด้วยภูเขาสูงชั้นถ้ามาถึงไม่ดึกขนาดนี้เราคงได้มีโอกาศเดินเล่นชนบรรยากาศนั่งสูดโอนโซนกันเต็มปอดไปแล้วแต่เรามาถึงดึกเกิ๊นใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนาน เราทำได้แต่เพียงทานอาหารค่ำแล้วรีบนอน เพราะในวันพรุ่งนี้เรามีโปรแกรมไปล่องเรือชิลล์ๆชมความงดงามของฟยอร์ด (Fjord)กันที่ Flam ก่อนที่จะขับรถเพียงแค่ 260 กิโลเมตร สู่เมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังของนอร์เวย์อย่าง Bergen
เรื่อง : ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th