ลากรถอย่างไรให้ปลอดภัย
รถเสียเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นกับใครๆ ก็ได้ และบ่อยครั้งที่รถเสียกลางทาง แล้วไม่สามารถซ่อม ณ จุดเกิดเหตุได้ดังนั้น การลากจูงเพื่อพาไปยังอู่ซ่อมจึงเป็นทางออกเดียวสำหรับเรื่องนี้
สำหรับคนที่มีนิยมความสบายด้วยการโทรเรียกผู้ให้บริการรถลากจูงแบบ Slide-on หรือการลากจูงแบบยกหน้า/ยกหลัง หรือ Tow-Dolly ก็หมดปัญหาไป เพราะทางผู้ให้บริการจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย แต่สำหรับคนที่ไม่มีเบอร์ หรืออาจจะไม่มีโทรศัพท์ งานนี้ก็คงต้องพึ่งความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมทาง หรือแท็กซี่
อุปกรณ์ที่ควรมีติดรถเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นรถเก่าหรือรถใหม่ป้ายแดงคือ สายลากจูงที่มีความทนทานสูง เพราะเราไม่รู้ว่าจะต้องเป็นฝ่ายลากหรือถูกลากเมื่อไร ดังนั้นควรมีติดรถเอาไว้ก่อนย่อมดีกว่า
การยึดสายลากควรยึดเข้ากับจุดที่กำหนดเอาไว้สำหรับลากของทั้ง 2 คัน เพื่อป้องกันความเสียหาย เพราะเป็นจุดที่มีความแข็งแรงที่สุดของตัวรถ
ส่วนการลาก ทิ้งระยะห่างระหว่างคันสัก 5 เมตร และควรใช้ความเร็วไม่สูงมาก ประมาณ 40-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพื่อความปลอดภัยในการลากจูง และในระหว่างการลากจูงควรรักษาระดับของเชือกให้ตึงเอาไว้ เพื่อป้องกันการกระชากจนขาด ส่วนการออกตัวก็ควรค่อยๆ ออกตัวจนกระทั่งสายลากตึง เพื่อไม่ให้เกิดการกระชากจนกระทั่งสายลากขาด
หากรถยนต์สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ แต่ไม่สามารถขับเคลื่อน ก็ควรสตาร์ทเอาไว้ และปลดเกียร์ให้อยู่ในตำแหน่ง N หรือเกียร์ว่าง เพื่อที่จะได้ใช้ระบบเบรกได้ตามปกติ แต่ในกรณีที่เครื่องยนต์ไม่สามารถได้ ก็ควรบิดกุญแจมาที่ตำแหน่ง On เพื่อป้องกันการล็อกของพวงมาลัย และใช้เบรกมือเข้าช่วยในการลดความเร็ว เพราะว่าเมื่อผ่านไปสักพัก แป้นเบรกปกติจะแข็งขึ้นมากจนไม่สามารถกดลงไปได้
สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การทำป้ายบอกเพื่อนร่วมทาง โดยแปะเอาไว้ที่ท้ายรถของคันที่ถูกลาก รวมถึงการนำผ้าหรือเชือกที่มีสีสันสะดุดตานำมาผูกเอาไว้ที่สายลากจูงเพื่อป้องกันไม่ให้มอเตอร์ไซค์มุดผ่านเข้ามา หรือเตือนให้คนเดินถนนทราบ เป็นการลดการเกิดอุบัติเหตุอันเนื่องมาจากการสะดุดสายลาก
หากต้องลากเป็นระยะทางไกลๆ เกิน 50 กิโลเมตร ควรหยุดพักเป็นระยะๆ เพื่อให้น้ำมันเกียร์และเฟืองท้ายได้ระบายความร้อน และเป็นการลดความเสียหายให้กับชิ้นส่วนเหล่านี้
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย กรังด์ปรีซ์ออนไลน์ GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th