ล่าแสงเหนือ การเดินทางอันแสนทรหด เหินฟ้ากับมาสด้า สู่ดินแดนไวกิ้ง
ชีวิตคือการเดินทาง ในเมื่อเราอยากรู้เราต้องออกไปค้นหาด้วยตัวเองจะมานอนดูรูปในอินเตอร์เน็ตอย่างเดียวมันคงไม่ดีแน่ เซงตายเลย!! ในเมื่อโลกใบนี้มันกว้างใหญ่และยังมีสิ่งที่ท้าทายรอให้เราไปพิสูจน์อยู่ข้างหน้า จะมัวนอนอยู่บ้านทำไม เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแล้วออกเดินทางสู้โลกกว้างกันดีกว่า
ทริปนี้เป็นอีกครั้งที่ผมได้มีโอกาสออกเดินทางไปผจนภัยกับ บริษัท มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย จำกัด โดยในทริปนี้มาสด้าจัดหนักอีกครั้งด้วยการพาสื่อมวลชนกว่า 50 ชีวิต มุ่งหน้าล่าแสงเหนือกันที่แสนติเนเวีย หลังจากทริปที่แล้วเราขับรถมาสด้าสกายแอคทีฟ ฝ่าพายุหิมะจนมาสุดที่ มอสโค ประเทศรัสเซีย ทริปนี้คือการสานต่อความฝันบนเส้นทางที่แสนงดงาม และพิสูนจ์ความแข่งแกร่งของรถยนต์มาสด้า สกายแอคทีฟ ว่าสามารถวิ่งได้ทุกสภาพอากาศ และทุกสภาพถนน โดยแบ่งสื่อมวลชนออกเป็น 2 กลุ่ม แน่นอนผมอยู่กลุ่มที่ 2 อยู่จนจบทริปคาราวานในครั้งนี้
และแล้วการเดินทางในวันแรกของผมก็มาถึง คณะของพวกเราใช้บริการของสายการบินไทย รักคุณเท่าฟ้า นี้ละ ผมบอกเลยว่าการนั่งชั้นประหยัด 11 ชั่วโมง มันไม่ค่อยน่าอภิรมย์เท่าไหร่นัก ดีหน่อยที่ครั้งนี้เครื่องไม่ดีเลย์ แถมที่นั่งตรงกลางว่างทำให้ไม่เบียดแน่นจนเกินไป มีที่เอาไว้ยืดขาได้นิดหน่อย ขึ้นเครื่องครั้งนี้ผมพร้อมนอนมากพูดเลย เพราะพกหมอนรองคอมาด้วยกะว่านอนเนียนๆยาวๆไปเลยจ้า เครื่องเทคออฟออกจากสุวรรณภูมิ เวลาประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ นอนซิครับรออะไร นอนไปได้ไม่นาน แอร์โฮเตลก็เปิดไฟสว่างทั้งลำ พร้อมกินอาหารอันแสนเย้ายวน ตื่นมากินซะเล็กน้อยก่อนนอนก่อนกลับไปนอนต่อ แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น หมอนรองคอนอนไปสบายดีครับแต่มันกลับมาปวดก้นแทน พระเจ้าผมก็ได้รู้วันนี้ละว่าการนั่งเครื่องเกิน 10 ชั่วโมงมันปวดก้นอย่างบอกไม่ถูก ขยับซ้ายก็แล้วขวาก็แล้ว ลุกเดินก็แล้ว มองเวลาโอ้โห ! เพิ่งผ่านไปแค่ 6 ชั่วโมงเอง เอาไงดีละทีนี่ ดีหน่อยที่การบินไทยมีหนังให้ดู มีหนังไทยด้วยผมเลยจัด ตำนานสมเด็จพระนเรศวรตั้งแต่ EP1 –EP6 รวดเลยยายไปครับคืนนี้นอนไม่หลับก็ไม่ต้องนอนมันละ เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ในที่สุดเสียงสวรรค์จากกับตันก็ดังขึ้น Cabin Crew Prepare For Landing ใช่ครับในที่สุด 11 ชั่วโมงอันแสนทรหดบนเครื่องก็จบลง
เราเดินมามาถึงเมือง Oslo เมืองหลวงของดินแดนไวกิ้ง นอร์เวย์ แล้วจ้า ดูเวลาที่นอร์เวย์ประมาณ 7 โมงเช้า ผมรีบเดินผ่าน ตม.ซึ่งถามอยู่นั้นละ ส่งสัยไม่ค่อยมีใครคุยด้วยคงเหงา ถามว่าจะไปไหน ไปทำอะไร ไปนอนที่ไหน ไปกี่วัน กลับวันไหน แหมม! ถ้าเยอะจริงแม่คุณ วีซ่าก็มีจะถามอะไรหนักหนา แต่ก็ปล่อยผมผ่านออกมาจนได้ แต่การเดินทางมันยังไม่จบซิครับ เพราะผมต้องเอากระเป๋าออกมาจากฝั่งอินเตอร์เนชั่นแนล ย้ายมาฝั่งในประเทศ แล้วรอเปลี่ยนเครื่องอีกประมาณ 3 ชั่วโมง เพื่อจะขึ้นเครื่องต่อไปยังเมือง Alta เวลา 11.30 น. (เวลานอร์เวย์นะครับซึ่งช้ากว่าบ้านเรา 5 ชั่วโมง ) และใช้เวลาเดินทางอีก 2 ชั่วโมงกว่า เราต้องรอนานทางมาสด้าเลยพาไปทานข่วเช้ากันก่อนกินกันประมาณ 25 คน คิดเงินมา 3 หมื่นบาท บ้าไปแล้ว! แพงมาก เพราะที่ทุกคนกินมันคือแซนวิส และสลัดผัก ค่าครองชีพแพงมากครับที่นี่
และแล้ว คณะคาราวานเปิดประสบการณ์สุดขอบฟ้ากับมาสด้า ก็เดินทางมาถึงเมือง Alta แต่เดี๋ยวก่อนยังไม่จบเพราะเมือง Alta ยังไม่ใช่จุดหมายในวันนี้เครื่องแตะพื้นเมือง Alta รอกระเป๋าออกมาคว้ากระเป๋าได้กระโดดขึ้นรถบัสนั่งต่อไปอีกเกือบ 300 กิโลเมตร เพื่อไปที่เมือง Honningswag เมืองเหนือสุดของประเทศนอร์เวย์ ถ้าจะไปต่อจากเมืองนี้ก็ขั้วโลกเหนือแล้ว นับว่าเมืองนี้เป็นแผ่นดินสุดท้ายของทางทิศเหนือ 300 กิโลเมตร ถ้าเป็นบ้านเราคงใช้เวลาไม่นาน แต่ที่นี่นอร์เวย์ จำกัดความเร็วจร้าวิ่งได้ไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อไหร่จะถึงละนี่ กินตุ้นไว้ก่อนดีกว่า ทางมาสด้าเค้าเลยบอกให้คนขับวนเข้าไปในเมือง Alta ว่ามีอะไรให้กินบ้างทั้งคาราวานสรุปกันว่าซื้อแฮมเบอร์เกอร์ไปกินบนรถ เข้าร้านไปซื้อมาได้เบอร์เกอร์มาคนละชิ้น ซึ่งมันออกเหี่ยวๆเล็กน้อย รู้มันว่ามันชิ้นกี่บาท เบอร์เกอร์ 1 ชิ้น 400 บาทไทยตายๆประเทศนี้ของแพงเอาเรื่องครับ
รถบัสวิ่งใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆก็เดินทางมาถึงที่โรงแรมในเมืองเล็กอันแสนน่ารัก ดูอบอุ่น แต่อากาศหนาวได้ใจ เมือง Honningswag เก็บของเตรียมออกไปกินข้าวเย็นซึ่งไม่ห่างจากโรงแรมเท่าไหร่นัก และวันนี้เราจะรับประทานอาหารเย็นรวมกันกับกลุ่นแรกซึ่งจะส่งต่อรถ CX-5 ทั้ง 10 ลำให้กลับกลุ่มที่ 2 พร้อมมีแผนที่จะขึ้นไปที่ North Cape เพื่อจะไปล่าตามหาแสงเหนือกัน คือผมต้องบอกเลยความหวังน้อยมากเพราะฝนตกฟ้าปิด ฝรั่งแถวนั้นยังบอกเลยว่าโอกาสเห็น 0 เปอร์เซ็น แต่คณะคาราวานมาสด้าของเราไม่ยอมแพ้แน่นอนยังไงก็จะขึ้นไป เมื่อทุกคนอิ่มเรียบร้อย คณะสื่อมวลชนทั้งกลุ่ม 1 และ 2 ก็นั่งรถบัสขึ้นไปที่ North Cape ประมาณ 30 กิโลเมตร ซึ่งก็มีฝนโปรยปลายตลอดทางที่ไป แต่ทุกคนก็ยังแอบมีความหวังว่าอาจจะเห็น เพราะท้องฟ้าเริ่มเปิด และแล้วโชคก็เข้าข้างเราครับ ตอนนั้นลมแรง หนาว และมืดมาก ผมเงยหน้ามองฟ้า เห็นแสงแปลกๆมัวๆ อยู่บนท้องฟ้า ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะไม่เคยเห็นคิดว่าเป็นเมฆ แต่มันก็เคลื่อนที่แปลก ถามเพื่อนข้างว่ามันใช่แสงเหนือหรือเปล่าถามเบาๆ เผื่อไม่ใช่จะได้ไม่อายมาก เพื่อนผมก็ไม่รู้มันเลยหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายดู เฮ้ย ! ใช่เลยมันเป็นแสงสีเขียวอยู่บนฟ้า สวยงามเกินคำบรรยายครับ ผมนี่ถึงกับยืนลืมความหนาวเลยครับ แถมแสงนี้ยังเคลื่อนที่ไปมาราวกับเต้นรำ มันแลก มันสวย เกินคำบรรยายครับ นั้นว่าคาราวานมาสด้าของเราโชคดีมากครับที่มาถึงเพียงวันแรกก็พบเห็น แสงเหนือเลย เพราะได้รู้มาว่าบางคนมาถึง 3-4 รอบ ไม่ยังไม่เคยเจอนับว่าการอดนอนเป็นเวลาเกือบ 24 ชั่วโมงนี่คุ้มค่ามากครับหายเหนื่อยเลย
แต่การเดินทางของมาสด้าคาราวานเปิดประสบการณ์สุดขอบฟ้ากับมาสด้ายังไม่จบ ผมและคณะคาราวานยังคงต้องออกเดินทางกันต่อในวันรุ่งขึ้น แล้วคอยติดตามกันครับว่าการเดินทางในครั้งนี้เสนทางที่เราไปจะงดงามขนาดไหน และจะเจออะไรระหว่างการเดินทาง คอยติดตามกันนะครับ
เรื่อง: ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th