ลองขับ นิสสัน ลีฟ ใหม่ เจน2 รถยนต์ไฟฟ้าสุดเจ๋ง ป่วนฮ่องกง กับค่าตัว 1.99 ล้านคุ้มหรือไม่
เราได้มีโอกาสเข้าร่วมงาน Nissan Futures กันที่ประเทศฮ่องกง โดยภายในงานเค้าก็จะมาพูดคุยเรื่องเกี่ยวเทคโนโลยีต่างๆของทางนิสสันโดยเน้นย้ำไปที่รถยนต์ไฟฟ้าโดยพระเอกของงานนี้คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนิสัน ลีฟ เจนเนอร์เรชั่นที่ 2 ที่เปิดตัวและขายในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยราคา 1.99 ล้านบาท ต้องบอกเลยว่าตั้งแต่เค้าเปิดตัวในไทยผมยังไม่มีโอกาศได้ทดลองขับเลยการไปฮ่องกงในครั้งนี้ถือว่าโชคดีมากเพราะเค้ามีให้เราทดลองขับเจ้านิสสัน ลีฟ กันวนรอบเมืองฮ่องกงเลยจร้า
เรามาทำความรู้จักเจ้านิสสัน ลีฟ เจนเนอร์เรชั่นที่ 2 นี้กันก่อนเลยดีกว่าครับ รูปลักษณ์ภายนอกโฉบเฉี่ยว ล้ำสมัยดูอนาคตดีครับ กระจังด้านหน้ายังคงมาในสไตล์ V-Shape เพราะมันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์นิสสันรุ่นใหม่ๆในปัจจุบันดูล้ำสมัยดี ชุดโคมไฟหน้าแบบ LED โปรเจคเตอร์คู่ พร้อมไฟเดย์ไทม์รันนิ่งไลท์รูปทรง L นอน มาด้านล่างจะพบชุดไฟตัดหมอกซึ่งเป็นไฟตัดหมอกแบบ LED แสงสีขาวเรียบร้อย บริเวณ เสาA เสาB และเสาC จะถูกตกแต่งด้วยสีดำเงาสีเดียวกันกับหลังคาซึ่งทำให้ตัวรถดูมีมิติ และมีความแปลกใหม่มากยิ่งขึ้น ด้านล้อจะมาพร้อมล้ออลูมิเนียมลายใหม่สีทูโทน เส้นสายด้านข้างตัวรถชัดเจน ในส่วนด้านท้ายโดดเด่นด้วยไฟท้ายรูปทรงบูมเมอแรง พร้อมฝาท้ายสีดำลากยาวมาตั้งแต่หลังคา ทำให้ด้านหลังมีมิติ ด้านล่างจะพบชุดดิฟฟิวเซอร์พร้อมตกแต่งด้วยคิ้วสีฟ้า บ่งบอกความเป็นรถไฟฟ้า มิติภายนอก ยาว x กว้าง x สูง (มม.) 4,480 x 1,790 x 1,540 ฐานล้อ (มม.) 2,700 น้ำหนักสุทธิของรถ 1,523 กิโลกรัม
เข้ามาด้านในมองดูรอบๆ วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ใน นิสสัน ลีฟ บอกได้เลยว่าไม่ได้หรูหรามากมาย คุณภาพของวัสดุอย่าง คอนโซลกลาง แผงข้างประตู ก็เหมือนๆกับนิสสัน โน้ต ไม่ได้ใช้วัสดุอะไรที่หรูหรามากนัก พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น มาตรวัดด้านหลังพวงมาลัย เป็นการผสมกันระหว่างมาตรวัดความเร็วแบบอนาล็อก กับหน้าจอแสดงผลแบบ multi-information ด้านซ้าย หน้าจอสีแบบ Thin-film Transistor (TFT) ขนาด 7 นิ้ว บอกปริมาณกำลังไฟฟ้าที่มีอยู่ โดยคนขับสามารถเลือกแสดงข้อมูลตามที่ต้องการได้อีกด้วย
ชุดจออินโฟรเทนเมนท์แบบ Flush-surface สามารถควบคุมระบบเอนเตอร์เทรนเมนต์ต่างๆ และใช้งานระบบนำทาง ถัดลงมาจะพบแผงควบคุมระบบปรับอากาศต่างๆ ที่มาพร้อมระบบแอร์ออโต้ ถัดลงมาด้านล่างจะพบ ปุ่มสตารท์เครื่องยนต์ พร้อมช่องเสียบ USB ช่องเสียงไฟ 12V และปุ่มควบคุมระบบเป่าลมเบาะนั่ง ด้านจอมาตรวัดมาพร้อมจอแสดงผลขนาดใหญ่บริเวณฝั่งซ้าย พร้อมมาตรวัดรอบเครื่องยนต์และบบการส่งกำลังรูปแบบวงกลมในฝั่งขวา พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบสามก้านทรงสปอร์ต ท้ายตัดออกแบบมาได้ค่อนข้างสวยงามตามแบบสมัยนิยมของรถยนต์ในรุ่นใหม่ๆ การดีไซน์ภายในเรียบง่ายไม่ได้หวือหวาเท่าไรนักจะมีดูเท่ห์และแปลกใหม่ก็ตรงปุ่ม e-Pedal และชุดเกียร์ทรงกลมเล็กๆ กระทัดรัด พร้อมตกแต่งด้วยสีฟ้าให้ความรู้สึกล้ำอนาคต ไม่ต้องกลัวว่าจะงงใช้งานยาก การใช้งานไม่ได้ยากอย่างที่เห็นเพราะมันมีแผ่นป้ายบอกตำแหน่งเกียร์ให้ เบาะนั่ง ทั้งตอนหน้า และตอนท้ายกว้างขวาง โปร่งโล่ง นั่งสบายมากครับผมชอบมาก
มาถึงขุมพลังที่มีการอัพเกรดใหม่ขับได้ไกลถึง 400 กม. ตามสเปคโรงงานเข้าบอกมา แต่เอาเข้าจริงขับแบบรถติดๆในเมืองพอถนนโล่งๆก็ขับเร็วหน่อย ผมว่าเต็มที่น่าจะวิ่งได้ประมาณ 250-300 กิโลเมตรต่อการชาร์จ1ครั้ง New Nissan Leaf จะมาพร้อมพละกำลังจากมอเตอร์ถึง 110 กิโลวัตต์ หรือ 150 แรงม้าแรงบิด 320 นิวตันเมตร เลยทีเดียว พร้อมขับได้ไกลถึง 400 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มๆ 1 ครั้ง
เอาละถึงเวลาสนุกกันแล้วเราจะออกไปตะลุยขับ New Nissan Leaf ป่วนฮ่องกงกันดีกว่า เส้นทางที่เราขับ นั้นทางทีมงานนิสสัน ได้กำหนดเอาไว้แล้วแต่เป็นฟรีรันนะครับคือไปเองเลยไม่มีคนคุ้ม เส้นทางมีทั้งขับผ่านในเมือง บนทางด่วน และขึ้นเขา ระยะทางทั้งหมดประมาณ 80 กิโลเมตร ครบรสครับงานนี้ เริ่มต้นจากโรงแรมทีเราพักบนฝั่งเกาลูน กดปุ่มสตาร์ทรถพร้อมทำงานเงียบและนิ่งมากจนเราไม่รู้เลยว่านี้มันติดแล้วหรือยังรถไม่มีอาการสั่นแต่อย่างใด แต่เราจะรู้ว่ามอเตอร์ไฟฟ้าทำงานแล้วก็เพราะมาตรวัดต่างๆ สว่างขึ้นมาทั้งตัวเลขต่างๆ แสดงขึ้นมาให้เราเห็น อย่างตัวเลขปริมาณแบตเตอรี่ และระยะทางที่สามารถขับได้
เริ่มออกสตาร์ทขับเจ้านิสสัน ลีฟ เจนเนอเรชั่นที่ 2 กันเลยจะได้หายสงสัยกันซะทีว่ามัน เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันจริงหรือเปล่า และจะคุ้มค่าเงินที่ต้องจ่ายไป1.99 ล้านหรือไม่ มองหาเกียร์ ของ นิสสัน ลีฟ อืม….คือว่า เป็นแค่ปุ่มเล็กๆดูแปลกตาเหมือนจะใช้งานยากไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ครับใช้งานง่ายกว่าหน้าตาที่เห็นครับ เรากดคันเร่งแบบไม่เกรงใจคนฮ่องกงที่นั่งมาด้วยเพราะอยากรู้ว่ามันจะออกตัวดีขนาดไหนปรากฏว่ารถพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแบบติดเท้าเลยครับ เริ่มสนุกแล้วซิบอกเลยว่าวิ่งดีมากจื๊ดมากเพียงแต่ว่าความรู้สึกในการขับเท่านั้นที่แปลกๆเพราะคันเร่งมีน้ำหนักค่อนข้างเบาไม่ค่อยมีแรงต้านเท้าเหมือนกับรถที่ใช้เครื่องยนต์ปกติ เอาเป็นว่าถ้าใครเคยขับรถกอล์ฟอารมณ์ประมาณนั้นละครับแต่แรงกว่ามันจะลอยๆเบาๆ ก่อนข้ามไปสู่ในย่านตัวเมืองของฮ่องกงมีถนนโล่งรถไม่เยอะให้เราลองอัตราเร่งต้องบอกเลยว่ามันขับสนุก ขับดี มากครับกดคันเร่งลงไปความเร็วเพิ่มขึ้นตามเท้าเลยครับ ขับสนุกจนเพลินลืมมองระบบนำทางเลย หลงดิครับจะเหลืออะไร วนไปวนมาพักใหญ่
ลืมบอกไปรุ่นที่เราขับเป็นรุ่นที่ขายในญี่ปุ่น และมีระบบ Pro-Pilot หรือระบบการขับขี่กึ่งอัตโนมัติ ระบบนี้จะทำงานที่ความเร็วเกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งระบบนี้ก็คล้ายๆ กับระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน หรือ Adaptive Cruise Control รวมกับระบบ Keep Lane Assist และระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลนของตัวเอง เรียกว่ารวม 3 ระบบนี้ไว้ด้วยกัน ตัวที่ขายในไทยไม่มีระบบนี้นะครับ และการทดสอบของเราในครั้งนี้ก็ไม่ได้ใช้ด้วยครับเค้าปิดระบบไว้เหตุผลเพราะว่าทางประเทศฮ่องกงห้ามใช้ระบบนี้ครับ ผิดกฎหมายจร้า
เรามุ่งหน้าผ่านตัวเมืองฮ่องซึ่งรถค่อนข้างเยอะมากและเริ่มจะติดขัด แอร์ภายในห้องโดยสารยังคงเย็นฉ่ำ ความคล่องตัวสำหรับการขับขี่ในเมืองมีสูงสามารถลัดเลาะตามช่องว่างได้อย่างสบาย แถมยังมีเทคโนโลยี e-pedal ที่คันเร่งและเบรกอยู่ในแป้นเดียวกัน ซึ่งนิสสันเพิ่งนำมาใช้ในนิสสัน ลีฟ เป็นครั้งแรกของโลกด้วย การใช้งานก็ง่ายๆถ้าเราต้องการใช้ระบบนี้ก็แค่กดปุ่มเปิดระบบครับง่ายมั้ยละครับ หลังจากเปิดระบบนั่นหมายความแป้นคันเร่ง จะทำหน้าที่เร่งและเบรก โดยเมื่อเรายกคันเร่ง ระบบจะกลายเป็นเบรกไปในตัว มันอาจจะแปลกในช่วงแรกที่ใช้หน่อยนะครับเพราะถ้าเรายกคันเร่งเร็ว ก็จะกลายเป็นเบรกหนักๆหัวทิ่มไปเลย ฮาฮา เลยเอารถชาวบ้านที่ฮ่องกงบีบแตรไล่กันยกใหญ่ป่วนไปทั้งถนน เพราะนอกจากอยู่ดีๆก็เบรกหัวทิ่มเพราะยังไม่ชินระบบแล้วยังเลี้ยวผิดหลงทางอีกด้วย กว่าจะชินเล่นไปซะครึ่งเส้นทางทดสอบแล้วอธิบายง่ายๆ เวลาต้องการเบรกให้เราค่อยๆ ถอนน้ำหนักเท้าจากคันเร่งอย่างเบาๆ เท่านั้นรถจะเบรกให้จนหยุดสนิททันทีจนเราไม่ต้องเหยียบเบรกแต่อย่างใด หลายคนอาจจะสงสัยอ้าวแบบนี้แล้วแป้นเบรกละ ตอบครับมันก็ยังมีอยู่ตามปกตินั้นละครับยังใช้งานได้เหมือนเดิมในเวลาทีต้องการเบรกฉุกเฉินก็เหยียบแป้นเบรกได้
ถึงเวลาต้องขึ้นทางด่วนจำได้ว่าเค้าให้บัตรที่ชื่อ octopus มามันเป็นบัตรจ่ายเงินสดแตะแล้วไปจำได้ว่าให้ช่องสีฟ้า เราก็ขับเข้าช่องสีฟ้าเลยจร้าสรุปจำผิดเข้าผิดช่อง แถมคนฮ่องกงที่มาช่วยบอกทางก็งงเหมือนกันแล้วก็ตะโกนมาว่า GO GO ! เพราะทางด่วนที่ฮ่องกงมันไม่มีไม้กั้น สรุปขับผ่านไปเสียงหวอดังลั่นเลยจร้า ฮาฮา ขับผ่านไปก่อนแล้วค่อยวนกลับมาจ่ายอีกที อิอิ ป่วนตลอดเส้นทางเลยครับงานนี้
มาถึงเส้นทางขึ้นเขาพละกำลังบอกได้เลยว่าเหลือเฟือไม่ต้องกังวลจะเขาชันขนาดไหนก็ไปได้ครับหมดปัญหา ช่วงล่างนุ่มนวล แต่ยังคงไว้ซึ่งความแน่นหนึบ ดีทีเดียวครับ เข้าโค้งได้อย่างสบายแน่นๆหนึบๆเลย แถมดูดซับแรงสั้นสะเทือนได้ดีอีกด้วย เทคโนโลยี e-pedal ยังมีประโยชน์ในช่วงลงเขาครับเพราะระหว่างเราถอนเท้าจากคันเร่งมันจะช่วยปั่นกระแสไฟฟ้ากลับเข้าแบตเตอรี่ด้วยเจ๋งไปเลย เทคโนโลยี e-pedal นี้ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีแนวคิดที่ดีมาก ขับรถติดๆ ในเมืองสบายมากไม่ต้องเปลี่ยนเท้าไปเหยียบคันเร่ง เหยียบเบรก เพียงแต่ต้องศึกษาน้ำหนักของคันเร่งให้ดี ว่าควรจะผ่อนคันเร่งระดับไหน เพื่อให้น้ำหนักเบรกที่เหมาะสม แถมเวลาขึ้น-ลงเขายังช่วยปั่นไฟกลับมาเข้าแบตเตอรี่อีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อีกเพียบทั้ง Intelligent Lane Intervention, Lane Departure Warning, Intelligent Emergency Braking, Blind Spot Warning, Traffic Sign Recognition, Rear Cross Traffic Alert และ Intelligent Around View Monitor
สรุป นิสสัน ลีฟ ใหม่ เจนเนอร์เรชั่นที่2 คันนี้ เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าใช้มากครับ เพราะด้วยสมรรถนะที่ขับสนุกอัตราเร่งดี การดีไซน์สวยงามลงตัว และระบบไฟฟ้า และแบตเตอรี่ที่ชาร์จ1ครั้งวิ่งได้ไกลถึง 250-300 กิโลเมตร แต่นิสสันเครมไว้วิ่งได้ถึง 400 กิโลเมตร น่าจะทำได้ถ้าขับแบบเนียนๆ และเทคโนโลยีต่างๆที่ใส่มาให้เรียกได้ว่าจัดเต็มเป็นรถยนต์แห่งอนาคตตัวจริงแถมรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย น่าใช้มากครับแต่เข้ามาขายในประเทศไทยราคามันค่อนข้างแรงไปหน่อย 1.99 ล้านบาท อืมม คิดหนักครับราคานี้ แต่ถ้าท่านไหนมีกำลังทรัพย์มากพอและอาจจะอยากได้รถคันที่2 ไว้ใช้วิ่งในเมืองเก๋ๆ ประหยัด และรักษ์โลก จัดไปเลยครับน่าใช้ทีเดียว นี่ถ้ารัฐบาลสนับสนุนอย่างจริงๆจังๆราคาน่าจะลงมาถูกได้มากกว่านี้สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
เรื่อง: ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th