ทดสอบ Hyundai IONIQ รถยนต์ไฟฟ้า100% รถดีทั้งประหยัดทั้งแรง แต่ยังไม่เหมาะกับไทย
กระแสแรงมากครับในปัจจุบันนี้กับรถยนต์ไฟฟ้า100%ที่ทั่วโลกเค้าใช้กันอย่างแพร่หลายมาซักพักใหญ่ และในปัจจุบันนี้ในประเทศไทยก็มีผู้ให้ความสนใจเยอะขึ้น แถมค่ายรถยนต์หลายค่ายให้ความสนใจนำเข้ามาทดลองขายในเมืองไทยหนึ่งในนั้นคือค่ายยักษ์ใหญ่จากเกาหลีอย่างฮุนไดที่ชิงช่วงเวลาที่ค่ายอื่นๆกำลังคิดหนัก ส่งเจ้า Hyundai IONIQ (ฮุนได ไอออนิก)ออกมาให้คนไทยได้จับจองเป็นเจ้าของกัน โดยในล็อดแรกได้ข่าวมาว่ามีโควต้าจากเกาหลีเพียง 20 คันเท่านั้นในปีนี้ ซึ่งตั้งแต่เปิดตัวในงานบางกอกมอเตอร์โชว์2018เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา 7 เดือนผ่านไปมียอดจองมาแล้วกว่า 10 คัน ซึ่งถือว่าขายได้เยอะทีเดียวครับ ตัวรถ Hyundai IONIQ คันนี้ดีมากครับน่าใช้มาก แต่ที่ผมบอกไม่เหมาะกับเมืองไทยเพราะอะไรต้องติดตามอ่านครับ
เอาละวันนี้เราจะนำเจ้า Hyundai IONIQ มาทดสอบกันซึ่งจะทดสอบระยะทางสั้นๆเพื่อดูสมรรถนะอย่างเดียวนั้นหรอ(เราไม่ทำครับ) ครั้งนี้เราจะนำ Hyundai IONIQ ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100เปอร์เซ็นไม่มีเครื่องยนต์คอยช่วย วิ่งจากกรุงเทพ –หัวหิน โดยชาร์จไฟเต็มเพียงครั้งเดียว ซึ่งนั้นคือเป้าหมายของเรา เพราะคำถามที่หลายคนอยากรู้ที่เค้าบอกกันว่าชาร์จไฟเต็ม1ครั้งวิ่งได้280กิโลเมตร มันจะทำได้ตริงหรือไม่ แน่นอนถ้าทางเจ้าของแบรนด์เค้าคอนเฟริ์มว่าเค้าวิ่งได้280กิโลเมตรต่อการชาร์จ1ครั้งทำได้ครับวิ่งได้ถึง280กิโลเมตรตามที่หน้าจอขึ้นครับแต่อย่าลืมที่นี่ประเทศไทย ประเทศที่มีรถติดมากที่สุดติดอันดับโลกนะครับ และมีตัวแปรอีกหลายอย่างทั้งเรื่องความเร็วในการเดินทาง การเปิดระบบปรับอากาศภายในรถ ซึ่งทุกอย่างนี้มีผลต่อระยะทางในการขับของเจ้ารถยนต์ไฟฟ้าครับผม
ก่อนทำการทดสอบเรามารู้จักเจ้า Hyundai IONIQ กันก่อนดีกว่า รูปทรงรูปลักษณ์แปลกตาขับไปไหนมาไหนคนต้องมองเพราะมันดูเป็นรถยนต์แห่งอนาคตอวกาศมากในรูปทรงFastback ไฟหน้าโฉบเฉี่ยวใช้เทคโนโลยี LED ที่ให้ความสว่างมากกว่าในขณะที่ใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างประหยัด มาพร้อมกับไฟเลี้ยว ไฟหรี่ และไฟวิ่งกลางวันแบบ LED เข้ากับกันชนหน้าได้ดีกระจังหน้าดีไซน์แบบไร้ช่องลมเพราะมันไม่มีเครื่องยนต์และ IONIQ electric ผลิตความร้อนน้อยมาก จึงออกแบบกระจังหน้าแบบปิดเพื่อลดแรงต้านจากอากาศทำให้เจ้า Hyundai IONIQ คันนี้มีค่าสัมประสิทธิ์ต้านอากาศเพียง (Cd) 0.24 เท่านั้น แต่ก็ยังแอบมีช่องให้ลมเข้าได้เพื่อระบายความร้อนอยู่ตรงไฟเดย์ไลท์ด้านล่างนะจ๊ะไม่ใช้ไม่มีเลย เส้นสายเดินเส้นสีทองแดงทั้งภายนอกและภายในรอบคันเพื่อที่จะบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ความเป็นรถยนต์ไฟฟ้า100% ด้านท้ายโดดเด่นด้วยไฟท้ายแบบ LED Tail Lights ที่ให้ความเร็วใน การเปล่งแสงที่รวดเร็ว และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานรับกับกันชนท้ายได้อย่างลงตัว ล้ออัลลอย ขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง 205/55 R16
มาดูกันที่ภายในถูกออกแบบโดยเน้นถึงความเป็นรถแห่งอนาคตที่เน้นความเรียบง่าย ลื่นไหล แต่แฟงไว้ด้วยความประณีต และใช้งานง่าย เน้นใช้วัสดุที่ก่อผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด วัสดุภายในส่วนมากจะเป็นวัสดุที่ได้มาจากธรรมชาติเช่น ผ้าหลังคาและพรมที่มีส่วนผสมจากต้นอ้อย เพื่อช่วยให้อากาศภายในห้องโดยสารมีความบริสุทธิ์ สีพ่นตัวถังที่มีส่วนผสมของน้ำมันถั่วเหลือง เพื่อให้มีประกายของเม็ดสีที่สวยงาม แผงประตูที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิลผสมกับผงไม้และหินจากภูเขาไฟ แต่ยังคงไว้ซึ่งความแข็งแรงและคุณภาพที่ดี นอกจากนี้บริเวณช่องแอร์ คอนโซลกลาง พวงมาลัย และเบาะนั่ง ถูกตกแต่งด้วยสีทองแดงวึ่งเป็นสีที่เปรียบเสมือนกระแสไฟฟ้าที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในรถอีกด้วย
เรามาเริ่มทดสอบกันเลยดีกว่าผมได้ทำการชาร์จไฟเจ้า Hyundai IONIQ ทิ้งไว้ทั้งคืนจนเต็มเปี่ยมหน้าจอแสดงผลโชว์ขึ้นมาว่าเราวิ่งได้ 280 กิโลเมตร แล้วจะรออะไรละออกไปลุยกันเลย กดปลดล็อกรถด้วยระบบ Smart Entry ระบบ Welcome Functionทำงานสั่งให้ไฟหน้าและไฟท้ายส่องสว่างเพื่อเพิ่มความปลอดภัยขณะจอดรถในที่มืดหรือยามค่ำคืน และเมื่อเปิดประตูรถเบาะที่นั่งคนขับจะปรับเลื่อนถอยหลังอัตโนมัติ เพื่อให้เข้าสู่ตำแหน่งที่นั่งขับขี่ได้อย่างสะดวกสบาย เบาะที่นั่งคนขับปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมที่ดันหลังแบบไฟฟ้าช่วยลดอาการเมื่อยล้าขณะขับขี่ นอกจากนี้ยังมีระบบระบายอากาศสำหรับเบาะคนขับ และผู้โดยสารตอนหน้าอีกด้วย ห้องโดยสารมีความกว้างขวางและสะดวกสบาย โดยเฉพาะที่นั่งของผู้โดยสารตอนหน้าซึ่งมีความโปร่งและกว้างขวางเป็นพิเศษ เนื่องจากระบบเกียร์ถูกออกแบบให้เป็นแบบระบบปุ่มกด หรือ shift by wire ซึ่งถูกติดตั้งอยู่บริเวณคอนโซลกลางสามารถเลือกเปลี่ยนเกียร์ได้ตามต้องการเพียงกดปุ่มเอาเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีระบบเบรคมือไฟฟ้าพร้อมระบบ Auto Hold ที่ช่วยหยุดรถชั่วขณะในสภาพการจราจรติดขัด และระบบ wireless charging ที่สามารถชาร์จแบตเตอรีโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้เพียงวางโทรศัพท์บริเวณช่องชาร์จด้านซ้ายของปุ่มเลือกตำแหน่งเกียร์แต่โทรศัพท์ต้องรองรับด้วยนะครับโทรศัพท์ถูกๆแบบของผมใช้ไม่ได้จ้าไม่มีประโยชน์สำหรับผม
ผมขับออกจากแถวลาดปลาเค้ามุ่งหน้าถนนวิภาวดีเพื่อที่จะขึ้นทางด่วนไปลงพระราม3ต้องบอกว่าเจ้า Hyundai IONIQ คันนี้ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า100% มันขับเหมือนรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปทั่วไปเลยครับผมว่าขับๆไปมันจะวิ่งดีกว่ารถยนต์เครื่องยนต์สันดาปทั่วไปด้วยซ้ำ การออกตัวทำได้ดีมากเพราะจากมอเตอร์ปั่นลงที่ล้อเลยทำให้การออกตัวดีมากรวดเร็วทันใจ เอาง่ายๆเหมือนคุณขับรถกอล์ฟยังไงอย่างงั้นเลยครับ ขับผ่านการจราจรที่หนาแน่นของเช้าวันพุธบนถนนวิภาวดีวิ่งๆหยุดๆตลอดทาง มีบ้างช่วงที่โล่งผมก็แอบเร่งความเร็วซะหน่อย
จนขึ้นทางด่วนตรงดินแดงขับได้ซักระยะรถจอดสนิทเลยครับรถติดมากถึงมากทีสุดผมเลยดูที่หน้าปัดแสดงการทำงานของระบบต่างๆบริเวณคนขับเป็นหน้าปัดความละเอียดสูงขนาด 7 นิ้ว แบบ TFT ที่แสดงข้อมูลพื้นฐานต่างๆของรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็น ระยะทางที่สามารถวิ่งได้ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง, ระดับพลังงานของแบตเตอรี่ รวมถึงข้อมูลอื่นๆของตัวรถที่จำเป็น ซึ่งเราสามารถเลือกดูได้ผ่านปุ่มควบคุมบนพวงมาลัยว่าเราจะวิ่งได้อีกกี่กิโลเมตรปรากฎว่า แม่เจ้า !! มันเหลือระยะทางให้ผมวิ่งได้เพียง 169 กิโลเมตร แสดงว่าการเร่งความเร็ว เปิดแอร์แรง มีผลกับระยะทางที่วิ่งได้ของรถ ผมก็ไม่กังวลเท่าไหร่นักเพราะตลอดการเดินทางเส้นทาง กรุงเทพ-หัวหินมีจุดจอดชาร์จตลอดเส้นทาง แต่การทดสอบนี้ผมจะไม่ชาร์จเลยทำให้แอบกังวลอยู่บ้างว่าจะไปถึงหรือไม่ เปิดเพลงฟังแก้เครียดดีกว่าระบบความบันเทิง สามารถควบคุมได้ผ่านหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 5 นิ้ว ที่สามารถเลือกฟังก์ชันเพื่อความบันเทิงได้ตามต้องการ เช่น ระบบวิทยุ พร้อมระบบเชื่อมต่อบลูทูธ, ช่องต่อระบบ USB และ AUX ขับไปคิดไปอยู่พักใหญ่เพราะระยะทางที่โชว์มันน้อยเกินกว่าที่จะไปถึงที่หัวหินแล้วคงต้องเปลี่ยนแผนเอาเป็นว่าเจ้ารถยนต์ไฟฟ้าคันนี้มันจะวิ่งไปได้ไกลแค่ไหนกับการชาร์จเต็ม 1 ครั้งดีกว่า เพราะผมไม่ได้ค้างด้วยต้องหวดกลับกรุงเทพเลย
เจ้า Hyundai IONIQ คันนี้เป็นการขับเคลื่อนโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าชนิดซิงโครนัสแม่เหล็กถาวร ที่ให้พละกำลังสูงสุด 120 แรงม้า (88kW) แรงบิดสูงสุด 295 นิวตัน-เมตร เชื่อมต่อผ่านระบบเกียร์แบบ single-speed ที่สามารถเลือกตำแหน่งเกียร์ผ่านปุ่มกดบริเวณคอนโซลกลาง และสามารถพารถยนต์ไปที่ความเร็วสูงสุดที่ 165 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งได้ลองขับแล้วก็ไม่ผิดหวังครับอัตราเร่งดี เร่งแซงสบายหายห่วง แถมสามารถเลือกรูปแบบการขับขี่ได้ ผ่านปุ่ม ‘drive mode’ บริเวณคอนโซลกลางซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ Eco, Normal และ Sport
- โหมด Eco หน้าปัดจะแสดงมาตรวัดความเร็วในรูปแบบอนาล็อก เช่นเดียวกับมาตรวัดความเร็วแบบรถยนต์ปกติ และแถบสีเขียวบริเวณตัวเลขความเร็ว พร้อมไฟแสดงสถานะโหมด Eco สีเขียว
- โหมด Normal หน้าปัดจะแสดงมาตรวัดความเร็วในรูปแบบอนาล็อก เช่นเดียวกับมาตรวัดความเร็วแบบรถยนต์ปกติ จากแถบสีเขียวในโหมด Eco จะถูกเปลี่ยนเป็นแถบสีเทา และไม่มีไฟแสดงสถานะโหมด Normal
- โหมด Sport หน้าปัดจะถูกเปลี่ยนจากมาตรวัดความเร็ว เป็นมาตรวัดแสดงสถานะกำลังการขับเคลื่อนของรถจาก 0 ถึง 100 เปอร์เซนต์ ในรูปแบบอนาล็อกพร้อมแถบสีแดง ตรงกลางจะแสดงความเร็วแบบตัวเลขดิจิตอล ที่จะถูกไล่ลำดับขึ้นไปตามความเร็วของรถยนต์
แต่ตลอดเส้นทางในการทดสอบผมใช้โหมด ECO ตลอดการเดินทางนะครับลองกด Sport ไปช่วงสั้นๆแรงขึ้นขับสนุกจริงครับแต่ระยะลดลงอย่างชัดเจนเลยหยุดเล่นดีกว่าเดี๋ยวไปไม่พ้นกรุงเทพ ฮาฮา ซึ่งแบตเตอรี่ที่ใช้สำหรับเก็บพลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนนั้น เป็นแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออน โพลิเมอร์ ขนาด 28 kWh ที่สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดที่ 280 กิโลเมตร ใช้เวลาในการชาร์จไฟแบบปกติอยู่ที่ 4 ชั่วโมง 25 นาที โดยประมาณ และการชาร์จไฟแบบ quick charge ที่กำลังการชาร์จไฟขนาด 50 kW จะใช้เวลา30 นาที และ 23 นาทีโดยประมาณด้วยกำลังการชาร์จไฟขนาด 100 kW โดยแบตเตอรี่นี้ถูกติดตั้งอยู่ใต้ที่นั่งของผู้โดยสารตอนหลังแต่ยังคงไว้ซึ่งพื้นที่ที่สามารถบรรจุสัมภาระได้สูงสุดถึง 650 ลิตร
ขับผ่านจุดชาร์จแรกในปั๊มบางจากแถวๆคลองโคนเราไม่ชาร์จเพราะยังมีไฟเหลืออีกพอควร วิ่งต่อด้วยความเร็วเดินทางประมาณ 90-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เปิดแอร์ 24 องศาความแรงลมเกือบเต็ม ขับสบายมากเพราะระบบ Smart cruise control ที่ผมชอบมากเพราะมันสามารถตั้งความเร็วเท่าไหร่ก็ได้ตั้งระยะห่างคันหน้าได้ แต่ทีเด็ดคือเมื่อคันหน้าชะลอตัวมันก็ชะลอตาม และเมื่อคันหน้าเบรกมันก็เบรกให้จนรถหยุดอย่างนุ่มนวล และไม่ต่อเองเมื่อรถคันหน้าเริ่มวิ่ง ขับยาวๆผมแถบจะไม่ได้เหยียบคันเร่งกับเบรกเลย สนุกดีเหมือนเล่นเกมส์เลย ขับอย่างเพลินเลยครับเหลือบดูระยะทางอีกทีตายๆแล้วเหลือแค่ 90 กิโลเมตรเอง ผมเลยจอดที่ร้านอาหารครัวบ้านขวัญตรงวังมะนาวซึ่งเป็นจุดชาร์จใหญ่สุดมีหลายช่องเลยเพื่อคำนวนอีกที ที่ต้องเครียดคำนวนตลอดเพราะว่าถ้าแบตเตอรี่หมดมันไม่สามารถเข็น ลาก ได้ต้องยกลอย 4 ล้อเท่านั้น ซึ่งมันลำบากมากห้ามหมดเลยเด็ดขาด ผมตัดสินใจไม่ชาร์จครับลุยต่อเอาให้สุดเพราะอีกประมาณ 70 กิโลเมตรเราก็จะถึงชะอำแล้ว
วิ่งต่อมาเรื่อยๆสภาพถนนก็ไม่ค่อยเรียบเท่าไหร่นักมีหลุมบ่ออยู่เป็นระยะแต่ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัทที่ผลิตจากอลูมิเนียม ด้านหลังแบบทอร์ชันบีม ขับขี่ได้นุ่มนวล มั่นใจ และสะดวกสบายดีครับเหลือบดูระยะทางที่หน้าจออีกครั้งเหลือแค่50กิโลเมตรผมตัดสินใจเลี้ยวรถกลับทันทีและขับไปที่จุดชาร์จที่Fly Now เพชรบุรี เพราะระยะมันจะเสี่ยงต่อการที่รถจะแบตเตอรี่หมดกินข้าวลิงแน่ไม่เสี่ยงดีกว่าเพราะชายหาดชะอำต้องวิ่งอีก40กิโลเมตร ซึ่งมันพอดีเกินไปเราจะไม่สามารถกลับมาที่ชาร์จที่ Fly Nowเพชรบุรีได้ ลืมบอกไอ้50กิโลเมตรนี่รวมขีดแดง3ขีดสุดท้ายด้วยนะครับขีดแดงมันจะวิ่งได้เพียง10-20กิโลเมตรเท่านั้น กลับหัวจอดชาร์จดีกว่า แถมต้องชาร์จถึง 4 ชั่วโมงเพราะผมต้องขับกลับกรุงเทพนั่งรอเหงาเลยทีนี้เสียเวลาจริงๆ
ที่ผมบอกว่ามันไม่เหมาะกับไทยเพราะอย่างแรกราคารถยนต์ที่สูงเกินไปอันนี้ต้องโทษรัฐบาลเรานี่ละที่อยากให้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าแต่ไม่ช่วยเรื่องภาษี อย่างที่สองจุดชาร์จบ้านเรามันยังไม่ครอบคลุมมีแค่บางจุดเท่านั้นแถมปล่อยไฟมาไม่เต็มด้วยตอนนี้ และได้จุด quick charge ฮาฮา มันยังไม่เปิดใช้บริการจร้า นั้นหมายความว่าถ้าคุณจะไปเที่ยวแบบเช้า-เย็นกลับแบบผมคุณต้องเสียเวลาชาร์จ 4 ชั่วโมง อย่างที่สามรถยนต์ไฟฟ้าผมว่ามันเหมาะกับวิ่งในเมืองซะมากกว่าไปวิ่งระยะทางไกลๆต่างจังหวัด แถมก่อนออกเดินทางต้องวางแผนการดีๆอีกห้ามหลงผมพูดเลย ซึ่งพฤติกรรมผู้บริโภคในไทยนิยมใช้รถคันเดียววิ่งทั้งในเมืองแล้วต่างจังหวัด ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ผมว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่เราจะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า 100%แบบประเทศอื่นเค้าแน่นอนคงอีกหลายปีกว่าระบบทุกอย่างจะพร้อม
ขากลับผมรอ 4 ชั่วโมงไม่ไหวตัดสินใจดึงปลั๊กออกตอนชาร์จไปได้ 2.30 ชั่วโมงได้ระยะทางมา 180 กิโลเมตร พอลุ้นกลับถึงกรุงเทพ แต่วิ่งมาพระราม2รถติดแบบบ้าคลั้งระยะเหลือน้อยลงทุกทีจนผมต้องผิดแอร์ แถมใช้ระบบ regenerative braking system ที่สามารถควบคุมได้ด้วยปุ่ม paddle shift บริเวณด้านหลังพวงมาลัย ใช้ระดับ4เลย เพื่อนำพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่ให้มากที่สุด ซึ่งเวลาขับมันจะหัวทิ่มๆหน่อยเพราะรถยนต์จะลดความเร็วโดยอัตโนมัติระบบเบรกจะทำงานเพื่อให้ระบบ regenerative braking system ทำงาน และนำกระแสไฟกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ช่วยได้แค่เล็กน้อยแถบจะไม่เห็นผลเลยด้วยซ้ำที่เห็นผลคือปิดแอร์จ้า ร้อนมากพูดเลยแต่ดีกว่าไฟหมดกลางถนน
Hyundai IONIQ ยังมาพร้อมกับระบบความปลอดภัยมากมาย Blind Spot Detection ,Lane Change ,Rear Cross Traffic Alert , Lane Departure Warning (LDW) ,Lane Keeping Assist (LKA) ,Smart Cruise Control (SCC) ,Forward Collision Warning (FCW) ,Autonomous Emergency Braking System เรียกได้ว่าจัดเต็มจัดหนักให้เลย
บทสรุปครับ รถยนต์ไฟฟ้า100% อย่าง Hyundai IONIQ เป็นรถที่น่าขับมากสรรถนะดี ขับสนุกแถมประหยัด เหมาะกับการใช้ในเมืองแม้ราคาจำหน่ายจะสูงถึง 1,749,000 บาท เพราะรัฐบาลยังไม่ช่วยเรื่องภาษีแบบเต็มที่ ก็ยังน่าใช้มาอยู่ที่สำหรับท่านที่อยากจะได้รถยนต์ไฟฟ้าไว้ขับ แต่ความคิดผมคือรถยนต์ไฟฟ้านะมันพร้อมแล้วรถดีวิ่งสบาย แต่เมืองไทยระบบต่างๆมันยังไม่พร้อมที่จะรองรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะจุดชาร์จซึ่งยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ผมลองใช้แล้วจึงรู้ว่ามันยังไม่ถึงเวลาสำหรับประเทศไทยจริงๆ
ภาพทั้งหมดเป็นภาพแทนนะครับพบกับ วีดีโอการทดสอบจริงของ
Hyundai IONIQ แบบเต็มๆได้ที่ youtube grandprix online รายการ Bumper2Bumper เร็วๆนี้ !!
เรื่อง : ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th