ทดสอบ ยาริส แฮทซ์แบ็ค ตัวท็อปสุดรุ่น G ขับสนุก นุ่ม หนึบ นั่งสบาย โดนใจวัยรุ่น
หลังจากที่เราได้ไปทดลองขับ อีโคคาร์ ซีดาน อย่าง เอทีฟ มาแล้ว ครั้งนี้โตโยต้าได้เชิญเรามาร่วมทดสอบอีกหนึ่งตัวเลือกในเซ็กเมนท์ อีโคคาร์ ของโตโยต้า อย่างโตโยต้า ยาริส แฮทซ์แบ็ค รุ่นปรับโฉม แต่ผมดูไปแล้ว แหมม ปรับเกือบหมด เหมือนรถโมเดลใหม่เลยนะนี่ ปรับครั้งนี้ลูกค้าคุ้มค่าเลยจร้า หลายคนสงสัยและตัดสินใจยากว่าจะซื้อรุ่นไหนดี นอกจากรูปทรงต่างกัน แล้วสมรรถนะมันต่างกันหรือไม่
วันนี้เรามาทดสอบกัน และเส้นทางที่ใช้ในการทดสอบครั้งนี้คือ กรุงเทพ – กาญจนบุรี ระยะทางประมาณ240 กิโลเมตร โดยมีทั้งวิ่งในเมือง บนไฮเวย์ นอกเมืองบนถนนเลนสวนที่มีการเร่งแซงบ่อยครั้ง และขึ้น-ลงเขา ที่มีโค้งซ้าย-ขาว เรียกได้ว่าเส้นทางที่จะมาทดสอบในครั้งนี้ครบทุกสภาพถนนเลยครับ ไม่มีการทำสถิติประหยัดน้ำมัน วิ่งจริง ใช้งานจริง ครับ เรามาดูกันว่าเจ้า ยาริส แฮทซ์แบ็ค คันนี้มันจะสู้เอทีฟได้หรือไม่ มาดูกันครับ
เริ่มจากรูปลักษณ์ภายนอกอย่างที่เห็นกันครับว่ามันเป็นรูปทรงแฮทซ์แบ็ค 5 ประตู ส่วนไอ้เจ้าเอทีฟเป็นซีดาน 4 ประตู สำหรับเจ้า ยาริส แฮทซ์แบ็ค คันนี้อย่างที่บอกรูปลักษณ์เค้าปรับดีไซน์ใหม่เกือบทั้งคัน ภายนอกดูโฉบเฉี่ยวมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า เน้นความสปอร์ตด้วยไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์พร้อมไฟ LED Light Guiding เพิ่มความเท่ห์ด้วยไฟส่องสว่างเวลากลางวัน ( Daytime Running Light ) แบบ LED พร้อมไฟตัดหมอกหน้าไฟท้ายก็เป็นแบบ LED Light Guiding ส่วนไฟเบรกกดวงที่3ก็เป็น LED เพิ่มความหรูหราด้วยเสาอากาศแบบครีบฉลาม กระจกมองข้างพร้อไฟเลี้ยว และล้ออัลลอยขนาด 15นิ้ว
ภายในเข้มสปอร์ตสุดๆด้วยการใช้โทนสีดำโดนใจวัยรุ่น เลือกใช้วัสดุคุณภาพดี แต่อย่าเพลอแอบไปรับกิ๊กนะเพราะถ้าเปื้อนแป้งบีบีมาละเห็นชัดเลยเดียวงานเข้า ฮาฮา พวงมาลัยหุ้มหนังจับกระฉับมือพร้อมสวิตซ์ควบคุมเครื่องเสียง ปรับได้แค่ขึ้น-ลง เท่านั้นนะครับ ดึงเข้า-ออกไม่ได้ เซงเลย มาตรวัดเรืองแสงแบบ Optitron พรร้อมจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่อัจฉริยะMID เครื่องเสียงก็จัดมาให้แบบไม่ขี้เหร่ CD/MP3/WMA พร้อมช่องต่อ USB/AUX น่าเสียดายข่องเสียบ USB มันดันมีแค่ช่องเดียวแย่งกันเสียบตายเลยแบบนี้ น่าจะเพิ่มอีกซะ 2 จุด
มีระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สายด้วยนะเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมจอ LCD พื้นที่ห้องโดยสารด้านหลังแบบเรียบนะครับเข้า-ออก สะดวกสบาย มี Push Start พร้อมระบบเปิดประตู Smart Entry แผงบังแดดคู่หน้าพร้อมกระจกแต่งหน้ามีทั้ง 2 ฝั่งนะครับถูกใจคุณผู้หญิงไม่บ่นแน่นอน กระจกไฟฟ้าเค้ามีระบบป้องกันการหนีบมาให้ด้วยนะ ช่องเสียบไฟ 12 V พร้อมช่องเก็บของข้างเบรกมือไว่ใส่โทรศัพท์ได้ เบาะคู่หน้าแบบ WIL ลดการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอ เมื่อถูกชนจากด้านหลัง เหมือนในเอทีฟ นั่งสบายกระฉับตัวดี แต่ด้านล่างดันไม่มีที่ว่างเท้าซ้ายมาให้ตอนนั่งขับเลยรู้สึกแปลกๆ เป็นเบาะผ้านะครับเพราะมันมีถุงลมนิรภัยด้านข้างเบาะ ท่านไหนอยากเปลี่ยนเป็นเบาะหนังควรเปลี่ยนที่ศูนย์นะครับเข้าจะได้รับประกัน เพราะถ้าเปลี่ยนร้านข้างนอกถุงลมมันอาจจะไม่ทำงานได้ ส่วนเบาะหลังปรับพับแยกอิสระแบบ 60 :40 สะดวกสบายในการหยิบ หรือเก็บของ
เอาละเรามาเริ่มทดสอบกันดีกว่าเราเริ่มออกจากแถวย่านสาธร วิ่งผ่านความวุ่นวายในเมือง ขึ้นทางด่วนก็ยังจะติด รถค่อนข้างเยอะ ความคล่องตัวของเจ้า ยาริส แฮทซ์แบ็ค ทำให้เราลัดเลาะได้ดังใจต้องการ ขับง่ายดีครับ พวงมาลัยเพาเวอร์ EPS มีการปรับค่าความหนืดรวม (Total Pre-load )ของชุดแร็คพวงมาลัยให้น้อยลง ช่วยผ่อนแรง หมุนพวงมาลัย ใช้งานคล่องแคล่วในที่คับแคบได้ดี น้ำหนักดี และเฉียบคม ขับรถติดอยู่พักใหญ่แถมอากาศก็ร้อนแต่ระบบปรับอากาศก็ยังสามารถทำให้ห้องโดยสารเย็นฉ่ำสบาย กดดูข้อมูลนั้นนี่ไปเรื่อยใช้งานง่ายดีครับไม่ซับซ้อน ถนนเริ่มโล่งแล้วลองกดดูซะหน่อยละกันช่วงออกตัวไม่ถึงกับปรี๊ดปร๊าดก็มันเครื่อง 1.2 แต่มันไม่ได้อืดจนรับไม่ได้นะครับ ช่วงกลาง ถึงปลายความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และลื่นไหลดีครับ อย่างที่บอกมันไม่ได้ขึ้นกระชากแบบหวือหวา แต่ก็ไม่ได้ขึ้นช้าจนน่าเกลียด
เครื่องยนต์ 3NR-FE 1200 ซีซี 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว DUAL VVT-I 86 แรงม้า ที่ 6000 รอบ/นาที แรงบิด 108 นิวตัน-เมตร ที่ 4000 รอบ/นาที หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์แบบ EFI มันเครื่องเดียวกับ เอทีฟ นั้นละครับ ทำงานผสานกับ ทำงานผสานกับเกียร์ Super CVT-I พร้อม Shift Lock ที่มีการปรับจูนใหม่ให้กระฉับมากขึ้นจึงทำให้ขับขี่ได้สนุกเลยทีเดียวครับสำหรับรถอีโคคาร์ การเร่งแซงไม่มีปัญหา แต่บางจังหวะต้องคลิ๊กดาวน์ช่วยนิดหน่อย ขับขึ้น-ลง เขาสูงชัน อาจจะหนืดๆบ้างบางจังหวะคลิ๊กดาวน์ช่วยบ้างก็สามารถผ่านไปได้แบบสบายๆ การเร่งแซงทางขึ้นเขาต้องดูจังหวะดีๆก่อนเผื่อระยะไว้ปลอดภัย แซงพ้นแน่นอน เรามาเทียบกับเอทีฟกัน อัตราการเร่ง 0-100 ของ ยาริส แฮทซ์แบ็ค จะอยู่ที่ 15.7 วินาที ส่วน เอทีฟ อยู่ที่ 15.3 วินาที ระบบเบรกหน้าดิกส์ หลังดรัม เอาอยู่แน่นอน ช่วงแรกอาจจะรู้สึกแปลกๆเพราะกดเบาก็เหมือนรถจะไม่หยุด พอกดหนักหัวทิ่มเลย แต่บอกขับไปซักระยะเริ่มชินก็สามารถเบรกได้อย่างนุ่มนวล ระยะเบรกของเจ้ายาริส แฮทซ์แบ็ค 100 -0 จะอยู่ที่ 46 เมตร เท่ากันกับเอทีฟครับ การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารอันนี้ขอชมเลยครับเก็บเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดีมากเงียบมากครับเสียงลมเสียงเครื่องเข้ามาภายในห้องโดยสารน้อยมาก
ช่วงล่างเหมือนกับเจ้าเอทีฟ คือ หน้าเป็น แมคฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง หลังเป็น ทอร์ชั่นบีม และคอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง เพียงแต่เจ้า ยาริส แฮทซ์แบ็ค มีการปรับค่าด้านหน้าปรับค่าการดูดซับแรงที่แกนโช๊คอัพใหม่ หนึบที่ความเร็วปานกลาง-สูง ตอบสนองการเข้าโค้งได้อย่างแม่นยำ ด้านหลังปรับจูนค่าการดูดซับของแกนโช็คอัพและค่า K คอยล์สปริงใหม่ ทำใหเนุ่มนาลที่ความเร็วต่ำ เข้าโค้งที่ความเร็วปานกลาง-สูงหนึบและนิ่ง ทำให้เจ้า ยาริส แฮทซ์แบ็ค คันนี้มีความนุ่มนวล สามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนจากพื้นผิวของถนนได้ดี วิ่งทางตรงด้วยความเร็วระดับ 160 กม./ชม. ตัวรถยังคงนิ่ง การเข้าโค้งซ้าย-ขวา ด้วยความเร็วยังคงให้ความมั่นใจ แน่น หนึบ และควบคุมง่าย ไม่มีอาการโคลงให้ได้สัมผัสเท่าไหร่นัก ฟิลลิ่งการขับคล้ายกับเอทีฟเลยครับ เซ็ทช่วงล่างเก่งครับยอมรับ แน่น หนึบ นุ่ม
ระบบความปลอดภัยโตโยต้าเค้าจัดเต็มมาให้เลยครับ ทั้ง ระบบสัญญาณเตือนสิ่งกีดขวางขณะถอยหลัง กุญแจป้องกันการโจรกรรม ระบบไฟส่องสว่างหลังจากดับเครื่องยนต์ ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC ระบบควมคุมการทรงตัว VSC ระบบเบรกABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD และเสริมแรงเบรก BA และยังมีถุงลมนิรภัย SRS 7 ตำแหน่ง ครั้งแรกที่มีในรถยนต์อีโคคาร์ เสริมด้วยโครงสร้างGOA แข็งแรงแน่นอน
สรุปครับ ถ้าให้เปรียบเทียบระหว่างเอทีฟ กับ ยาริส แฮทซ์แบ็ค คันนี้ ทั้งสมรรถนะการขับขี่ ช่วงล่าง ภายใน ผมถือว่าใกล้เคียงกันมากครับ คร่าวนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านชอบแบบใด และสไตล์ไหนเหมาะกับการใช้ชีวิตประจำวันของคุณจะ 4 ประตู หรือ 5 ประตู อันนี้ต้องเลือกเอง แต่ถ้าให้ผมพูดถึงเจ้าคันนี้ ถือว่าเป็นรถยนต์อีโคคาร์ ที่ทั้งขับสนุก ช่วงล่างดี และที่สำคัญระบบความปลอดภัยใส่มาให้เหนือกว่าอีโคคาร์ของค่ายอื่นที่มีขายในปัจจุบัน กับราคาที่บวกเพิ่มอีกนิดหน่อยประมาณ1หมื่นบาท เพราะหมดโปรโมชั่น ราคาปัจจุบันเริ่มต้นที่ 489,000 -619,000 บาท ราคานี้แลกกับระบบความปลอดภัยที่มีให้ รูปทรงดีไซน์ที่เท่ห์ โฉบเฉี่ยวลงตัว และสมรรถนะการขับที่ดี สามารถรองรับการใช้งานได้ทั้งในเมืองและนอกเมือง ประหยัดน้ำมัน 20 กม./ลิตร ผมว่าน่าสนใจไม่น้อย แต่อย่างไรก็ตามก่อนตัดสินใจซื้อรถควรไปทดลองขับด้วยตัวเองที่โชว์รูมว่าถูกใจหรือไม่ แล้วค่อยตัดสินใจนะครับ
เรื่อง : ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th