นิสสัน “Go Anywhere” โตแล้วไปไหนก็ได้ขับข้ามชายแดนสู่ใจกลางมาเลเซีย
นิสสัน สานต่อกิจกรรมการเดินทางแบบข้ามประเทศ “Go Anywhere” จากปีที่แล้ว Grandprix Online ได้ร่วมเดินทางจากประเทศไทย มุ่งหน้าสู่เมืองย่างกุ้ง เมียนมาร์ โดยใช้เส้นทางที่สมบุกสมบันลุยฝุ่นไปสู่เมืองทวาย ได้เจอกับเส้นทางที่หลากหลาย และเป็นความท้าทายความแกร่งของรถยนต์ในกลุ่มเอสยูวีและรถกระบะของนิสสันได้เป็นอย่างดี ส่วนในทริปนี้แม้ว่าเส้นทางจะไม่ได้ยากเหมือนกับครั้งก่อน แต่เป็นเส้นทางที่ได้เรียนรู้และเข้าใจประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียได้ลึกซึ้งมากขึ้น
สำหรับการเดินทางในทริป นิสสัน “Go Anywhere” ครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน ซึ่งผู้เขียนได้ร่วมเดินทางในกลุ่มแรกเป็นเส้นทางที่ขับจากเมืองหาดใหญ่ จ.สงขลา มุ่งหน้าไปข้ามแดนที่ด่านสะเดา แล้วขับกันเป็นคาราวานสู่รัฐเกอดะห์ ประเทศมาเลเซีย แวะพักและเรียนรู้วัฒนธรรมตามรัฐต่างๆ ที่ขับผ่าน ก่อนจบทริปกันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ แล้วส่งไม้ต่อให้อีก 2 กลุ่ม เพื่อขับไปบนเส้นทางเมืองกวนตัน, ปุตราจายา, มะละกา, กัวลาตรังกานู, ปีนัง แล้วจับขับรถข้ามแดนกลับมาทางด่านสะเดา เป็นอันจบการเดินทางแบบโตแล้วไปไหนก็ได้กันนิสสัน Go Anywhere
ส่วนรถที่ใช้เดินทาง ทีมงานจัดให้มี 3 รุ่น คือ นิสสัน เอ็กซ์เทรล (X-Trail), นาวาร่า (Navara) และ เทอร์ร่า (Terra) ซึ่งเหมาะมากกับการเดินทางระยะไกลแบบนี้ ซึ่งมีการจัดให้สลับกันขับครบทุกรุ่นในช่วงเวลา 3 วันของการเดินทาง ในวันแรกเริ่มต้นขับกันสบายๆ ระยะทาง 182 กิโลเมตร ด้วย นิสสัน เอ็กซ์เทรล เจนเนอเรชันที่ 3 ที่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2543 ซึ่งรุ่นปัจจุบันอัพเกรดเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ครบครัน ทำให้เป็นรถอเนกประสงค์แบบเอสยูวีที่ขายดีที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 2558 เป็นการขับจากหาดใหญ่มุ่งหน้าชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่ด่านสะเดา แล้วขับต่อไปยังเส้นทาง AH2 แวะชมเมืองอลอร์สตาร์ (Alor Setar) เมืองหลวงของรัฐเกอดะห์ ที่ผสมผสานกันของความเป็นชนบทและอารยธรรมที่ทำให้เมืองนี้มีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ จากนั้นแวะไปทานอาหารท้องถิ่นมื้อเที่ยงบนหอคอย Alor Setar Tower ที่เป็นอาคารโทรคมนาคมและเป็นจุดชมวิวแบบ 360 องศา ตัวหอคอยมีความสูง 165.5 เมตร เปิดทำการตั้งแต่ 14 สิงหาคม 2540 สามารถมองเห็นความสวยงามของเมืองอลอร์สตาร์และเมืองบัตเตอร์เวิร์ธได้ และหอคอยแห่งนี้ยังใช้เป็นหอดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันแรกของเดือนในปฏิทินมุสลิม ซึ่งตัวหอสังเกตการณ์จะตั้งอยู่ที่ความสูง 88 เมตร วัดจากฐานด้านล่างของหอคอย ส่วนค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่แค่ 6 ริงกิต (ประมาณ 50 บาท)
หอคอย Alor Setar Tower
นิสสัน เอ็กซ์เทรล
นิสสัน เทอร์ร่า
นิสสัน นาวาร่า
ด้านหลังคือ Masjid Zahir ใจกลางเมือง Alor Setar
เส้นทางขึ้นเขาสู่ที่พัก The Jerai Hill Resort ที่ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะเส้นทางนี้เป็นทางปกติที่ผู้คนแถวนี้ใช้สำหรับเดินออกกำลังกายและปั่นจักรยานขึ้นภูเขา เวลาที่ขับอยู่ดีๆ จะพบเห็นคนเดินอยู่กลางถนนเป็นเรื่องปกติ คนขับรถต้องระวัง!!
วิวที่สวยงามมม ในยามเย็นของ The Jerai Hill Resort ยิ่งยกเย็น อากาศยิ่งหนาวเย็นลง
จากนั้นมุ่งหน้าลงใต้สู่ภูเขาเจไร (Jerai Mountain) ไปพักค้างคืนที่ The Jerai Hill Resort เป็นที่พักดูธรรมดาแต่มีความพิเศษที่ทิวทัศน์ที่ยอมรับว่าสวยงามจริงๆ เมื่อได้ยืนบนจุดชมวิวแล้วมองออกไปได้เห็นพื้นที่ผืนป่า ชายหาดและเกาะขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งภูเขาเจไรนี้มีความสูง 1,217 เมตร มีชื่อเดิมคือ Kedah Peak เป็นภูเขาหินปูนที่มีเทือกเขาต้นกำเนิดคือ เทือกเขาสันกาลาคีรี ที่อยู่บริเวณภาคใต้ของไทย ทอดยาวคล้ายกับกระดูสันหลังลงไปทางคาบสมุทรมลายูตอนใต้ เป็นเทือกเขาหนึ่งของเทือกเขาตีตีวังซา (Banjaran Titiwangsa) ที่กั้นพรมแดนไทยกับมาเลเซียตลอดทั้งแนวมีความยาวถึง 470 กิโลเมตร แล้วที่ Jerai Hill Resort แห่งนี้ไม่มีเครื่องปรับอากาศ เพราะแม้ว่าในตอนกลางวันจะมีอุณหภูมิที่สูง แต่พอตกเย็นถึงค่ำอุณหภูมิจะลดต่ำลงถึงขนาดที่ต้องหยิบเสื้อกันหนาวมาใส่กันเลยทีเดียว ซึ่งในวันแรกกับนิสสัน เอ็กซ์เทรล เป็นการขับขี่ที่ให้ความสบาย ช่วงล่างนุ่มนวล อัตราเร่งพอตัว ยิ่งเส้นทางเป็นทางหลวงแผ่นดินของมาเลเซียที่มีคุณภาพการปูพื้นที่ได้มาตรฐานมาก ทำให้การขับในวันนี้สบายๆ และรู้สึกปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีการเตือนเชิงป้องกันอัจฉริยะที่ติดตั้งในนิสสัน เอ็กซ์เทรล
การขับผ่านไปแต่ละเมืองจะต้องมีการจ่ายค่าผ่านทางเหมือนทางด่วน ทีมงานจัดบัตรทางด่วน Touch n’Go เอาไว้ให้เรียบร้อย เพียงขับผ่านแล้วแตะบัตรก็ผ่านได้ ส่วนบัตรเป็นบัตรแบบเติมเงิน ค่าผ่านทางราว 10 บาท
เช้าวันที่สองเป็นวันที่ขับรถไกลกว่า 468 กิโลเมตร สลับจากนิสสัน เอ็กซ์เทรล มาเป็น นิสสัน เทอร์ร่า (Terra) รถอเนกประสงค์อัจฉริยะตัวถังบนแชสซีส์ แบบ 7 ที่นั่ง ถูกสร้างมาพร้อมใช้งานทางเส้นทางออนโรดและออฟโรด ด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ พร้อมระบบล็อกไฟฟ้า สามารถเลือกโหมดการขับเคลื่อนได้ มีระยะความสูงจากพื้นถนนถึงใต้ท้องรถ 225 มิลลิเมตร ลุยได้ในทุกเส้นทาง พร้อมด้วยเทคโนโลยีนิสสัน อินเทลลิเจนท์ โมบิลิตี้ (Nissan Intelligent Mobility) ที่ทำให้นิสสัน เทอร์ร่า มีความโดดเด่นในการใช้งานในทุกเส้นทาง
อาคารแบบใหม่และอาคารแบบชิโนโปรตุกีสที่อยู่ร่วมกัน
อาคารโบราณที่มีกลิ่นอายการออกแบบที่ผสานสไตล์จีนเอาไว้
วันนี้คณะเดินทางต้องมุ่งหน้าลงใต้สู่เมืองกัวลาลัมเปอร์ แต่ถ้าขับกันบนทางแบบออนโรดจะดูธรรมดาเกินไป จึงจัดให้มีเส้นทางออฟโรดในวันนี้ไว้ด้วยเช่นกัน วันนี้ขับผ่านหลายเมืองไม่ว่าจะเป็น ซูไงปตานี, บัตเตอร์เวิร์ท (ซึ่งหากใครจะเที่ยวเมืองปีนังสามารถนั่งรถไฟจากไทยมาลงที่สถานีรถบัตเตอร์เวิร์ทแล้วนั่งรถขึ้นสะพานที่ยาวถึง 12 กิโลเมตร ไปยังเมืองปีนังได้เลย), ไทปิง แล้วเข้าเมืองโกเป็ง (Gopeng) เมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวแนวธรรมชาติและในเชิงนิเวศน์ เป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในมาเลเซียอีกด้วย พื้นที่ส่วนในของเมืองนี้เป็นพื้นที่ป่าเขา ซึ่งในอดีตเป็นแหล่งผลิตแร่ดีบุกที่สร้างรายได้อย่างมหาศาล ถือว่าเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจการค้า จึงได้เห็นอาคารหลายแห่งมีอิทธิพลการออกแบบสถาปัตยกรรมสไตล์ชิโนโปรตุกีส (Sino-Portugyese) เช่นเดียวกับเมืองภูเก็ต เป็นการผสมผสานเอาความเป็นตะวันตกและตะวันออกเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ซึ่งงานสถาปัตยกรรมแบบนี้ถือกำเนิดขึ้นในดินแดนแหลมมลายูที่คณะคาราวานขับรถผ่านเข้ามานี่ล่ะ
หากย้อนไปในปี พ.ศ.2054 ตอนนั้นชาวโปรตุเกสได้เข้ามาทำการค้าขายที่เมืองมะละกา และนำวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา ในช่วงเวลานั้นจึงเป็นการผสานงานสถาปัตยกรรมของสองซีกโลกเอาไว้ด้วยกัน เพราะช่างก่อสร้างชาวจีนได้นำแบบแปลนไปสร้างต่อ แต่ด้วยสไตล์การสร้างนั้นต่างกัน จึงต่างจากแปลนเดิมออกไป มีการเติมแต่งลวดลายและรูปแบบอาคารตามความเชื่อของจีน กลายเป็นอาคารที่ผสานแนวคิดการออกแบบทั้งของโปรตุเกส, จีน และมาเลย์ จากนั้นเมื่อชาวอังกฤษและชาวดัตช์เข้ามามีอิทธิพลในแถบนี้ จึงมีการปรับปรุงอาคารออกไปอีกและสอดแทรกสไตล์ของตัวเองลงไป จนกลายเป็นอาคารที่ถูกเรียกว่า ชิโนโปรตุกีส ในวันนี้
ระหว่างทางได้ขับไปแวะพักรถและชมความงามของปราสาท Kellie’s Castle ที่สร้างขึ้นเป็นบ้านพักของวิลเลียม เคลลี สมิธ ชาวไร่จากสก๊อตแลนด์ ที่เข้ามาซื้อที่ดินเอาไว้ และยังเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อแรงงานจากอินเดียที่เข้ามาค้าแรงงานในแหลมมลายู เพราะได้สร้างศาสนสถานฮินดูให้ชาวอินเดียได้ประกอบพิธีทางศาสนาอีกด้วย โดยปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1915 แต่การก่อสร้างต้องหยุดลงเมื่อนายเคลลีเสียชีวิตในปี 1926 ภรรยาของเคลลี่จึงไม่คิดจะอยู่ที่นี่อีกแล้ว จึงได้เดินทางกลับบ้านเกิดโดยทิ้งให้ปราสาทแห่งนี้ทิ้งร้างแบบที่ก่อสร้างไม่เสร็จ กลายเป็นปราสาทที่โดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางป่าของรัฐเประ และยังมีความเชื่ออีกว่าที่ปราสาทแห่งนี้มีเรื่องเร้นลับอีกมากมาย ใครอยากรู้คงต้องเดินทางไปสัมผัสด้วยตนเองสักครั้ง เพราะปราสาทแห่งนี้สวยงามมาก ยิ่งจินตนาการไปว่าหากสร้างเสร็จจะสวยงามขนาดไหน
จากนั้นเดินทางไปทานมื้อเที่ยงที่ Thong Lok Seafood ในชุมชนชาวจีน บนเส้นทางสาย A15 ซึ่งบ้านเรือนแถบนี้จะเป็นสไตล์ชิโนโปรตุกีสเต็มสองข้างทาง และทำให้รู้ว่าพื้นที่แถบนี้เป็นพื้นที่เหมืองเก่าอยู่เต็มไปหมด นั่นทำให้เข้าใจแล้วว่าทำไมทีมงานถึงพามาถึงที่นี่ เพราะหลังจากนี้เป็นการพาขับเข้าเส้นทางออฟโรด โดยที่ปกติแล้วถ้าจะขับเข้ากัวลาลัมเปอร์จะมีเส้นทางปกติที่ขับสบายๆ แต่ไหนๆ มาถึงที่นี่แล้วต้องพาออกนอกเส้นทาง ให้สมกับทริปที่ชื่อว่า Nissan Go Anywhere นั่นเอง
จุดหมายต่อไปคือ The Hideout Gopeng ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวแคมปิ้งธรรมชาติ มีแม่น้ำไหลผ่าน สามารถทำกิจกรรมได้อย่างหลากหลาย แต่ก่อนที่จะไปถึง คณะคาราวานต้องขับออกจากถนนใหญ่สู่เส้นทางออฟโรดสายฝุ่น ซึ่งเป็นการขับเข้าเส้นทางเลาะชายป่า เข้าสู่พื้นที่การทำการเกษตรและพื้นที่ระเบิดหิน รวมทั้งพื้นที่ทำเหมือนแร่เก่า ถึงแม้ว่าบางเส้นทางจะมีทางให้รถวิ่ง แต่เป็นเส้นทางเก่าที่ไม่ค่อยมีใครขับเข้ามานานแล้ว ทำให้มีความท้าทายกันพอประมาณ เป็นทางออฟโรดแบบทั่วไป ไม่ได้ยาก แต่บรรยากาศนี่น่ามาพักค้างคืนมากๆ ด้วยสมรรถนะของเจ้าเทอร์ร่าและนาวาร่านั้นหายห่วง แม้ว่าเทอร์ร่าจะมีน้ำหนักของพวงมาลัยที่ค่อนข้างหนัก แต่เมื่อใช้ความเร็วในระดับหนึ่งกลับรู้สึกว่าน้ำหนักพวงมาลัยทำให้ใช้งานได้อย่างมั่นใจขึ้น รวมทั้งการขับบนทางออฟโรดน้ำหนักกลับเหมาะสมอย่างประหลาดใจ ซึ่งเส้นทางออฟโรดนี้เพียงใช้โหมดปกติแบบขับเคลื่อนสองล้อผ่านได้สบายๆ ส่วนเจ้าเอ็กซ์เทรลล่ะ..ปรากฎว่าลุยได้สบายด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะต้องขับผ่านลำธาร ลุยน้ำ ปีนทางชัน ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ขับไปไหนก็ได้จริงๆ
จากนั้นมุ่งหน้าเข้ากัวลาลัมเปอร์ สู่ที่พักในคืนนี้ที่ Impiana KLCC Hotel ใจกลางเมือง สิ่งที่ต้องชมคือ เส้นทางสายหลักทางเจ้าบ้านทำการก่อสร้างได้มาตรฐานมาก ถนนเรียบมาก แล้วหลายเส้นทางมีเลนเฉพาะเอาไว้สำหรับให้รถจักรยานยนต์ใช้ทางเพื่อความปลอดภัยอีกด้วย นั่นทำให้เห็นว่าบนทางที่ต้องจ่ายค่าผ่านทางคล้ายๆ กับมอเตอร์เวย์บ้านเรา จะเห็นรถจักรยานยนต์วิ่งร่วมทางแบบชิดซ้ายไปตลอดเส้นทางด้วยเช่นกัน ตรงนี้วางแผนและบริหารจัดการได้ดีทีเดียว
จากป่าสู่เมือง
ในขณะที่ขับเข้าสู่ใจกลางเมือง ได้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างของมาเลเซียจากที่ได้เดินทางมาหลายครั้ง หลายอย่างถูกพัฒนาขึ้นในรูปแบบของวัตถุ แต่วัฒนธรรมและวิถีชีวิตในหลายพื้นที่ยังคงเดิม ซึ่งมีเสน่ห์ให้นักเดินทางได้เข้าไปสัมผัส กลุ่มอาคารสูงกลางเมืองที่มองเห็นข้างหน้ากลมกลืนไปกับป่าไม้ และความเขียวขจีที่ต่างจากเมืองหลวงของไทย ยิ่งในวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับไปที่สนามบินนานาชาติ กัวลาลัมเปอร์ คณะคาราวานได้แวะไปชมความยิ่งใหญ่ของ ปูตราจายา (Putrajaya) หรือ ดินแดนสหพันธ์ปูตราจายา ที่เป็นเมืองใหม่และศูนย์กลางการปกครองของมาเลเซีย ที่ย้ายมาตั้งแต่ปี 1999 เพราะความแออัดในตัวเมืองกัวลาลัมเปอร์ เกิดขึ้นจากแนวคิดของ ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรี มาเลเซีย มีพื้นที่กว่า 49 ตารางกิโลเมตร ถนนสายหลักยาว 4.2 กิโลเมตร มีอาคารที่เป็นจุดเด่นสร้างอยู่บนเนิน เรียกว่า เปอร์ดานาปูตรา มีมัสยิดที่ตั้งอยู่เฉียงมาทางด้านหน้า เรียกว่า มัสยิดปูตรา (Masjid Putra) มีความสูงเทียบเท่าตึก 25 ชั้น เมื่อมองกลับลงไปเห็นกลุ่มอาคารศูนย์ราชการที่รายล้อมอย่างเป็นระเบียบ มีการจัดสรรพื้นที่ที่แทรกด้วยสีเขียวของต้นไม้ ถึงจะเป็นเมืองใหม่ แต่ยังไม่ทิ้งความใกล้ชิดกับธรรมชาติ เป็นอะไรที่น่าชื่นชมมาก
ปูตราจายา เมืองใหม่และศูนย์กลางการปกครองของมาเลเซีย
ในช่วงเวลา 3 วัน ที่เดินทางในกิจกรรม Nissan Go Anywhere ทำให้มองเห็นโลกในอีกแง่มุมหนึ่ง ถึงจะเป็นประเทศที่อยู่ติดกับประเทศไทย แต่มีน้อยครั้งที่จะได้ขับรถไปเยือนจากเหนือลงใต้ ได้เรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมแบบเข้าถึงชุมชนแบบนี้ แถมยังเข้าใจที่มาที่ไปของมาเลเซียได้อย่างชัดเจนผ่านการบรรยายพิเศษโดยวิทยากรชาวไทยที่คร่ำหวอดในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมในภูมิภาคนี้ ซึ่งได้เดินทางร่วมกันตลอดเส้นทาง กลายเป็นทริปที่นอกจากจะสนุกและมั่นใจในการขับขี่ผ่านรถยนต์หลายรุ่นจากนิสสันแล้ว ยังได้เสริมความรู้เพื่อนำมาแบ่งปันสู่ผู้อ่านได้อีกด้วย
ขอบคุณทีมงานนิสสันที่นำพามาให้พบกับการเปิดเส้นทางกับ Nissan Go Anywhere จากไทยสู่มาเลเซีย ทริปที่นิสสันไม่ได้เป็นแค่รถยนต์ แต่คือเพื่อนร่วมทาง และเพื่อนที่รู้ใจในครั้งนี้.
เรื่อง: พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th