ประเทศไทยพร้อมรับรถยนต์ไฟฟ้าแล้วจริงหรือ ?
ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยขณะนี้เริ่มมีการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเจ้ารถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้นมีค่ายรถยนต์หลายค่ายกำลังศึกษาว่าจะนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย เพราะรัฐบาลได้ประกาศให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ วันนี้จึงมีคำถามขึ้นมามากมายว่าไอ้เจ้ารถยนต์ไฟฟ้านี่ มันถึงเวลาจะเข้ามาจำหน่ายในบ้านเราแล้วจริงหรือ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (Electric Car) เป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือก ซึ่งเรียกย่อๆว่า EV (Electric Vehicles) จัดเป็นรถยนต์ ที่ขับเคลื่อน ด้วยพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า (electric motor) รถยนต์ไฟฟ้ามีศักยภาพที่จะลดมลพิษในเมือง โดยที่ในตัวของมันเองไม่มีการเผาไหม้เลย เมื่อเราเรียกรถยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric car นั้นจะแตกต่างจากรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าอื่นๆ เช่น Hybrid Electric Cars หรือรถยนต์ไฟฟ้าผสมกับเครื่องยนต์เผาไหม้ปกติ หรือรถยนต์ไฟฟ้าลูกผสมแบบเสียบปลั๊ก (Plug-in Electric Vehicles – PHEV) คือใช้แบตเตอรี่เป็นพลังงานที่ชาร์ตไฟด้วยการเสียบปลั๊กร่วมกับเครื่องยนต์แบบเผาไหม้
ข้อดีของรถยยนต์ไฟฟ้า
1. การใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้านอกจากจะลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตจากฟอสซิล อย่างน้ำมันเบนซิล และดีเซล แลัวยังช่วยให้สภาวะแวดล้อมของโลกดีขึ้นด้วย อย่างน้อยก็ไม่แย่ลงไปกว่านี้
2. การใช้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถช่วยคุณลดค่าใช้จ่ายจากการเติมน้ำมันเบนซิน หรือดีเซล ลงไปได้เยอะทีเดียว
3.ช่วยให้ประเทศเราลดการปล่อยก๊าซเลือนกระจกได้ถึง 47 เปอร์เซ็นต์ภายในระยะเวลา 15 ปี
4.ถ้าได้ลองขับรถยนต์ไฟฟ้า ส่วนมากจะติดใจเพราะเจ้ารถยนต์ไฟฟ้ามีอัตราเร่งที่ดี เพราะให้แรงบิดได้ทันใจทันที ไม่จำเป็นต้องรอรอบเหมือนเครื่องยนต์ที่ใช้การสันดาปภายในซึ่งใช้น้ำมันเชื้อเพลิง รถยนต์ไฟฟ้าจะออกตัวดี เร่งแซงดี ให้รู้สึกเบา และคล่องตัว
เรามาดูกันว่าความพร้อมของประเทศไทยมีความพร้อมขนาดไหน และข้อเสียของเจ้ารถยนต์ไฟฟ้ามีอะไร
1.สถานีชาร์จต้องพร้อมนะครับ
อันนี้สำคัญมากๆอันดับต้นๆเลย เพราะ รถพลังงานไฟฟ้า มันจำเป็นต้องชาร์จไฟ จึงจำเป็นต้องมีสถานีชาร์จไฟฟ้าไว้รองรับเจ้ารถยนต์ไฟฟ้า แต่ที่เห็นใขณะนี้ก็มีการพยายามทำจุดชาร์จไว้ให้อย่างเช่น ในห้างดังๆ ตามคอนโดหรูๆ และอาจจะเห็นจุดชาร์จในปั๊มน้ำมันบางปั๊ม ซึ่งที่เห็นมีอยู่ 2- 3 ปั๊มเท่านั้น แถมที่อยู่ในห้างในคอนโด ก็เป็นของแบรนด์รถยนต์ของตัวเองเท่านั้นจึงจะจอดชาร์จได้ หัวปลั๊กที่ให้มาแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อไม่เหมือนกันอีก ดังนั้น การทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ผู้ผลิตจึงต้องมั่นใจว่ามีสถานีชาร์จไฟครอบคลุมทั่วประเทศ ลูกค้าที่ซื้อจะได้ไม่เกิดปัญหาภายหลัง ซึ่งในขณะนี้ผมว่ายังไม่พร้อมเลยที่จะใช้รถยนต์ไฟฟ้าแบบ EV
2.ใช้เวลาชาร์จนาน
แน่นอนรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) มันใช้ไฟฟ้าอย่างเดียวโดยไม่มีตัวช่วยอื่นๆแบบรถยนต์ไฮบริดที่สามารถเติมน้ำมันได้ เพราะฉะนั้น ขนาดแบตเตอรี่ของเจ้ารถยนต์แบบ EV จะมีประจุไฟมากกว่ารถไฮบริดทั่วไปหลายเท่าตัว จึงจำเป็นต้องใช้เวลาชาร์จไฟเพิ่มขึ้นตามไปด้วย หากใช้ปลั๊กชาร์จไฟบ้านทั่วไปที่มีกำลังไฟ 220 โวลต์ ต้องใช้เวลาชาร์จนานถึง 3 – 4 ชั่วโมง กว่าแบตเตอรี่จะเต็ม และจะวิ่งได้ประมาณ 30-40 กิโลเมตร ด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว แต่ก็มีรถยนต์บางยี่ห้อชาร์จไฟ 8 -9 ชั่วโมง และวิ่งไกลได้ประมาณ 490 กิโลเมตร มันต้องเสียเวลาชาร์จไม่น้อย แล้วถ้าเราเกิดอยากไปขับรถไปจังหวัดที่มีระยะทางเกิน 500 กิโลเมตรละ นั้นหมายความว่าต้องจอดชาร์จไฟ ซึ่งก็ไม่รู้จะไปชาร์จที่ไหน หรือถ้ามีก็ต้องรออย่างน้อย 1.45 ชั่วโมง ถ้าเจอเครื่องที่เป็นแบบชาร์จเร่งด่วนนะครับ คิดดูว่าต้องเสียเวลานั่งรอชาร์จกว่าจะเต็มแล้วจะถึงจุดหมายเมื่อไหร่ ถ้ามีจุดชาร์จก็ดีไป แต่ถ้าไม่มีละ กินข้าวลิงกลางทางละมั้งครับ (ถ้าเดินทางแบบชิลล์ ไปเรื่อยๆ เวลาเยอะๆก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าชีวิตเร่งรีบ ต้องการความรวดเร็วไม่เหมาะเลยครับ)
3.ระยะทางวิ่งจำกัด
รถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันมีให้เลือกหลายรุ่นหลายราคา รถยนต์ราคาแพงๆก็จะมีแบตเตอรี่ที่ดีขนาดใหญ่วิ่งได้ไกลหน่อย ราคาประหยัดลงมาก็จะวิ่งได้ระยะทางน้อยลงมา แต่อย่างค่ายที่เพิ่งประกาศล่าสุดว่าจะนำเข้ามาขายเร็วๆนี้ อย่างนิสสัน ลีฟ โมเดลล่าสุดที่เพิ่งปฺดตัวที่ญี่ปุ่นไปไม่นาน เจ้าคันนี้สามารถวิ่งได้ประมาณ 550 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าเยอะมากครับกับการชาร์จเพียง 1 ครั้ง แต่อย่าลืมนะครับถนน และการจราจรบ้านเรามันไม่เหมือนประเทศอื่น เพราะทั้งรถติด อากาศร้อน ซึ่งทั้งหมดนั้นมันต้องใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น คาดว่าคงวิ่งได้ไม่ถึง 550 กิโลเมตรตามที่เค้าเครมไว้ได้ แต่ถ้าได้อาจจะต้องลุ้นกันหนักมากกว่าจะถึงจุดหมาย
4.ราคาสูงเกินไป
อย่างที่หลายท่านคงจะรู้กัน ว่ารถยนต์ไฟฟ้าส่วนมากต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ จึงโดนภาษีแพง และทำให้ราคาขายพุ่งสูงมาก ในปัจจุบันภาครัฐได้มีการช่วยเหลือทางด้านภาษีจึงทำให้ราคาของรถยนต์ไฟฟ้าลดลงมา แต่มันก็ประมาณ 1 ล้านบาทอยู่ดี ซึ่งลองดูพฤติกรรมผู้บริโภคในบ้านเรา รถยนต์ราคาประมาณ 1 ล้าน ได้รถยนต์ปกติที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ กว้าง นั่งสบาย มาเป็นตัวเปรียบเทียบ ลองคิดดูง่ายๆคุณมีเงิน 1 ล้านบาท ต้องการซื้อรถยนต์ ระหว่างรถยนต์ไฟฟ้า คันเล็ก ประหยัด สร้างภาพลักษณ์ได้ดี แบบเป็นคนรักษาสิ่งแวดล้อม แต่วิ่งได้ประมาณ 500 กิโลเมตร ต้องหยุดชาร์จไฟ กับ รถยนต์ขนาดใหญ่นั่งสบาย หยุดเติมน้ำมันนิดหน่อยถ้าวิ่งไกล ไม่เสียเวลา คุณจะเลือกอะไร ถ้าซื้อรถได้คันเดียว (ถ้าเป็นผมนะถ้าจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าต้องเป็นรถยนต์คันที่ 2 หรือ 3 ไม่ได้เป็นรถยนต์หลักคันเดียว เพราะมันคงไม่เหมาะกับวิ่งระยะทางไกลๆ ผมชอบขับรถยนต์เที่ยวต่างจังหวัดซะด้วย คงไม่ยอมเสียเวลาจอดชาร์จเป็นชั่วโมงแน่ๆ ผมว่ารถยนต์ไฟฟ้ามันจะเหมาะกับวิ่งในเมือง ไปกลับที่ทำงาน หรือไปต่างจังหวัดใกล้ๆ ให้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเดียวคงไม่ไหวแน่
สรุป สุดท้ายรถยนต์ไฟฟ้าเป็นการพัฒนาในทางที่ดี และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพียงแต่ว่าการที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ๆแบบนี้เข้ามา มันต้องควรที่จะเตรียมความพร้อมซะก่อน ทั้งในเรื่องราคา สถานีชาร์จไฟ ศูนย์บริการที่ต้องรองรับ สำคัญมากนะครับ อีกอย่างหนึ่งไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคุณว่าเหมาะกับการใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือไม่ เมื่อคุณอ่านจบแล้วลองย้อนกลับไปดูที่ตัวคุณว่าคุณเหมาะสมกับการใช้รถยนต์ไฟฟ้าและพร้อมทืี่จะยอมรับเทคโนโลยีใหม่ๆหรือยัง เพราะปัญหาที่กล่าวมายังอยู่ในขั้นตอนศึกษา และพิจราณาของทางภาครัฐอยู่เลยว่าจะไปในทิศทางไหน เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ทางที่ดีควรจัดการปัญหาทั้งหมดก่อน สร้างสถานีรองรับให้เรียบร้อยก่อนสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ
เรื่อง : ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th