วิเคราะห์จุดเด่น กะเทาะจุดด้อย All-New Subaru OUTBACK
สำหรับ All-New Subaru OUTBACK รุ่นใหม่นี้ ถือว่าอยู่ในใจของพ่อบ้านหลายคน แต่ด้วยราคาค่าตัวจากการนำเข้าทั้งคันจากญี่ปุ่น ทำให้มีราคาอยู่ที่ 2,799,000 บาท นั่นทำให้ใจหายอยู่พอสมควร แม้ว่าราคาจะถูกลงกว่ารุ่นเดิมที่นำเข้าทั้งคันเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้น OUTBACK รุ่นใหม่นี้กลับมียอดจองทะลุ 40 คัน การตอบรับดีอย่างไม่น่าเชื่อ และเริ่มทยอยส่งมอบรถคันแรกกันไปแล้วอีกด้วย เรื่องนี้ต้องยินดีกับทีมงานของ ทีซี ซูบารุ ประเทศไทย ที่สื่อสารได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย จัดแคมเปญสนับสนุนการขาย และทำยอดขายได้น่าชื่นชมขนาดนี้
สำหรับโมเดล OUTBACK มีการเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1995 เป็นรถที่ถูกพัฒนาขึ้นมาจากรถในตระกูล LEGACY ของซูบารุ ซึ่งถือว่า LEGACY เป็นรถที่รวบรวมเทคโนโลยีขั้นสูงเอาไว้มากที่สุดในยุคนั้น ต่อมาจึงพัฒนา OUTBACK ให้เป็นรถเอสยูวีแบบครอสโอเวอร์ที่สร้างขึ้นโดยไม่มีดีเอ็นเอของรถสไตล์สเตชั่นแวกอนเอาไว้เลยสักนิด และนั่นทำให้กลายเป็นโดนใจกลุ่มผู้ใช้งานทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่อง จนเกิดนิยามว่า “รถที่เป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเจ้าของ” ขึ้นมา และหนึ่งในใจความสำคัญนี้บ่งบอกไปถึงคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนของ OUTBACK ในการเป็นรถที่สร้างความสะดวกในการใช้งาน การขับขี่ในชีวิตประจำวัน และตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย โดยเฉพาะไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้รถที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และหลังจากที่ลองนำมาใช้งานอยู่ช่วงหนึ่งยอมรับว่ามีจุดเด่นที่พิเศษกว่าใคร แต่ก็มีจุดที่ด้อยกว่าคู่แข่งอยู่ด้วยเช่นกัน มาดูกันว่ามีเรื่องอะไรกันบ้าง
กล้อง Stereo Cameras ที่ขยายการมองเห็นมากกว่าเดิม 2 เท่า
ระบบต่างๆ ภายในรถที่สามารถปรับตั้งค่าได้เพียบ ต้องเรียนรู้กันเป็นวันๆ เลย
เวลาเปิดแผนที่ใช้งานถือว่าแจ่มมาก ภาพใหญ่ชัดเจน
มาที่จุดเด่นที่ชัดเจนมากๆ นั่นคือ เรื่องของระบบความปลอดภัยกับเทคโนโลยี EyeSight 4.0 ที่ก่อนหน้านี้เคยได้ลองขับ ซูบารุ Forester ในสิงคโปร์ที่ติดตั้ง EyeSight 4.0 เมื่อเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นต้องยอมรับว่าลองขับแล้วมั่นใจมากๆ เพราะป้องกันก่อนการเกิดเหตุได้มั่นใจเกือบ 100% ระบบทำงานประเมินผลและสั่งการได้อย่างรวดเร็ว ทั้งการเบรก (เบรกหนัก) ก่อนการชน เซนเซอร์ตรวจจับรถที่เข้ามาในรัศมีรอบคัน แม้กระทั่งสามารถเบรกให้รถหยุดนิ่งสนิทเมื่อถอยหลังแล้วเจอกับสิ่งกีดขวางหรือมีรถวิ่งสวนมาโดยที่สายตาของเรามองไม่เห็น ซึ่งในตอนนั้นเองในไทยยังไม่ได้มีรถที่ติดตั้ง EyeSight 4.0 ได้แต่เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะมาสักที และวันนี้ก็มาถึง แต่ไปอยู่ใน OUTBACK ซึ่งเชื่อว่าเร็วๆ นี้ น่าจะไปอยู่ใน Forester และ XV อย่างแน่นอน ตรงนี้จึงเป็นจุดเด่นที่อย่างนำมาพูดถึงมากที่สุด แถมยังถูกพัฒนาเพิ่มเติมให้กล้อง Stereo Cameras ขยายระยะการมองเห็นกว้างขึ้นอีก 2 เท่า ทำให้ตรวจจับวัตถุได้ละเอียดมากขึ้น
ขยายความกันอีกนิดว่า EyeSight 4.0 มีการทำงานด้านไหนกันบ้าง เริ่มจาก 6 ฟังก์ชั่นหลักของ EyeSight Driver Assist ที่ประกอบด้วย
- ระบบเบรคก่อนชน (Pre-Collision Braking) ระบบเตือนผู้ขับขี่ด้วยเสียงและไฟบนหน้าปัดรถ หากผู้ขับขี่ยังไม่ตอบสนองต่อคำเตือน ระบบจะใช้เบรกโดยอัตโนมัติเพื่อลดความรุนแรงของอุบัติเหตุ หรือเพื่อป้องกันการชนหากเป็นไปได้ แต่หากผู้ขับขี่ฟังคำเตือนและหลีกเลี่ยงการชน ระบบก็จะสามารถป้องกันไม่ให้เหตุร้ายเกิดขึ้นได้
- ระบบควบคุมความเร็วรถแบบปรับความเร็วอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) นอกเหนือจากการรักษาความเร็วของรถตามที่ผู้ขับขี่กำหนดไว้ ระบบ Adaptive Cruise Control ยังสามารถปรับความเร็วเพื่อรักษาระยะห่างที่เหมาะสมจากรถคันหน้า โดยอาศัยการตรวจจับระยะห่างและความแตกต่างของความเร็ว ระบบจะปรับเครื่องยนต์ เกียร์และเบรค เพื่อให้ความเร็วของรถสอดคล้องกับสภาพการจราจร
- ระบบถอนคันเร่งก่อนการชน (Pre-Collision Throttle Management) เมื่อเทคโนโลยี EyeSight Driver Assist ตรวจจับอุปสรรคที่อยู่ในเส้นทางของยานพาหนะ แต่ผู้ขับขี่ไม่หลีกเลี่ยง ระบบPre-Collision Throttle Management จะส่งเสียงเตือนสั้นๆ หลายครั้ง และจะเปิดไฟกระพริบ ก่อนที่จะตัดการทำงานของเครื่องยนต์ เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่หลีกเลี่ยงการชนด้านหน้า
- ระบบเตือนเมื่อออกจากเลน (Lane Departure Warning) เมื่อรถวิ่งด้วยความเร็ว 50 กม. ต่อชั่วโมงขึ้นไป และเริ่มเคลื่อนไปอยู่ที่ขอบเลน ระบบจะแจ้งเตือนผู้ขับขี่ก่อนที่จะออกจากเลน เมื่อรถจะออกจากเลน โดยที่ผู้ขับขี่ไม่ได้ส่งสัญญาณไฟแจ้ง
- ระบบเตือนเมื่อขับรถส่าย (Lane Sway Warning) ระบบเตือน Lane Sway จะช่วยเตือนผู้ขับขี่ด้วยเสียงเตือนและไฟกระพริบที่หน้าปัดเมื่อรถเริ่มขับส่ายไปมา โดยระบบจะทำงานที่ความเร็ว 60 กม. ต่อชั่วโมงขึ้นไป
- ระบบเตือนเมื่อการจราจรเคลื่อนที่ (Lead Vehicle Start Alert) เมื่อรถหยุด และ EyeSight Driver Assist ตรวจจับได้ว่าการจราจรเริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง ระบบ Lead Vehicle Start Alert จะเตือนด้วยเสียงและไฟกระพริบ ให้ผู้ขับขี่เตรียมพร้อมออกรถ
และยังมีระบบบังคับเลี้ยวฉุกเฉินอัตโนมัติ (Autonomous Emergency Steering) ที่ช่วยหลีกเลี่ยงการชน โดยรถจะทำการหลบหลีกอัตโนมัติไปยังพื้นที่ว่างด้านข้างภายในช่องทางเดิม ในกรณีที่ไม่สามารถเลี่ยงการชนด้วยระบบเบรกอัตโนมัติ
ระบบบังคับรถให้อยู่กิ่งกลางถนนและระบบบังคับพวงมาลัยตามรถด้านหน้า (Lane Centering Control / Preceeding Vehicle Adaptive Steering Control) ที่จะประสานการทำงานร่วมกับระบบ Adaptive Cruise Control ควบคุมพวงมาลัยให้รถอยู่กึ่งกลางเลนในขณะขับขี่ตามรถคันหน้า
ระบบป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบริเวณทางแยก (Pre-Collision Braking at Intersection) ด้วยมุมมองที่กว้างขึ้นของกล้อง Stereo Cameras ทำให้กล้องสามารถตรวจสอบยานพาหนะที่ขับสวนมาในเส้นทางตรงข้าม ระบบจะช่วยเลี่ยงการชนด้วยการเบรกอัตโนมัติ
ระบบบังคับพวงมาลัย (Lane Departure Prevention Function) เมื่อรถเริ่มเบี่ยงออกนอกเส้นถนน ระบบจะเตือนด้วยเสียงก่อนดึงพวงมาลัยบังคับให้รถกลับมาอยู่ในช่องทางโดยอัตโนมัติ
ระบบแสดงการแจ้งเตือนสถานะความปลอดภัยบนกระจกหน้า (EyeSight Assist Monitor) จะมีการแสดงสัญญาณด้วยไฟสีแดง เหลือง เขียว บนกระจกบังลมด้านหน้าให้ผู้ขับรู้ถึงสถานการณ์ทำงานของตัวรถขณะเดินทาง
โดยจากการทดลองขับ แน่นอนว่าเราจะไปลองให้ระบบการทำงานด้านความปลอดภัยแบบนี้ทำงานบ่อยไม่ได้ เพราะระบบจะรู้ว่ากำลังลองใช้ระบบนี้ ตัวอย่างเช่น ลองระบบเบรกอัตโนมัติเมื่อรถเข้าใกล้รถคันหน้า รถจะเบรกหนักแบบทำงานเต็มที่ แต่จะลองทำแบบนี้ได้สามครั้ง แล้วระบบจะตัดการทำงานเพราะรู้ว่ามีคนกำลังลองใช้งานระบบนี้อยู่ และระบบจะไม่กลับมาทำงานเหมือนเดิม ต้องทำการรีเซ็ตระบบใหม่อีกครั้ง จึงจะกลับมาทำงานได้ปกติ เพราะฉะนั้นไม่ควรลองใช้เองเป็นอันขาด แต่จากการใช้งานจริงบนการใช้งานในชีวิตประจำวัน ถือว่าระบบทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำ ทั้งการป้องกันรถออกนอกเลน การชะลอเบรก พวงมาลัยปรับหมุนตามเลน และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่กำลังขับรถออกปากซอย ในช่วงการตัดสินใจ 50:50 เพราะมีรถชะลอให้ แต่มีรถจักรยานยนต์ที่ขี่ขนาบข้างมายังไม่หยุด จังหวะนั้นเป็นการตัดสินใจว่าจะหยุดหรือจะไปต่อ แถมยังวัดใจอีกว่ารถจักรยานยนต์คันนั้นจะหยุดหรือไปต่อกันแน่ ซึ่งระยะห่างน่าจะอยู่ราวๆ ไม่เกิน 15 เมตร ในตอนนั้นรถทำการเบรกหยุดให้ทันที (เบรกหนักเบรกแรงจนตกใจเลย) และสรุปว่ารถจักรยานยนต์คันนั้นไม่หยุดจริงๆ ด้วย ซึ่งหากตัดสินใจออกรถไปก็อาจจะเกิดการเฉี่ยวชนได้เช่นกัน ถือว่าทำงานด้านความปลอดภัยได้ดีเยี่ยมเลย
การแจ้งเตือนต่างๆ ผ่านหน้าจอตรงนี้ มองเห็นได้ชัดเจนมาก
ไม่เพียงเท่านั้น การถอยรถออกจากช่องจอดหรือถอยออกจากบ้าน เรามักจะมองไม่เห็นรถที่วิ่งเข้ามา ด้วยการมองผ่านกล้องมองหลังบางทีไม่ชัดเจน กะระยะยาก แต่ระบบนี้ทำงานได้ดีมาก ช่วยหยุดรถได้เช่นกัน แม้ว่าจะมีคนกำลังเดินใกล้เข้ามารถจะจับได้ว่ามีวัตถุกำลังเข้าใกล้จะส่งเสียงเตือนและเบรกให้ทันทีด้วยเช่นกัน..EyeSight 4.0 นี้ข้าน้อยขอคารวะจริงๆ
เบาะคุณภาพดี มีที่พักแขนสำหรับเบาะหลังด้วยนะ จุดนี้หลายคนชอบ
เบาะหลังสามารถปรับระดับการเอนได้ และปรับพับได้หลายรูปแบบ
และนี้คือจุดเด่นหลักของ OUTBACK ที่นอกเหนือจากการออกแบบตัวถังที่สะดุดตา ห้องโดยสารที่กว้างขวาง เบาะนั่งนุ่มสบาย พื้นที่ห้องโดยสารที่ขยายใหญ่ขึ้น ปรับการใช้งานเบาะได้หลายแบบ และที่ต้องพูดถึงอีกจุดคือ หน้าจอ Center Information Display ขนาด 11.6 นิ้ว ที่ใช้สำหรับปรับการทำงานทุกอย่างภายในตัวรถด้วยการสัมผัสหน้าจอนี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะปรับการควบคุมระบบการขับเคลื่อน ระบบปรับอากาศ เครื่องเสียง ระบบเตือนต่างๆ ภายในรถ การปรับหน้าจอกล้องในมุมมองต่างๆ คือควบคุมระบบทุกอย่างภายในรถได้ที่หน้าจอตัวนี้นั่นเอง เทียบชั้นกับรถยุโรปแบรนด์ดังในราคาหลายล้านได้แบบสบายๆ และที่ชอบคือ แม้จะเป็นหน้าจอระบบสัมผัสขนาดใหญ่ตามเทรนด์ของรถยุคใหม่ แต่ยังมีปุ่มหมุนสำหรับปรับระดับเสียงและหมุนจูนคลื่นวิทยุมาให้ด้วย เพราะถ้าเป็นแบบสัมผัสทั้งหมดเชื่อว่าจะมีปัญหาในการใช้งานแน่นอน ญี่ปุ่นที่เค้าติดละเอียดดีจริงๆ
แม้จะเป็นหน้าจอแบบสัมผัส แต่มีปุ่มปรับหมุนแบบ Manual มาให้ด้วย จุดนี้ชอบใจ
ทีนี้มากันที่จุดด้อยกันบ้าง ซึ่งหากมองที่ตัวรถเพียงอย่างเดียวไม่อาจจะเป็นจุดด้อยได้ แต่ถ้าเทียบกับคู่แข่งแล้วถือว่าจุดนี้เสียเปรียบชัดเจน เพราะ OUTBACK ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตร ที่ถึงจะพัฒนาให้มีความประหยัดขึ้นกว่าเดิม มีพละกำลังมากขึ้น มีการตอบสนองของเครื่องยนต์และเกียร์ได้ดีขึ้นกว่าเดิม พร้อมด้วยอัตราทดเกียร์แบบ 8 สปีด เพื่อเพิ่มอัตราเร่งและประหยัดน้ำมัน แต่นั่นจะถูกไปเทียบกับรถในกลุ่มเดียวกันได้ง่าย เพราะคู่แข่งส่วนใหญ่จะมีขนาดเครื่องยนต์ที่เล็กลง และประหยัดน้ำมันมากกว่า โดยการใช้งานร่วม 200 กิโลเมตร มีอัตราเฉลี่ยอยู่ 10-12 กิโลเมตรต่อลิตร พละกำลังมันมาพร้อมกับการสิ้นเปลืองจริงๆ แต่มาคิดๆ ดูแล้ว ลูกค้าของรถรุ่นนี้คงไม่ซีเรียสกับอัตราสิ้นเปลืองหรอก น่าจะเน้นฟังก์ชั่นการใช้งานมากกว่า และมีใจรักซูบารุชัดเจน
ขุมพลัง 2.5 ลิตร 188 แรงม้า แรงบิด 245 นิวตันเมตร แรงแบบสุภาพ เป็นผู้ใหญ่ที่ร้ายลึกๆ
ในความคิดเห็นส่วนตัว ยอมรับว่าเป็นรถที่นำมาใช้งานแล้วไม่อยากส่งคืนที่สุดอีกคันหนึ่ง เพราะด้วยรูปแบบการใช้งาน และระบบความปลอดภัยที่ช่วยคุ้มครองชีวิตเราได้อย่างมั่นใจขนาดนี้ เรื่องของราคากลายเป็นที่รับได้ (ถ้างบประมาณมีพอ) แต่ถ้าประกอบไทยและมีราคาที่ถูกลงอีกเป็นล้านจะยิ่งน่าใช้กว่านี้อีก
เชื่อมต่อได้ทั้ง Apple Car Play และ Android Auto
ประตูท้ายบานใหญ่ที่ปรับระดับความสูงได้
ถึงจะเป็นระบบความบันเทิงยุคใหม่ แต่ยังซ่อนที่เล่นแผ่นซีดีเอาไว้ใต้ที่พักแขนอีกนะ คนชอบฟังเพลงกด like เลย
ขวัญใจพ่อบ้านตัวจริง
ส่วนเรื่องของการขับขี่ ซูบารุยังไงก็คือซูบารุ ระบบช่วงล่างนิ่งแน่นหนึบ แม้ว่ารถคันนี้จะให้ความนุ่มนวลค่อนข้างมาก แต่ยังให้ความนิ่งหนึบหนับ จะมีนิดนึงคือ ถ้าขับคนเดียวแล้วใช้ความเร็วสูง ตัวรถจะรู้สึกเบาในทันที และจะมีลดปะทะจากด้านหลังย้อนขึ้นมาทำให้ท้ายรถมีการส่ายนิดๆ แต่ถ้านั่งกันสองคน มีสัมภาระด้านท้ายถ่วงน้ำหนักไว้อีกหน่อย หรือมีผู้โดยสารตอนหลังอีก 2 คน จะทำให้ช่วงล่างเฉิดฉายได้มากขึ้นแบบเห็นได้ชัด แต่ถึงอย่างนั้น รถในสไตล์ครอบครัวแบบนี้ ใช้ความเร็วในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดเอาไว้ถือว่าใช้งานได้ดีมากเกินคาดเลยล่ะ เป็นความสุขในการขับรถที่ไม่ได้หาได้ง่ายๆ ติดอยู่ที่ว่าอัตราสิ้นเปลืองจะดุไปสักนิด ยิ่งถ้าขับด้วยโหมด S แล้วล่ะก็…..ความสนุกและเร้าใจต้องแลกมาด้วยอัตราสิ้นเปลืองที่ใจหายด้วยเหมือนกัน (หากเทียบกับคู่แข่ง) แต่ถ้าพูดแบบไม่เกรงใจค่าน้ำมันต้องบอกเลยว่า All-New Subaru OUTBACK คันนี้ มีจุดเด่นที่กลบจุดด้อยไปได้เยอะ..ถ้าคุณเป็นกลุ่มเป้าหมายตัวจริงของ ซูบารุ OUTBACK
เรื่อง/ภาพ : พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th