รวมไฮไลต์คอนเซ็ปต์คาร์,รถใหม่—แฟร้งค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2017
หนึ่งในงานแสดงรถยนต์ระดับหัวแถวของโลก แฟร้งค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ หรือ IAA 2017 เปิดฉากรอบสื่อมวลชนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ภายใต้ธีมงาน “Future now” ทำให้ค่ายรถยนต์พร้อมใจนำคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นล่าสุด และเทคโนโลยีใหม่มาเปิดตัวอย่างคึกคักกว่าทุกครั้ง มีไฮไลต์ที่น่าสนใจอะไรบ้างเชิญติดตามได้เลย!!!
BMW
เริ่มต้นด้วยแบรนด์เจ้าถิ่น มีการปล่อยข้อมูลของ MINI Electric Concept หรือ BMW Concept X7 iPerformance ออกมาก่อนจนทำให้หลายคนไม่คิดว่าพวกเขาจะเหลือไฮไลต์น่าตื่นเต้นมาโชว์ที่แฟร้งค์เฟิร์ต จนกระทั่งได้เห็น BMW i Vision Dynamics เคลื่อนตัวขึ้นมาสู่บนเวที เพื่อเป็นตัวแทนของการก้าวสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าตามกลยุทธ์ NUMBER ONE > NEXT
คอนเซ็ปต์คาร์สไตล์แกรนด์คูเป้ 4 ประตู ใช้พลังงานไฟฟ้าที่สามารถขับได้ไกล 600 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง โดยแบตเตอรี่มีประสิทธิภาพในการปลดปล่อยพลังงานที่สูง ทำให้ใช้เวลา 4 วินาที เหยียบจาก 0-100 กม./ชม. และสามารถทำความเร็วสูงสุด 200 กม./ชม.
ไฮไลต์อื่นๆ ที่น่าสนใจของค่ายรถยนต์เมืองมิวนิค จะแบ่งเป็นกลุ่มลักชัวรี่ Concept X7 iPerformance, Concept 8 Series และ 7 Series Edition 40; กลุ่มรถสปอร์ต Concept Z4, New 6 Series Gran Turismo, New BMW X3, M8 GTE และ New M5 ; กลุ่มรถไฟฟ้า i3s
MERCEDES-BENZ
Mercedes-Benz เลือกใช้เวทีนี้ฉลองครบรอบ 50 ปีของแผนกรถยนต์สมรรถนะสูง AMG ด้วยการเปิดตัวไฮเปอร์คาร์ Mercedes-AMG Project ONE แต่ไม่ทิ้งคอนเซ็ปต์หลักของการก้าวไปสู่อนาคตภายใต้แบรนด์รถไฟฟ้ากับรถต้นแบบรุ่นล่าสุด Concept EQA
การที่เทรนด์วงการรถยนต์ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และพลังงานทางเลือก Project ONE เป็นการยืนยันแนวทาง “Future of Driving Performance” ของ Mercedes ด้วยการถ่ายทอดเทคโนโลยีไฮบริดจากทีมรถแข่งฟอร์มูล่า วัน มาสู่ไฮเปอร์คาร์คันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.6 ลิตร แบบวางกลาง รองรับรอบเครื่องสูงสุด 11,000 รอบต่อนาที มีพลังมหาศาลระดับ 1,000 แรงม้า และทำความเร็วทะลุหลัก 350 กม./ชม.
ขณะที่ Concept EQA จะเป็นคอมแพ็กต์รุ่นแรกภายใต้แบรนด์ใหม่ของ Mercedes ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวที่มีกำลังสูงถึง 200 กิโลวัตต์ หรือราว 268 แรงม้า จากการที่ออกแบบพื้นที่เก็บแบตเตอรี่ใหม่ ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ All-wheel Drive สามารถขับได้ไกลเกิน 400 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง
ในงานนี้ Mercedes ยังนำเสนอรถเอสยูวีพลังงานไฮโดรเจน GLC F-Cell, การเปิดตัวครั้งแรกของ S-Class Coupe และ S-Class Cabriolet รุ่นปรับโฉม รวมทั้งนำเสนอระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติล่าสุดผ่านรถ Smart Fortwo ที่ถูกอัพเกรดด้วยการติดตั้งจอบริเวณกระจังหน้าเพื่อบอกสถานะต่างๆ ในการใช้งาน ที่สำคัญจะเป็นรถยนต์รุ่นแรกในเครือ Daimler ที่จะไม่มีพวงมาลัย และคันเร่งอีกด้วย
https://youtu.be/du8h0Rs6Hp0
VOLKSWAGEN
ผู้ผลิตรถยนต์หมายเลข 1 ของโลก Volkswagen ก้าวข้ามฝันร้ายจากคดีโกงค่าไอเสีย ด้วยการเข้าสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าแบบเต็มตัว เปิดคอนเซ็ปต์คาร์เอสยูวีรุ่นใหม่ I.D. CROZZ II พร้อมประกาศวิสัยทัศน์รวมของกลุ่ม “Roadmap E”
รถต้นแบบพลังงานไฟฟ้าโมเดลที่ 3 ของ Volkswagen ไม่เพียงจะมีการดีไซน์ภายนอกที่ดูดีล้ำสมัยเท่านั้น แต่การที่แบตเตอรี่ลิเธียม-ไออน ถูกติดตั้งไว้บริเวณใต้ท้องรถ ทำให้ห้องโดยสารมีพื้นที่มากขึ้น โดยพวกเขานิยามว่า Open Space ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งผ่อนคลายในเลาจน์ มาพร้อมระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ I.D. Pilot และติดตั้งระบบควบคุม 4MOTION All-wheel Drive ที่พร้อมลุยทุกสภาพถนน มีระยะทางการขับ 500 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง และชาร์จแบบด่วนให้มีพลังงานขึ้นมาระดับ 80 เปอร์เซ็นต์ใช้เวลาเพียง 30 นาที
นอกจากนี้ VW มีการเปิดตัว T-Roc เอสยูวีรุ่นที่ 4, New Polo เจเนอเรชั่นที่ 6 ของซับคอมแพ็กต์ที่มียอดขายสะสมมากกว่า 14 ล้านคันทั่วโลก และรุ่นปรับโฉมของ Golf Sportsvan ที่อัพเดตเครื่องยนต์ รวมทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเพียบ
ขณะที่ Matthias Muller ประธานบอร์ดบริหาร Volkswagen AG ประกาศวิสัยทัศน์ “Roadmap E” โดยกำหนดเป้าหมายให้ทุกบริษัทในเครือจะนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าออกสู่ตลาด 80 รุ่นภายในปี 2025 และจะเปลี่ยนสู่ยุคใหม่ของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเป็นทางการในปี 2030 เป็นอย่างช้าที่สุด พร้อมแผนการรองรับด้านพลังงานที่น่าสนใจ
https://youtu.be/dUQUBtf4VxI
https://youtu.be/b3S2waZu_ME
AUDI
แสดงความเหนือชั้นเหมือนเดิมกับการนำเสนอรถต้นแบบ Audi Aicon เพื่อแสดงให้เห็นความก้าวหน้าเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติของพวกเขา ทำให้รถแห่งอนาคตคันนี้ ไม่มีพวงมาลัย และแป้นเหยียบ พร้อมทั้งมีระยะทางในการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 700-800 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง
ขณะที่ New Audi A8 จะเป็นอีกความสนใจของผู้ชมที่แฟร้งเฟิร์ต ด้วยการเป็นรถยนต์ที่ผลิตเพื่อขายจริงรุ่นแรกที่ได้รับอนุญาตให้ติดตั้งระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติสำหรับการใช้งานจริง
ในส่วนของแผนกรถสมรรถนะสูง Audi Sport นำเสนอรุ่นพิเศษ R8 V10 RWS ที่เป็นระบบขับเคลื่อนล้อหลัง โดยจะผลิตจำนวนจำกัดทั้งตัวถังคูเป้ และสไปเดอร์ 999 คันเท่านั้น โดยจะใช้เครื่องยนต์ FSI 5.2 V10 ที่มีพลังมหาศาลถึง 540 แรงม้า และแรงบิด 540 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุดจะทำได้ 320 กม./ชม. สำหรับรุ่นคูเป้ และ 318 กม./ชม. ในรุ่นสไปเดอร์
https://youtu.be/98oEZBCIjJM
https://youtu.be/A9SlPXvSS9Y
JAGUAR LAND ROVER
การเปิดตัว Jaguar E-Pace คอมแพ็กต์เอสยูวีรุ่นล่าสุด เมื่อเดือนกรกฎาคม ทำให้ไฮไลต์ของพวกเขากลายเป็นรถแข่งไฟฟ้า Jaguar I-Pace eTrophy ที่จะใช้ลงแข่งขันในรายการสนับสนุนศึกชิงแชมป์โลกฟอร์มูล่า อี ฤดูกาล 2018
การนำเสนอรถแข่งไฟฟ้ารายการวันเมคเรซ นับเป็นอีกก้าวสำคัญของ Jaguar Land Rover ที่นับจากปี 2020 ทุกโมเดลจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (นับรวมปลั๊ก-อิน ไฮบริด และไฮบริด) โดยรุ่นผลิตเพื่อขายจริงของ I-Pace คาดว่าจะออกสู่ตลาดในปี 2018
สำหรับ Land Rover มีการนำเสนอรุ่นพิเศษ New Discovery SVX ด้วยการเพิ่มระยะความสูงจากใต้ท้องรถกับพื้นถนน, การปรับปรุงระบบขับเคลื่อนให้สามารถลุยบนสภาพถนนที่สมบุกสมบันมากกว่าเดิม และขุมกำลังเบนซินซูเปอร์ชาร์จ V8 5.0 ลิตร 525 แรงม้า โดยขั้นตอนการผลิตจะเป็นความรับผิดชอบของแผนก Special Vehicle Operations ที่พร้อมจะส่งมอบรถคันแรกให้ลูกค้าในปี 2018
https://youtu.be/M2fofEZ72GY
BENTLEY
แบรนด์รถผู้ดีอังกฤษที่อยู่ภายใต้อาณาจักร Volkswagen สานต่อประวัติศาสตร์ของพวกเขาด้วยการเปิดตัว All-new Continental GT เจเนอเรชั่นที่ 3 ของรถแกรนด์ทัวเรอร์ ที่ยกระดับการดีไซน์ และความประณีตของการผลิตในแบบงานฝีมือเพื่อก้าวไปสู่อนาคต
อย่างไรก็ตาม Bentley แสดงให้เห็นความอนุรักษ์นิยมแบบอังกฤษ ด้วยการใช้เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบชาร์จคู่ W12 6.0 ลิตร ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ โดยไม่สนใจเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกอื่นๆ แต่พวกเขายืนยันว่าผ่านมาตรฐานทดสอบไอเสียระดับ Euro 6 Phase 2 และ US ULEV 125 ของประเทศสหรัฐฯ ด้วยอัตราการปล่อยคาร์บอนไดอ็อกไซด์ 278 กรัม/กม.
OPEL
อีกแบรนด์รถยนต์เก่าแก่ของเยอรมนี ที่ตอนนี้ถูกดูดเข้าไปอยู่ในเครือ Groupe PSA บริษัทสัญชาติฝรั่งเศสที่มี Peugeot และ Citroen อยู่ในการดูแลก่อนหน้านี้
งานนี้ Opel แสดงให้เห็นความพยายามในการกลับมาด้วยการจัดเวิลด์พรีเมียร์ 3 โมเดลพร้อมกัน โดยไฮไลต์สำคัญอยู่ที่ Grandland X รถเอสยูวีปลั๊ก-อิน ไฮบริด รุ่นแรกของพวกเขา ที่ใส่เทคโนโลยีทันสมัยมาเพียบ และถูกคาดหวังว่าจะทำให้พวกเขาพลิกสถานการณ์กลับมาได้
อีก 2 โมเดลที่เหลือเป็น Insignia GSi ซีดานตัวท็อปที่ถูกปรับให้มีเส้นสายที่เฉียบคมมีความเป็นสปอร์ตมากขึ้น แต่ยังรักษาความหรูหราแบบลีมูซีนเอาไว้ครบถ้วน พร้อมกับเพิ่มทางเลือกในรุ่น Insignia Country Tourer ที่สามารถลุยไปทุกสภาพถนน
CITROEN
ไหนๆ ก็พูดถึง Groupe PSA ในงานที่แฟร้งค์เฟิร์ต Citroen มีการนำรถยนต์รุ่นใหม่มาเปิดตัวเช่นกัน New C3 Aircross รถคอมแพ็กต์เอสยูวี ที่มีสีสันในการดีไซน์ตามสไตล์ของแบรนด์นี้ โดยเจาะกลุ่มพวกชอบทำกิจกรรมเอาท์ดอร์ด้วยการดึง Rip Curl แบรนด์เสื้อผ้าวัยรุ่นชื่อดังมาร่วมสร้างไอเดีย
แต่สมรรถนะในการใช้งานไว้ใจได้เหมือนเดิม ด้วยการติดตั้งระบบ Grip Control และ Hill Assist Descent systems ทำให้พร้อมจะลุยในทุกสภาพถนนแบบเดียวกับรถเอสยูวีขนาดใหญ่ ส่วนเครื่องยนต์จะมีให้เลือกทั้งเบนซิน และดีเซล
PORSCHE
เข้าสู่โซนรถสปอร์ตต้องเริ่มต้นด้วยแบรนด์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเจ้าถิ่น Porsche ไม่ต้องคาดเดาให้เสียเวลาโมเดลที่พวกเขาเลือกมาเป็นพระเอกประจำปีนี้ ต้องเป็นเอสยูวี Cayenne ที่เพิ่งเปิดตัวเจเนอเรชั่นที่ 3 ก่อนหน้านี้ไม่กี่สัปดาห์
แต่ที่ไม่ธรรมดาคือการเซอร์ไพรส์แนะนำ Porsche Cayenne Turbo เป็นครั้งแรก โดยจะใช้เครื่องยนต์เทอร์โบคู่ V8 ที่มีกำลังมหาศาล 550 แรงม้า และแรงบิด 770 นิวตันเมตร เรียกว่าไม่หลุดคอนเซ็ปต์ที่พยายามนำเสนอว่าถึงจะเป็นเอสยูวี แต่ให้อารมณ์การขับแบบเดียวกับบรรดารถสปอร์ต 911 ของพวกเขา และเป็นรถอเนกประสงค์รุ่นแรกของโลกที่ติดตั้ง Adaptive Roof Spoiler เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมขณะขับด้วยความเร็วสูง
อย่างไรก็ตาม Porsche ไม่ลืมเอาใจสาวกตัวจริง ด้วยการนำเสนอ 911 GT3 Touring Package ที่จะมีความเอ็กซ์คลูซีฟด้วยการติดตั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ที่ได้รับการพัฒนาให้สร้างอารมณ์แบบรถแข่ง และชุดแต่งรอบคันที่ได้แรงบันดาลใจจาก 911 Carrera RS รุ่นปี 1973 โดยมีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.9 วินาที และเครื่องยนต์ 6 สูบเรียงนอน 4.0 ลิตร 500 แรงม้า ทำความเร็วได้สูงสุด 316 กม./ชม.
LAMBORGHINI
อาจจะไม่ค่อยน่าตื่นเต้นเท่าไรนักกับรถสปอร์ตตรากระทิงดุ ที่เลือกนำเสนอ Aventador S Roadster ที่มีการปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ ให้เหมาะกับรถเปิดประทุนที่ต้องรองรับเครื่องยนต์ V12 740 แรงม้า และอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3 วินาที และความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม. ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 313,666 ยูโร หรือราว 12.43 ล้านบาท
FERRARI
จากที่ไม่ค่อยมีอะไรใหม่ของ Lamborghini กลายเป็นช่วยส่งเสริมให้คู่แข่งสำคัญ Ferrari มีความโดดเด่นมากขึ้น ไม่เพียงแบรนด์ “ม้าลำพอง” จะอยู่ในช่วงการฉลองครบรอบ 70 ปีเท่านั้น ทีมงานที่มาราเนโล่ มีความขยันมากเป็นพิเศษ ทำให้แกรนด์ทัวเรอร์ Portofino เป็นโมเดลใหม่ตัวที่ 2 ของพวกเขาในปี 2017
รถสปอร์ตที่มาพร้อมห้องโดยสารแบบ 2+2 ที่นั่ง ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบ V8 ที่รับรองด้วยรางวัลเครื่องยนต์นานาชาติยอดเยี่ยม 2 สมัยติดต่อกัน (2016-2017) ถูกปรับให้มีอัตราเร่ง 0-200 กม./ชม. ในเวลา 10.8 วินาที ด้วยกำลัง 591 แรงม้า
MASERATI
อีกหนึ่งผู้ผลิตรถสปอร์ตสัญชาติอิตาเลี่ยน จะเรียกว่าเป็นคู่แข่งกับแบรนด์ข้างบนก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก จากการที่อยู่ในเครือ Fiat ด้วยกันทำให้มีการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีมาตลอดหลายปีหลัง
แต่ผู้บริหาร Maserati เหมือนจะจับทางลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ดีขึ้น ด้วยการให้ความสำคัญกับ Ghibli ที่ถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นรถลักชัวรี่ 4 ประตู นับตั้งแต่เริ่มออกขายเมื่อ 4 ปีก่อน ทำให้มีการเปิดตัวรุ่นปรับโฉมเป็นโมเดลปี 2018 พร้อมกับ GranCabrio และ Levante ที่แฟร้งค์เฟิร์ต
Ghibli 2018 จะเพิ่มไฟหน้า LED ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Matrix อัพเกรดเครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น พร้อมระบบควบคุม Vehicle Control system (IVC) ที่พัฒนาร่วมกับ Bosch โดยจะเป็นครั้งแรกที่รถยนต์ซีดานของค่ายนี้จะเปลี่ยนมาใช้ระบบพวงมาลัยไฟฟ้า Electric Power Steering (EPS) ที่จะมาพร้อมระบบช่วยเหลือการขับ Advanced Driving Assistance Systems (ADAS)
https://youtu.be/nzcZH45JbF8
HONDA
มาที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นกันบ้าง หลังจาก Nissan เปิดตัวเจเนอเรชั่นที่ 2 ของรถยนต์ไฟฟ้า Leaf เมื่อสัปดาห์ก่อน ทำให้ Honda ต้องแสดงวิสัยทัศน์ด้วยการใช้แฟร้งค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ เป็นเวทีประกาศแผนจะนำเทคโนโลยีขับเคลื่อนไฟฟ้ามาใช้งานในรถยนต์ของพวกเขาทุกรุ่นที่ออกขายในยุโรปนับจากนี้เป็นต้นไป
แต่ที่สร้างความฮือฮาคงเป็นการยืนยันว่ารถไฟฟ้าต้นแบบ Urban EV Concept ที่นำมาโชว์ ไม่ได้เป็นความฝันที่ยาวไกล แต่ Takahiro Hachigo ประธานบริหารของพวกเขายืนยันว่าเตรียมจะเข้าสู่สายการผลิตจริง พร้อมออกขายที่ยุโรป ในปี 2019
เช่นเดียวกับการนำรถต้นแบบ CR-V Hybrid Prototype มาเปิดตัวครั้งแรกที่งานนี้ จะเรียกว่ารุ่นพรี-โปรดักชั่น คงไม่ผิดอะไร จากการมีกำหนดขายในช่วงต้นปี 2018 และจะกลายเป็นรถเอสยูวีรุ่นแรกของ Honda ที่ใช้พลังงานลูกผสมในการขับเคลื่อนที่ขายในทวีปนี้
นอกจากนี้มีการนำเสนอโครงสร้างพลังงานรูปแบบใหม่ Honda Power Manager Concept ที่จะควบคุมการเก็บพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (แสงอาทิตย์/ลม) เพื่อนำมาใช้งานในโครงข่ายร่วมกับพลังจากแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า
TOYOTA
เรียกว่าสมศักดิ์ศรีเบอร์หนึ่งของทวีปเอเชีย Toyota จัดทัพรถใหม่มานำเสนอได้อย่างน่าตื่นเต้นไม่ว่าจะเป็น C-HR Hy-Power Concept, New Land Cruiser, Yaris GRMN และ Auris Touring Sports Freestyle พร้อมกับโมเดลปี 2018
รถครอสส์โอเวอร์ที่สร้างยอดขายระดับสูงนับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปี 2016 และเทรนด์ของรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังมาแรง กลายเป็นที่มาของ C-HR Hy-Power Concept ด้วยการพัฒนาระบบไฮบริดให้มีกำลังสูงขึ้นจาก C-HR รุ่นไฮบริดที่ขายอยู่ในปัจจุบัน 122 แรงม้า รวมทั้งต่อยอดดีไซน์การออกแบบภายใน-ภายนอกรูปทรงเหลี่ยมเพชรให้มีความดุดันมากกว่าเดิม
ขณะที่ New Land Cruiser คงไม่ต้องโฆษณาอะไรมากจากการที่สร้างชื่อในวงการออฟ-โรดมายาวนานกว่า 65 ปี ในรุ่นใหม่นี้จะมีการเพิ่มระบบควบคุมที่ทันสมัยมากขึ้น โดยแบ่งตัวเลือกเป็นฝั่งยุโรปตะวันตกจะใช้เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล D-4D 2.8 ลิตร 177 แรงม้า และฝั่งยุโรปตะวันออกจะมีให้เลือกเฉพาะเครื่องยนต์เบนซิน VVT-i 2.7 ลิตร 161 แรงม้า กับ 4.0 ลิตร 249 แรงม้า
มาที่ตัวแรงอีกรุ่น Yaris GRMN ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่งแรลลี่ WRC หลังจาก Toyota ตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันแรลลี่ชิงแชมป์โลกอีกครั้ง โดยมีการเสริมอุปกรณ์ และชุดแต่งแบบสปอร์ตจัดทำพิเศษ เพื่อรองรับสมรรถนะเครื่องยนต์ซูเปอร์ชาร์จ 1.8 ลิตร ที่มีความแรงระดับ 212 แรงม้า
ในส่วนของคอมแพ็กต์คาร์ Auris มีการเปิดตัวรุ่นปรับโฉมปี 2018 และรุ่นพิเศษ Touring Sports Freestyle ที่มีการเพิ่มอุปกรณ์ตบแต่งใหม่เข้ามาเป็นการกระตุ้นยอดขายช่วงสุดท้ายก่อนจะเปลี่ยนเจเนอเรชั่นใหม่
https://youtu.be/ZPuh_qvyV_4
https://youtu.be/Yvt7ZVjdxG4
SUZUKI
ส่งท้ายด้วยรถที่บ้านเรารอคอยกันมากที่สุดรุ่นหนึ่ง Suzuki Swift โดยงานนี้มาพร้อมรหัสต่อท้าย Sport พร้อมข้อความโปรโมต “Swift Sport lighter, Faster and More Stimulating in Every Way” แปลแบบง่ายๆ คือน้ำหนักเบาขึ้น, แรงขึ้น และพร้อมสร้างความตื่นเต้นในทุกรูปแบบการขับ
ด้วยน้ำหนักรวมของรถ 970 กิโลกรัม เบาขึ้น 80 กิโลกรัม ดีไซน์ของตัวรถ และการพัฒนาระบบแอร์โรไดนามิกส์ ช่วยให้รองรับสมรรถนะเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ Boosterjet 1.4 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 138 แรงม้า และแรงบิด 230 นิวตัน เมตร รวมทั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยอีกเพียบตามมาตรฐานรถที่ขายในยุโรป
เรื่อง : พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: Automotive media
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th