ลองขับ NISSAN KICKS e-Power แบบใช้งานจริง ดีจริงหรือแค่คุย !!
หลายท่านคงได้ลองได้ขับ หรือไม่ก็ได้เป็นเจ้าของ NISSAN KICKS e-Power ไปบ้างแล้ว ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ทาง Grand Prix Online ได้มีโอกาศเข้าร่วมการทดลองขับ NISSAN KICKS e-Power ในรูปแบบการใช้งานจริงบนเส้นทาง กรุงเทพ –กาญจนบุรี กับระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร ซึ่งมีถนนหลายหลายรูปแบบทั้งเส้นทางขึ้น-ลงเขา ถนนเลนสวนเร่งแซง และทางไฮเวย์ยาวๆซัดแบบเต็มๆ ให้ได้ทดลองกัน เรามาดูกันว่า NISSAN KICKS e-Power ถ้าขับใช้งานจริงๆมันจะดีหริอได้แค่ราคาคุยเท่านั้น
เรามาดูที่รูปร่างรูปลักษณ์ภายนอกของ NISSAN KICKS e-Power ต้องยอมมรับว่าทางนิสสันออกแบบได้ดีมากดูสปอร์ต ล้ำสมัยด้วยกระจังหน้าแบบ V-motion รับกับไฟหน้าและไฟท้ายแบบ LED ทรงบูมเมอแรงได้อย่างลงตัว ชุดโคมไฟหน้าของทุกรุ่นย่อยจะเป็นแบบ Full-LED ทั้งไฟต่ำ ไฟสูง ไฟเลี้ยว และไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน (Daytime Running Light) มีระบบหน่วงเวลาปิด หลังจากดับเครื่องยนต์ Follow-me-home มาให้ ออกแบบแนวเส้นหลังคาแบบลอยตัว (Floating Roof Line) ทำให้มีแอร์โรไดนามิกที่ดีขึ้น ซุ้มล้อสีดำให้โดดเด่นเข้ากับรูปลักษณ์แบบรถครอสโอเวอร์ โดยรวมแล้วดูดีทีเดียวครับ
NISSAN KICKS e-Power มีมิติตัวถังภายนอกยาว 4,290 มิลลิเมตร กว้าง 1,760 มิลลิเมตร สูง 1,615 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,615 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหน้า 1,520 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหลัง 1,535 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้นถึงใต้ท้องรถ Ground Clearance 175 มิลลิเมตร ความจุถังน้ำมัน 41 ลิตร
เมื่อเทียบกับคู่แข่งในกลุ่ม Sub-Compact Crossover อย่าง Mazda CX-30 ซึ่งมีมิติตัวถังภายนอกยาว 4,396 มิลลิเมตร กว้าง 1,795 มิลลิเมตร สูง 1,540 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,655 มิลลิเมตร จะพบว่า Kicks e-POWER สั้นกว่า CX-30 ถึง 106 มิลลิเมตร แคบกว่า 35 มิลลิเมตร แต่สูงกว่า 75 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อสั้นกว่า 40 มิลลิเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับ Toyota C-HR ซึ่งมีมิติตัวถังภายนอกยาว 4,360 มิลลิเมตร กว้าง 1,795 มิลลิเมตร สูง 1,565 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,640 มิลลิเมตร ก็จะพบว่า Kicks e-POWER สั้นกว่า C-HR 70 มิลลิเมตร แคบกว่า 35 มิลลิเมตร สูงกว่า 50 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อสั้นกว่า 25 มิลลิเมตร และสุดท้ายเมื่อเปรียบเทียบกับ Honda HR-V ซึ่งมีมิติตัวถังภายนอกยาว 4,294 มิลลิเมตร กว้าง 1,772 มิลลิเมตร สูง 1,605 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,610 มิลลิเมตร ก็จะพบว่า Kicks e-POWER สั้นกว่าเล็กน้อยเพียง 4 มิลลิเมตร แคบกว่า 12 มิลลิเมตร สูงกว่า 10 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาวกว่า 5 มิลลิเมตร
เมื่อเข้ามาที่ภายในโดยรวมแล้วดูดีลงตัว แต่ก็มีที่ขัดใจเล็กน้อยตรงเรื่องวัสดุที่ใช้ดูจะสู้คู่แข่งไม่คอยได้ ทำให้ภายในดูไม่หรูหราเหมือนคู่แข่งในเซ็กเม้นท์ และระดับราคาเดียวกัน โดยเฉพาะแผงประตูข้างที่ใช้เป็นพลาสติกขนาดใหญ่ผมมองว่าถ้าใช้ไปนานมันต้องเกิดคราบขาวด่างๆแน่นอน เบาะที่นั่งคู่หน้านั่งกระชับตัวดีแต่ไม่ปรับไฟฟ้าในขณะที่ของคู่แข่งฝั่งคนขับมีปรับไฟฟ้ามาให้ อีกจุดหนึ่งที่ดูไม่เป็นมิตรกับคนตัวสูงประมาณ 180 เซ็นติเมตรก็คือเบาะคนขับปรับลงได้น้อยขนาดปรับลงสุดแล้วยังขับไม่ถนัดเลย ถ้าปรับลงได้อีก 2 สเต็ปจะดีมากเลยครับ ส่วนอื่นๆให้มาแบบครบครันดีเยี่ยมมีหน้าจอ TFT Digital Meter ขนาด 7 นิ้ว บนมาตรวัด, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันทรง D-Shape, กุญแจรีโมทอัจฉริยะ Intelligent Key, ปุ่ม Push Start, กุญแจระบบ Immobilizer, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ, กระจกไฟฟ้ารอบคัน พร้อมระบบป้องกันการหนีบ Anti-jam Protection ด้านผู้ขับ, ที่วางแก้วตอนหน้า 2 ตำแหน่ง, ช่องวางขวดน้ำบริเวณแผงประตูหน้า-หลัง 4 ตำแหน่ง, กล่องเก็บของด้านหน้า, ไฟอ่านแผนที่ด้านหน้า, ไฟห้องสัมภาระด้านท้าย, ระบบปัดน้ำฝนด้านหน้าแบบตั้งเวลาหน่วง และระบบไล่ฝ้ากระจกหลังแบบตั้งเวลา
เอาละเรามาเริ่มขับกันดีกว่า ก่อนอื่นต้องบอกว่า NISSAN KICKS e-Power ไม่ใช่รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถ EV นะครับเพราะมันยังมีเครื่องยนต์อยู่เพียงแต่เครื่องยนต์มีหน้าที่เอาไว้ปั่นไฟเฉยๆไม่เกี่ยวกับการขับเคลื่อน เพราะการขับเคลื่อนใช้มอเตอร์ไฟฟ้าไปปั่นล้อเหมือน EV เพราะฉะนั้นมันคือรถยนต์ Hybrid ประเภทหนึ่งนั้นเอง แต่ขอดีของระบบ e-Power นั้นก็คือได้ฟิลลิ่งเหมือนขับรถยนต์ไฟฟ้าแต่ไม่ต้องกังวลเรื่องสถานีชาร์จไฟฟ้าที่บ้านเรายังไม่พร้อมนั้นเอง ซึ่งต้องบอกว่านิสสันตอบโจยท์ผู้บริโภคในไทยได้ดี เมื่อเปิดฝากระโปรงหน้าของรถใหม่ Nissan Kicks e-Power ขึ้นมา ก็จะพบกับเครื่องยนต์เบนซิน HR12 DE ขนาด 1.2 ลิตร ที่ใช้ในการปั่นไฟ รวมไปถึงเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator) อินเวอร์เตอร์ (Inverter) และมอเตอร์ไฟฟ้า EM57 AC3 Synchronous Motor ที่รีดกำลังให้รถ 129 แรงม้า แรงบิด 260 นิวตันเมตร ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 1.57 kWh ที่มี 4 โมดูล
เริ่มจากการใช้งานในเมืองก่อนเลยครับ บอกเลยว่าเจ๋งสุดแล้ว ขับขี่ในเมืองคล่องตัวมากครับ ลัดเลาะไปตามช่องว่างไปอย่างสบายหายห่วง แถมมี One-Pedal มาช่วยทำให้การขับขี่ในเมืองที่การจราจรหนาแน่นสบายขึ้นเยอะ โดยผมเลือกใช้ ECO mode ปรับการทำงาน ลดการใช้พลังงานที่สิ้นเปลืองลง ทำให้เครื่องยนต์และระบบมีการใช้เชื้อเพลิงและพลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมการทำงานของ One-Pedal ประหยัดและสบายจริงครับ
อ่อ หลายท่านถามว่าระบบ One-Pedal มันทำงานอย่างไร เอาง่ายๆ One-Pedal นั้น เป็นเทคโนโลยีที่ให้ผู้ขับขี่สามารถ เร่ง ลดความเร็ว และหยุดรถได้ เพียงการใช้แป้นคันเร่งอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งเมื่อขับขี่ในช่วงความเร็วต่ำแล้ว จะค่อนข้างรู้สึกได้อย่างชัดเจนเมื่อเราถอนคันเร่ง ตัวมอเตอร์จะทำการหน่วงจนรถค่อยๆ หยุดจนจอดสนิทได้ โดยที่เราไม่ต้องแตะเบรกใดๆ แรกๆอาจจะยังไม่ชินพอชินแล้วขับขี่ในเมืองสบายมากเลยครับ (อีกอย่างที่หลายท่านเข้าใจผิดคิดว่ารถมีแค่แป้นคันเร่งอย่างเดียว ไม่ใช่นะครับรถยังคงมีแป้นเบรกอยู่นะครับ One-Pedal เป็นตัวช่วยให้เราสบายขึ้นเฉยๆ)
หลุดออกมานอกเมืองมีทางยาวๆให้ได้ลองสมรรถนะ e-Power กันหน่อย ปรับโหมดอีกครั้งเป็น Normal mode อัตราเร่งกระชับกระเฉงมากขึ้น ออกตัวดีมาก ดีกว่าคู่แข่งที่เป็นเครื่องยนต์สันดาป และไฮบริด กดคันเร่งต่อเนื่องเร็วยังไหลลื่นขับสนุกจริงครับ พวกมาลัยแปรผันตามความเร็วแต่ผมก็รู้สึกว่ามันยังเบาเกินไป คงเป็นเพราะเซ็ทมาให้ขับขี่ในเมืองเป็นหลัก มาถึงทางขึ้น-ลงเขา แถมฝนตกหนักอีก ลองปรับโหมดการขับขี่อีกครั้งเป็นโหมด S (Smart) mode เพิ่มสมรรถนะในการขับเคลื่อนและตอบสนองอัตราเร่งให้ดียิ่งขึ้น บอกเลยว่าขึ้น-ลงเขาสบายหายห่วง ไม่มีปัญหา ลงเขามาเป็นเลนสวนต้องเร่งแซงรถช้าบางจังหวะต้องใช้การคลิ๊กดาวน์ช่วยก็เท่านั้น
เข้าสู่ตัวเมืองกาญจนบุรีเลยลอง EV mode ซะหน่อยสามารถใช้งานได้เมื่อมีแบตเตอรี่เพียงพอและรถอยู่ในโหมดการขับขี่ S หรือ ECO เท่านั้น ใช้ความเร็วประมาณ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง ปรากฎว่ามันวิ่งได้ประมาณ 3-4 กิโลเมตร จากนั้นเครื่องก็ทำงานเพื่อปั่นไฟเข้าแบตครับ
ระบบช่วงล่างด้านหน้าแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังทอร์ชันบีม คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง เอาอยู่ครับดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดีนุ่มนวลมากเมื่อขับในเมือง วิ่งด้วยความเร็วตรงยาวๆยังคงนิ่ง ขึ้นสะพานโดดเนินมีอาการย้วยโคลงเล็กน้อย เข้าโค้งด้วยความเร็วปกตินิ่งควบคุมง่าย แต่ถ้าความเร็วเลย 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้วเข้าโค้งตัวรถมีอาการโยน และโคลงให้ได้สัมผัส แต่จริงๆแล้วก็ไม่ควรขับเข้าโค้งเร็วขนาดนี้นะครับ ฮ่าฮ่า
ส่วนของระบบความปลอดภัยมากับ Nissan Intelligent Mobility จำนวน 14 ฟังก์ชั่น และเทคโนโลยีความปลอดภัยเซฟตี้ ชิลด์ (Safety Shield Technology) ดูเอาว่าเยอะและคุ้มขนาดไหนครับ
- วัน-เพดัล (One-Pedal) เทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะ ช่วยให้เรา สามารถ เร่ง ลดความเร็ว และหยุดรถเพียงการใช้แป้นคันเร่งเดียวเท่านั้น
- เทคโนโลยีควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ (Intelligent Cruise Control – ICC)
- เทคโนโลยีเตือนก่อนการชนด้านหน้าอัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning – IFCW)
- เทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking – IEB)
- เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning – BSW)
- เทคโนโลยีเตือนรถในทางสวนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert – RCTA)
- เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor – IAVM)
- เทคโนโลยีตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน (Moving Object Detection – MOD) ทำงานร่วมกับเทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor – IAVM)
- เทคโนโลยีกระจกมองหลังอัจฉริยะ (Intelligent Rear View Mirror – IRVM)
- เทคโนโลยีช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA)
- เทคโนโลยีควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ (Vehicle Dynamic Control – VDC)
- เทคโนโลยีช่วยลดอาการโยนตัวบนทางขรุขระ (Intelligent Ride Control – IRC)
- เทคโนโลยีช่วยควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง (Intelligent Trace Control – ITC)
- เทคโนโลยีช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Attention Alert -DAA)
และยังมี ABS, EBD และ BA ดิสก์เบรก 4 ล้อ เป็นระบบมาตรฐานในทุกรุ่นย่อย รวมไปถึงถุงลมนิรภัยคู่หน้าเป็นมาตรฐานทุกรุ่น พร้อมถุงลมนิรภัยด้านข้างและม่านนิรภัยเป็นอุปกรณ์เพิ่มเติมในแต่ละรุ่น พร้อมไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED
สรุปเอาง่ายๆ NISSAN KICKS e-Power ขับสนุกครับอยู่ไหนเกณฑ์ดี ระบบช่วงล่างนุ่มนวล ขับในเมืองสบายไม่ย้วย เพียงแต่เวลาเค้าโค้งด้วยความเร็วมันไม่คมแถมโคลง นั้นจึงทำให้มันสนุกไม่เท่า C-HR แต่นั่งด้านหลัง NISSAN KICKS e-Power จะรู้สึกสบายกว่า C-HR และ CX-30 ระบบต่างๆอัดมาให้แบบเต็มๆไม่มีกักสู้คู่แข่งสบายราคาพอรับได้แลกกับสมรรถนะ และเทคโนโลยี อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน 16 กิโลเมตร/ลิตร พอๆกับคู่แข่งที่เป็นไฮบริด ถ้าผมว่าน่าใช้หรือไม่ผมบอกเลยว่าน่าใช้ครับ ขับในเมืองดีและประหยัดมากครับคอนเฟริ์ม กับราคาเริ่มต้น 889,000 – 1,049,000 บาท
เรื่อง : ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th