ทดสอบโตโยต้า C-HR HV Hi รถไฮบริดสุดชิค ทรงสวย ช่วงล่างเยี่ยม แถมประหยัด 24.4 กม./ลิตร
หลังจากโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ปล่อยรถยนต์ ซับคอมแพค เอสยูวี สุดชิคอย่าง โตโยต้า C-HR ออกมาสู่ตลาดประเทศไทยแถมได้รับการตอบรับที่ดีจนกลายเป็นกระแสการกล่าวถึงในสังคมออนไลน์อย่างต่อเนื่อง โดยเจ้า โตโยต้า C-HR มีทั้งเครื่องยนต์ เบนซิน 1.8 และ เครื่องยนต์ไฮบริด ให้เลือกตามความเหมาะสมตามการใช้งานของลูกค้า และมีให้เลือกถึง 4 รุ่น โดยราคาเริ่มต้นที่ 979,000 -1,159,000 บาท
ผมเชื่อว่าหลายท่านคงมองไปที่ตัวเครื่องยนต์เบนซิน เพราะราคาที่ถูกกว่า แถมรูปทรงรถ และออฟชั่นต่างๆแถบจะไม่ต่างกัน ซึ่งถ้าเน้นไปที่รูปทรง และชอบในเครื่องยนต์ปกติ หรือไม่ก็คิดจะซื้อมาแต่งอยู่แล้ว ผมมองว่ารุ่นตัว 1.8 เบนซินทั้ง 2 รุ่นน่าสนใจกว่า เพราะราคามันต่างกับรุ่นไฮบริดประมาณ 180,000 บาท
แต่ว่าถ้าท่านไหนอยากลองเทคโนโลยี ใหม่ ระบบไฮบริดของโตโยต้าที่ตัวนี้พัฒนามาถึงเจนเนอเรชั่นที่ 4 แล้วทั้งดีกว่าเดิม และประหยัดกว่าเดิมแน่นอน (ซึ่งทางโตโยต้าบอกว่าลูกค้า ประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ จะซื้อรุ่นไฮบริด เพราะเพิ่มเงินไม่มากนัก แต่ได้อุปกรณ์มาตรฐานเพิ่มขึ้นหลายรายการ)
ในวันนี้เรามีโอกาสได้ไปขับทดสอบเจ้า C-HR โดยทางโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ได้เชิญทางเราเข้าร่วมทดสอบในกลุ่มที่ 3 น่าน –แพร่-ลำปาง ระยะทางประมาณ 224 กิโลเมตร และดูเหมือนทางโตโยต้าเค้าจะเน้นขายในรุ่นไฮบริดเป็นหลัก เพราะการมาทดสอบครั้งนี้โตโยต้า ขนมาแต่รุ่นไฮบริดล้วนๆจร้า โดยในครั้งนี้เราได้ขับเจ้า โตโยต้า C-HR HV Hi รุ่นท็อปสุด เอาละเรามารีวิวเจ้าคันนี้กันว่ามันจะดีขนาดไหน
รูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวทั้งภายนอกและภายในจากการใช้เพชรเป็นแนวคิดในการออกแบบจะเห็นได้ว่ามีลายเพชรเต็มคันเลยที่เดียว ดูสปอร์ตเท่ห์ เก๋ไก๋ ชิคสุดๆ ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ปรับระดับสูง-ต่ำ อัตโนมัติพร้อมระบบ Follow-Me-Home เสริมความเท่ห์ด้วย LED Daytime Running Light มีเส้นสายยาวจากโลโก้ ดูสปอร์ต ล้ำสมัย ส่วนไฟท้ายมีรูปทรงบูมเมอแรงสวยแปลกตาดี ด้านหลังรถตรงที่เปิดฝาท้ายกระโปรงมีติดกล้องถอยหลังมาให้ ล้อแม็ก มีขนาด 17 นิ้ว รูปทรงเชยมาก พอถามทางโตโยต้าบอกมีแค่ลายนี้ลายเดียวเหมือนกันกับญี่ปุ่น แต่ที่ผมเห็นตัวไฮบริดเค้าเป็นลายอื่นนะครับ คาดว่าคงเก็บไว้ตอนไมเนอร์เชนจ์ ผมว่าถ้าเปลี่ยนลายล้อรถจะดูโดดเด่นกว่านี้แน่นอน
คันนี้มาพร้อมแพลตฟอร์มใหม่ TNGA หรือ Toyota New Global Architecture ใช้ระบบไฮบริดรุ่นล่าสุดเจนเนอเรชั่นที่ 4 ที่ใช้ใน พริอุสโฉมล่าสุด และติดตั้งระบบความปลอดภัย Safety Sense แบบเดียวกับคัมรี่ เพิ่มความมั่นใจด้วยการรับประกัน 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร และฟรีค่าแรงเช็คระยะ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร
เอาละเรามาดู ระบบไฮบริดใหม่ของเจ้าโตโยต้า C-HR คันนี้กันดีกว่า ระบบไฮบริดเจนเนอเรชั่นที่ 4 ตัวมอเตอร์ไฟฟ้าจะติดตั้งอยู่ในชุดเกียร์ ตัวมอเตอร์มีขนาดใหญ่ขึ้นแต่มันกินไฟน้อยลง ทำงานได้ที่ความเร็วสูงขึ้นจาก 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเจนเนอเรชั่นที่ 3 เป็น 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับปริมาณไฟฟ้าในแบตเตอรี่)นั้นหมายความว่าถ้าแบตเตอรี่เต็มแล้วกดคันเร่งแบบเนียนๆมันจะวิ่งด้วยไฟฟ้าอย่างเดียวได้ถึง 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แบตเตอรี่มีขนาดเล็กลง และย้ายมาติดตั้งใต้เบาะหลัง กระจายน้ำหนักดีขึ้น แถมระบายความร้อนด้วยพัดลมดูดอากาศเย็นจากห้องโดยสาร มาพร้อม Air Filter ที่สามารถถอดล้างเองได้ ช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ รับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริด 5 ปี เครื่องยนต์ก็มีการพัฒนาให้มีการระบายความร้อนที่ดีขึ้น และปรับปรุงชุดเกียร์ E-CVT ให้มีขนาดเล็กลง
เรามาดูกันที่ภายในกันบ้างดีกว่า เปิดประตูเข้าไปห้องโดยสารใหญ่กว่าที่คิดครับ ภายในออกแบบเน้นไปที่สไตล์เป็นหลัก ให้ความสปอร์ต เรียบหรู เหมาะสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า เบาะผู้ขับนั่งสบายไม่ปวดหลัง ฝั่งผู้ขับปรับสูง-ต่ำได้ และมีที่ดันหลังไฟฟ้า พวงมาลัยปรับได้ที่ 4 ทิศทาง ที่เก็บของด้านหลังกว้างขวางเพราะไม่ต้องแบ่งพื้นที่ให้แบตเตอรี่ และไม่มียางอะไหล่ แต่ให้ชุดปะพร้อมปั๊มลมมาแทน พนักพิงเบาะหลังแยกพับได้ 60:40 แต่พับแล้วไม่ราบเป็นระดับเดียวกับพื้นห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง
ขณะที่พื้นที่สำหรับผู้โดยสารด้านหลังจริงๆแล้วนั่งสบายกว้างขวางใช่ได้อยู่นะครับ เพียงแต่จะรู้สึกอึดอัดเพราะไอ้แผงประตูด้านหลังนี่ละครับ ด้วยความที่ทรงรถที่เป็นสไตล์คูเป้ และการออกแบบมือจับด้านหลังซ่อนอยู่ด้านบนจึงทำให้ด้านในห้องโดยด้านข้างหลังต้องมีแพงขนาดใหญ่ พื้นที่กระจกก็เล็กลง ทำให้เวลานั้งด้านหลังจะรู้สึกอึดอัด ยิ่งถ้าเป็นคนเมารถด้วยนะผมบอกเลยไม่เหมาะกับนั่งหลังเพราะคุณอาจจะเวียนหัวและอวกได้ ก็อย่างว่าครับเค้าออกแบบมาให้เป็นรถ เอสยูวี ทรงคูเป้ ที่เน้นไลฟ์สไตล์ชัดเจน วัสดุและการสัมผัสสมกับราคาค่าตัว หลายจุดยังเป็นพลาสติกแข็งแต่ให้ผิวสัมผัสดี หน้าจอเครื่องเสียง ระบบสัมผัส Touchscreen ขนาด 7 นิ้ว เครื่องเสียงวิทยุ AM / FM CD MP3 ช่องเชื่อมต่อ AUX / USB ระบบเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth กล้องมองภาพขณะถอยจอด ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง (คู่หน้า – ด้านข้าง – ม่านนิรภัย – หัวเข่าคนขับ)
เอาละเรามาขับเจ้าโตโยต้า C-HR HV Hi กันเลย เราออกจากตัวเมืองน่าน มุ่งหน้าไปทานอาหารกลางวันที่จังหวัดแพร่ เส้นทางในตัวเมืองน่านถนนค่อนข้างเล็กแต่ความคล่องตัวของเจ้า โตโยต้า C-HR HV Hi สามารถพาเราลัดเลาะตามซอกซอยได้อย่างสบาย โตโยต้า C-HR ทุกรุ่นใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1,800 ซีซี บล็อกหลักพื้นฐานเดียวกัน โดยรุ่นไฮบริดเป็นแบบ Atkinson Cycle กำลังอัด 13.0:1 เฉพาะเครื่องยนต์มีกำลังสูงสุด 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 14.5 กก.-ม. ที่ 3,600 รอบต่อนาที มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 53 กิโลวัตต์ แรงบิด 16.6 กก.-ม. กำลังขับรวมมอเตอร์ไฟฟ้า 122 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT ช่วงแรกเป็นถนน 4 เลน ทำความเร็วได้ต่อเนื่อง เราเลยของลองอัตราเร่งกันหน่อย อัตราเร่งขณะออกตัวทำได้ดีทีเดียวครับ
เพราะด้วยความที่เจ้าโตโยต้า C-HR HV Hi เป็นรถยนต์ไฮบริดการออกตัวจึงใช้พละกำลังของไฟฟ้าล้วนๆทำให้การออกตัวทำได้อย่างทันใจ ที่ความเร็วต่ำถึงปานกลางกดคันเร่งลงไปอัตราเร่งเพิ่มขึ้นแบบต่อเนื่องขับสนุกดีเหมือนกัน จากนั้น เป็นถนน 2 เลนสวน ขึ้นเขาคดเคี้ยว มีการเร่งแซงบ่อยครั้ง การเร่งแซงต้องดูจังหวะดีๆบางจังหวะต้องกดคันเร่งลึกหน่อย หรือคลิกดาวน์ช่วยครับ โตโยต้า C-HR HV Hi มี 3 โหมดการขับให้เลือกนะครับ คือ Sport, Normal และ Eco แตกต่างในเรื่องการตอบสนองของคันเร่ง Sport การตอบสนองของคันเร่งรวดเร็วทันใจขับสนุก ส่วนถ้าเป็นโหมด Eco คันเร่งจะตอบสนองแบบนุ่มนวลเน้นไปที่การประหยัดน้ำมัน ถ้าขับในเมืองที่รถติดๆ และแบตเตอรี่มีเพียงพอ กด โหมด EV เลยจร้า ประหยัด 100 เปอร์เซ็น ซึ่งมีสวิตช์เปิดการทำงานที่คอนโซลเกียร์ต้องก้มหน้ามาหาหน่อยถ้าติดตั้งในตำแหน่งที่กดง่ายกว่านี้ก็จะดีเลย อัตราสิ้นเปลื้องที่ทำได้เจ้า โตโยต้า C-HR HV Hi ถือว่าประหยัดเกินคาดครับ เพราะขับกันแบบเต็มๆเรียกได้ว่าใช้ไฟฟ้าน้อยมาก แถมยังขึ้น-ลง เขาอีกได้อัตราสิ้นเปลืองที่ประมาณ 19 กิโลเมตรต่อลิตร นี่ถ้าขับดีๆแบบเดินคันเร่งเนียนๆ ได้ถึง 25 กิโลเมตรต่อลิตร เลยทีเดียว (เพื่อนร่วมทริปผมเค้าทำได้นะครับแอร่ๆ)
ระบบกันสะเทือนอิสระพร้อมเหล็กกันโคลง 4 ล้อ ด้านหน้าแม็กเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังปีกนก 2 ชั้น ปรับเซ็ตมาให้มีความนุ่มหนึบ ไม่แข็งกระด้าง เข้าโค้งแคบๆ โค้งสลับซ้าย-ขวา ได้อย่างมั่นใจ ตัวรถไม่โคลงมาก ทางตรงใช้ความเร็วสูงไม่ย้วยหรือวูบวาบ สามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนจากพื้นผิวของถนนได้ดี ประทับใจช่วงล่างครับเซ็ทมาดีจริง แถมพวงมาลัยน้ำหนักดีควบคุมง่ายเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง เบรกแบบดิสก์ 4 ล้อ ต้องใช้เวลาสร้างความเคยชินซะนิดนึงครับ เพราะครั้งแรกที่แตะเบรกความเร็วมันไม่ลดอย่างที่ใจต้องการ เหมือนจะเบรกไม่อยู่ แต่พอกดลึกลงไปอีกนิดมันหยุดหัวทิ่มเลย พอปรับตัวได้แล้วก็เบรกได้อย่างนุ่มนวลครับ
ลงมาก่อนเข้าตัวเมืองลำปางเถนน 4 เลน ทางตรงยาวๆเลยมีโอกาสได้ใช้ ครูสคอนโทรล ของเจ้าโตโยต้า C-HR HV Hi ที่มาพร้อม Dynamic Radar Cruise Control ตรวจจับรถคันหน้าด้วยเรดาร์ เพื่อรักษาระยะห่างที่ปลอดภัย แถมตั้งได้ 3 ระดับ โดยจะลดความเร็วอัตโนมัติเพื่อรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้า และเมื่อไม่มีรถด้านหน้าก็จะเร่งกลับไปยังความเร็วที่ตั้งไว้ แต่เมื่อความเร็วลดลงถึงประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบจะตัดการทำงานพร้อมเสียงเตือน ผู้ขับต้องเบรกเอง สบายจริงๆครับคุมพวงมาลัยอย่างเดียวชิลล์มากเลย แต่ตลอดทางจะได้ยินเสียงพัดลมดูดอากาศเพื่อระบายความร้อนของแบตเตอรี่ไฮบริดเป็นระยะ เพราะมันอยู่ที่ใต้เบาะหลัง ไม่ถึงกับรำคาญ แต่ก็ได้ยินเสียงพัดลมทำงานตอนแรกหาตั้งนานว่าเสียงอะไร
ถามว่ารุ่น C-HR HV Hi มีอะไรต่างจากรุ่น HV Mid บ้างหลักๆก็จะมี Welcome Lamp LED ที่กระจกมองข้าง, กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ, ระบบกรองอากาศในห้องโดยสาร nanoe, ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM หรือ Blind Spot Monitor, ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA, ระบบความปลอดภัยก่อนการชน PCS ,ระบบ BA, ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ AHB, ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ LDA with Steering Assist หรือ Lane Departure Alert ,ระบบจะเตือนที่หน้าจอ MID
สรุป โตโยต้า C-HR HV Hi คันนี้ ตัวรถรูปทรงดูสวย เท่ห์ สปอร์ต และแปลกตา เน้นความโฉบเฉี่ยวสไตล์รถคูเป้ยกสูง แถมมีเครื่องยนต์ให้เลือกทั้งในแบบเบนซิน1.8 ธรรมดา และเครื่องยนต์1.8 ไฮบริด ที่พัฒนาเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 4 เทคโนโลยีเพียบ ให้เลือกซื้อตามความเหมาะสมของการใช้งานในของแต่ละบุคคล ใช้อยากได้รถยนต์ เก๋ๆ ไว้พร้อมลุยทั้งในเมือง และนอกเมือง ไปบนถนนที่รถยนต์ซีดานธรรมดาไปไม่ได้ แถมประหยัดเชื้อเพลิง ช่วงล่างนุ่มนวล สมรรถนะของเครื่องยนต์และระบบไฮบริด โดยรวมถือว่าเพียงพอกับการใช้งานทั่วไป ไม่หวือหวาเแต่ก็ไม่อืด แต่ได้เรื่องความประหยัดมาแทน ผมว่าเจ้า ช่วงล่างนุ่มนวล และหนึบควบคุมง่าย พร้อมระบบ เทคโนโลยีต่างๆอัดมาให้เพียบ ส่วนใครอยากรู้ราคาแบตเตอรี่ของเจ้า โตโยต้า C-HR HV Hi ก็จะอยู่ที่ประมาณ 61,500 บาท เท่านั้น แต่ไม่ต้องกังล ออกไปไปเค้ารับประกันแบตเตอรี่ 10 ปี กับราคาค่าตัวรุ่นท็อปสุด ที่ 1,159,000 บาท ผมว่าเป็นรถไฮบริดที่น่าสนใจมากที่เดียวครับ
เรื่อง : ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th