ลองขับ ซีรี่ส์ 5 ใหม่ เบา แรง ช่วงล่างหนึบ เทคโนโลยีเพียบ
หลังจากเทสรถยนต์ญี่ปุ่นมานาน วันนี้ได้รับหมายเชิญจากบีเอ็มดับเบิลยูให้เข้าร่วทดสอบ รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 5 ใหม่ กับรหัสตัวถัง G30 ซึ่งตัวนี้เป็นเจเนอเรชั่นที่ 7 ของ ซีรี่ส์ 5 รถยนต์ขนาดกลางที่เป็นที่นิยมของค่ายนี้ ซีรี่ส์ 5 โฉมใหม่ เปิดตัวอย่างเป็นทางการในมืองไทย วันที่ 27 กุมภาพันธ์ แน่นอนเปิดตัวไปแล้วงานนี้ต้องขอไปทดสอบหน่อยว่าเจ้า ซีรี่ส์5 ใหม่คันนี้มันจะเจ๋งขนาดไหน
ดีไซน์ภายนอกของซีรี่ย์ 5 ใหม่ ถูกออกแบบให้ดูใกล้เคียงกับรุ่นซีรี่ย์ 7 แต่ย่อส่วนให้มีขนาดเล็กลง ติดตั้งไฟหน้าแบบ LED ที่ออกแบบให้เชื่อมต่อกับกระจังหน้าทรงไตคู่ ด้านท้ายติดตั้งไฟท้ายแบบ LED ดีไซน์ใหม่เช่นกัน รวมถึงยังมีชุดแต่ง M Sport จากโรงงานที่มาพร้อมกันชนดีไซน์สปอร์ต, สเกิร์ตด้านข้าง, แผงปิดใต้กันชนด้านหลังสีดำ, ปลายท่อไอเสียทรงแบน และล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว โดยซีรี่ส์ 5 โฉม G30 นี้ เมื่อเทียบกับโฉมก่อนหน้า นั้นจะมีความยาวเพิ่มขึ้นจากเดิม 36 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 6 มิลลิเมตร สูงขึ้น 2 มิลลิเมตร และความยาวฐานล้อเพิ่มขึ้น 7 มิลลิเมตร แต่กลับมีน้ำหนักโดยรวมที่เบาลงจากรุ่นก่อนหน้าถึงกว่า 100 กิโลกรัม เพราะด้วยงานออกแบบภายใต้แนวคิด BMW EfficientLightweight ซึ่งเน้นการใช้วัสดุอลูมิเนียมและเหล็กกล้าที่มีความทนทานสูงแต่น้ำหนักเบา อีกทั้งยังมีการออกแบบให้ลู่ลมมากขึ้นกว่าเดิมถึง 10% โดยมีอัตราค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศอยู่ที่ 0.22 เท่านั้น
จุดเด่นของเจ้าซีรี่ย์ 5 ใหม่ คือ
1.ทั้ง 530i M Sport และบีเอ็มดับเบิลยู 520d Luxury จะมาพร้อมกระโปรงหลังขนาดใหญ่ขึ้น ด้วยความจุถึง 530 ลิตร โดยส่วนขอบล่างของกระโปรงได้ปรับให้มีระดับต่ำลงกว่าในรุ่นก่อน จึงทำให้สามารถจัดเก็บสัมภาระขนาดใหญ่ได้ง่ายขึ้น ภายในช่องเก็บของที่ทั้งเปิดฝากระโปรงได้กว้างขึ้น และมีขนาดที่กว้างกว่าเดิม นอกจากนี้ ฝากระโปรงหลังของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 โฉมใหม่ยังทำจากอลูมิเนียมทั้งบาน ทำให้สามารถลดน้ำหนักลงไปได้กว่า 4.2 กิโลกรัม
2.กุญแจ Display Key ในบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย เช่น การสั่งการทำงานของระบบปรับอากาศในรถ นอกจากนี้ กุญแจดังกล่าวยังมาพร้อมหน้าจอสีแสดงผลแบบระบบสัมผัส ซึ่งแสดงสถานะต่างๆ ของรถ ทำให้ผู้ขับขี่สามารถรู้สถานะปริมาณของน้ำมันและระยะทางที่รถสามารถวิ่งได้ รวมถึงข้อมูลที่สำคัญอื่นๆ โดยกุญแจนี้สามารถชาร์จได้ด้วยเครื่องชาร์จไร้สายที่ติดตั้งมากับรถหรือจากพอร์ต USB ทั่วไป3.ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอด (Parking Assistance) จะทำให้การจอดรถง่ายดายขึ้นด้วยระบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นการจอดรถในรูปแบบแนวขนานหรือการจอดแบบเข้าซอง ทั้งยังมาพร้อมกับฟังก์ชันพิเศษเพิ่มเติม โดยในรุ่นนี้ ระบบสามารถทำการจอดรถได้ในพื้นที่จอดที่มีความยาวกว่าตัวรถเพียง 80 เซนติเมตร ซึ่งช่วยให้การเข้าจอดในพื้นที่จำกัดสามารถทำได้ดียิ่งขึ้น ระบบอัลตร้าโซนิคเซ็นเซอร์ (ultrasonic sensors) สามารถช่วยค้นหาพื้นที่จอดที่เหมาะสมได้ในขณะขับขี่ที่ความเร็วสูงสุด 35 กม./ชั่วโมง โดยเมื่อพบจุดจอดแล้ว ระบบจะทำการจอดรถเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเกียร์ หมุนพวงมาลัย ตลอดจนผ่อนคันเร่งหรือเบรกโดยอัตโนมัติ และในกรณีที่พื้นที่จอดรถทำมุมกับถนน ระบบจะต้องการพื้นที่ว่างด้านข้างตัวรถเพียงข้างละ 40 เซนติเมตรเท่านั้นในการทำงานแบบอัตโนมัติ ภายในยังคงความหรูหรานั่งสบาย มีการเพิ่มพื้นที่เก็บของและพื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสารในห้องโดยสาร นอกจากนี้ เทคโนโลยี SYNTAK (Special Synergy Thermoacoustic Capsule) ยังช่วยเสริมการเก็บเสียงของห้องโดยสารเพื่อความผ่อนคลายสูงสุดของผู้โดยสาร ติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว พร้อมปุ่มควบคุม iDrive แบบสัมผัส รองรับการสั่งงานด้วย Hand Gesture แผนที่นำทางรุ่น Professional พร้อมหน้าปัดแบบจอภาพขนาด 10.25 นิ้ว เบาะนั่งหุ้มหนัง Dakota พร้อมระบบจำตำแหน่งฝั่งผู้ขับ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 2 โซน, ระบบควบคุมความเร็วคงที่ พร้อมฟังก์ชั่นช่วยลดความเร็ว, ม่านบังแดดกระจกหลังไฟฟ้าและม่านบังแดดประตูหลัง นอกจากนี้ยังใส่ ระบบ เกสเตอร์ คอนโทรล(Gesture Control) อีกหนึ่งลูกเล่นที่ปกติจะอยู่ในรุ่นซีรี่ส์7 ที่นำมาใส่ไว้ในซีรี่ส์ 5 ด้วย ซึ่งเป็นฟีเจอร์ควบคุมฟังก์ชันหลักด้วยท่าทางการเคลื่อนไหวของมือขุมพลังในรุ่น 530i M Sport ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 252 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 17.5 กม./ลิตร และมีอัตราการปล่อย CO2 ที่ 129 กรัมต่อกิโลเมตร ลดลงจากรุ่นก่อน 11 เปอร์เซ็นต์ขณะที่รุ่นดีเซลอย่าง บีเอ็มดับเบิลยู 520d ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบเทอร์โบขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 7.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 235 กม./ชม. ให้อัตราสิ้นเปลืองที่ 20 กม./ลิตร และมีอัตราการปล่อย CO2 ที่ 132 กรัมต่อกิโลเมตรมาลองขับกันเลยดีกว่าเราเดินทางจากกรุงเทพโดยรถบัสมายังสนามบินเล็กที่ทางบีเอ็มเซ็ทเอาไว้สำหรับการทดสอบในครั้งนี้ที่เขาใหญ่ ตอนไปถึงฝนตกค่อนข้างหนักจึงทำให้สนามทดสอบมีน้ำขังและลื่น แบ่งออกเป็น 3 สถานีหลัก ได้แก่ สถานีแรกมาลองระบบช่วยจอดอัตโนมัติกันก่อนเลย ต้องบอกว่าแน่นอนมาก ใช้งานง่าย ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียวเท่านั้น รถยี่ห้ออื่นที่มีระบบนี้ยังคงต้องเข้าเกียร์เดินหน้าถอยหลัง และคุมเบรกเอง แต่เจ้าซีรี่ย์5ใหม่คันนี้ กดปุ่มเดียวรถทำให้ทุกอย่างเลยจร้า (เอาไปสอบใบขับขี่สบายเลยแบบนี้ ) แม่น เป๊ะเว่อร์ ฉลาดมากเลยครับ อีกหน่อยกดปุ่มเดียวรถขับเองเลยมั้งนี่มาต่อกันที่สถานีที่2 โดยให้ขับเปรียบเทียบกันระหว่างรุ่น 520d ดีเซล กับรุ่น 530i M sport เบนซิน จะได้รู้เลยว่าเบนซินกับดีเซลต่างกันมากน้อยแค่ไหน เริ่มจากสลาลมหักหลบไฟลอนซ้าย-ขวา สลับกันดูการทรงตัวและการยึดเกาะถนนของช่วงล่าง และมีทางตรงยาวเพื่อทดสอบอัตราเร่ง บอกเลยว่าดีทั้งคู่ แน่น หนึบ ควบคุมง่าย แต่ตัว 530i M sport จะแน่น หนึบ ขับสนุกกว่า ต่อด้วยเลนเชนจ์ หักเลี้ยวหลบกระทันหัน คุมง่ายตัวรถยังคงนิ่ง คมและแม่นยำ กลับออกมาเป็นทางยาวลองอัตราเร่งกัน เพื่อจะได้ทราบถึงความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 รุ่น ผลก็คือ 530i M sport ออกตัวดีขับสนุกขับมันส์ กดเป็นมา ช่วงล่างแน่น หนึบมาก คมกริบ คุมง่าย เปลี่ยนมาขับ 520d ความรู้สึกต่างกันก็อย่างว่าครับเครื่องดีเซลกับเบนซินคนละอย่างกันครับ ออกตัวอาจจะรอรอบนิดๆแต่พอมาแล้วมาอย่างต่อเนื่องเลยจร้าตามสไตล์เครื่องดีเซล ช่วงล่างนุ่มนวลกว่าตัว 530i M sport แต่ยังคงความแน่นหนึบ สรุประบบช่วงล่างและเครื่องยนต์ของทั้งสองรุ่นสุดยอดเลยครับแล้วแต่ใครชอบสไตล์ไหนเลยครับแต่ผมโดยส่วนตัวจะเอนเอียงไปที่รุ่น 530i M sport เพราะขับสนุกกว่า อัตราเร่งดีกว่า การเค้าโค้งด้วยความเร็วสูงที่ได้ดีกว่าตัว520d แต่ก็ต้องแลกมาด้วยช่วงล่างที่กระด้างกว่านะครับ แถมตัว530i M sport คันนี้มีพละกำลังแรงม้ามากขึ้นกว่ารุ่นเก่าจาก 218 แรงม้า เป็น 252 แรงม้า แรงขึ้นเยอะทีเดียวครับ แถมมาพร้อมชุดแต่ง M เบรก M ล้อ M สวยโดยใจจริงๆครับผม ทุกอย่างเหนือกว่ารุ่น 520d แต่ก็มีราคาแพงกว่า โดยรุ่น 530i M Sport ราคา 4.399 ล้านบาท ส่วน 520d ราคา 3.899 ล้านบาทสถานีที่3สุดท้ายให้เราได้ขับสลาลมแข่งจับเวลากัน และมีการเข้าโค้งแบบยูเทิร์นอีกต่างหาก โดยใช้ตัว 520d ผมบอกเลยว่ารุ่นนี้ควบคุมง่าย อัตราเร่งดี การเข้าโค้งแบบสลาลม เกาะถนนดี พวงมาลัยคม คล่องตัวมากครับ เข้าโค้งยูเทิร์นแบบเร็วๆบาง ผ่านสบายๆวงเลี้ยวแคบดีครับจบสถานีสุดท้ายถึงเวลาขับบนถนนจริงเพื่อกลับโรงแรมที่พัก เส้นทางเป็นทางขึ้น-ลงเขาโค้งเยอะพอสมควร แถมเป็นเลนสวนกัน โดยเราใช้เจ้า 520d เครื่องยนต์ดีเซล หัวใจขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ผมบอกเลยว่าแม้จะเป็นเครื่องยนต์ตัวเดิมไม่ได้เปลี่ยนอะไร แต่เพราะน้ำหนักตัวที่ลดลงเยอะ ทำให้สมรรถนะการขับขี่ดีขึ้นกว่ารุ่นเก่าอย่างเห็นได้ชัด การออกตัวแม้จะรอรอบอยู่นิดๆแต่ก็เป็นสไตล์เครื่องดีเซล พอรอบได้เท่านั้นละโอ้โห มายาวๆ เร่งแซงหายห่วงกดเป็นมา ตามสั่ง ความคล่องตัวทำได้ดีมากขับง่ายแม้บางช่วงต้องเจอเส้นทางที่ค่อนข้างแคบ การเค้าโค้งซ้าย-ขวาด้วยความเร็วเกินกำหนด ก็ทำได้อย่างมั่นใจตัวรถยังคงนิ่ง แน่น มากครับ ขับผ่านถนนขรุขระก็สามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดีมากนุ่มนวล ห้องโดยสารเก็บเสียงได้ดีสุดๆเงียบกริบ แถมเค้าเครมมาว่าอัตราการบริโภคน้ำมันอยู่ที่ 20 กม./ลิตรบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 5 ใหม่ อัดแน่นด้วยเทคโนโลยี ใหม่ๆ ลูกเล่นเพียบเต็มคัน ขับสนุก แถมประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่าเดิม ขนาดของตัวรถกำลังดี ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป และมี 2 รุ่นใหม่เลือกตามสไตล์ของตัวเองทั้ง 520d ขับสนุก ช่วงล่างนุ่มนวล ประหยัดน้ำมันถึง 20 กม./ลิตร ใครอยากซิ่งเพิ่มเงินอีกหน่อยจัดไปกับตัว 530i M sport รับลองขับสนุกแน่นนอน แถมประหยัดน้ำมันถึง 17.5 กม./ลิตร ผมบอกเลยว่าเจ้าบีเอ็มดับเบิ้ลยู ซีรี่ส์ 5 คันนี้คุ้มค่าเงินทุกบาททุกสตางค์จริงๆครับ ท่านผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรงต้องห้ามพลาดนะครับ
เรื่อง : ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th