ส่องความล้ำ All-New BMW X5 จัดออปชั่น Off Road เอาใจขาลุย
BMW เผยโฉมเจเนอเรชั่นใหม่รถเอสยูวี X5 อย่างเป็นทางการ เพิ่มขนาดตัวถังใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเพื่อไม่ให้น้อยหน้า Mercedes-Benz GLE คู่แข่งสำคัญ พร้อมจัดเต็มเทคโนโลยี และอุปกรณ์ล้ำสมัย รวมทั้งชุดแต่ง Off Road Package สำหรับคนที่อยากขับลุยเส้นทางโหดๆ
ค่ายรถดังจากเมืองมิวนิค เชื่อมั่นว่าเจเนอเรชั่นที่ 4 ของ X5 จะเปิดตำนานความสำเร็จบทใหม่ให้กับรถกลุ่ม Sports Activity Vehicle (SAV) ที่มียอดขายสะสมมากกว่า 2.2 ล้านคันทั่วโลก ด้วยการปรับเปลี่ยนดีไซน์, เพิ่มความสะดวกสบาย, อารมณ์ความสปอร์ต, การยกระดับสมรรถนะการขับ และอุปกรณ์ที่ล้ำสมัย โดยจะเริ่มต้นจำหน่ายอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน 2018
ดีไซน์ และความสะดวกสบาย
หน้าตาของรถเท่าที่เห็น All-new BMW X5 ใช้ภาษาการออกแบบอย่างตรงไปตรงมา และเพิ่มความดุดันที่นับเป็นว่าเรื่องใหม่ของรถ BMW ในตระกูล X เส้นสายที่มีพลังเพิ่มความโดดเด่นให้กับตัวรถ โดยกระจังหน้า Kidney Grille อันเป็นเอกลักษณ์ถูกเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมดึงดูดทุกสายตา และการดีไซน์ไฟท้ายให้มีมิติ
All-new BMW X5 จะมีสัดส่วนความยาวตัวถัง 4,922 มม. เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อน 36 มม., ความกว้าง 2,044 มม. (+66 มม.), ความสูง 1,745 มม. (+19 มม.) และแน่นอนว่าระยะฐานล้อจะกว้างขึ้น 2,975 มม. (+42 มม.) สำหรับพื้นที่บรรทุกสัมภาระจะอยู่ที่ 645-1,860 ลิตร เบาะนั่งแถวที่สองเป็นระบบพับไฟฟ้า และเจ้าของรถสามารถเลือกติดตั้งเบาะนั่งแถวที่สามได้อีกด้วย รวมทั้งสามารถเลือกใส่ล้อไลท์อัลลอยด์ขนาด 22 นิ้ว (เป็นออปชั่นให้เลือก) เป็นครั้งแรกของ BMW เลยทีเดียว
ออปชั่นที่เสริมเข้ามาเพื่อสร้างความสะดวกสบายในห้องโดยสารจะเป็นเบาะนั่ง Multifunction ที่จะมีระบบนวดเพื่อความผ่อนคลาย, ระบบปรับอากาศแบบ 4 โซน, ที่วางแก้วพร้อมปรับอุณหภูมิความเย็น/ร้อน และไฮไลต์สำคัญกับหลังคากระจกที่เรียกว่า Panorama Glass Roof Sky Lounge ที่มีขนาดใหญ่กว่าที่ติดตั้งรถยนต์รุ่นอื่น 23 เปอร์เซ็นต์
เครื่องยนต์ และระบบขับเคลื่อน
เพื่อไม่ให้เสียเวลา BMW ส่งเครื่องยนต์ 4 แบบใช้งานร่วมกับเกียร์ Steptronic 8 จังหวะมาให้ลูกค้า X5 เลือกซื้อตามความชอบ เริ่มจากเครื่องยนต์เบนซินทวินเทอร์โบ 4.4 ลิตร 462 แรงม้า ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่จะติดตั้งในรุ่น X5 xDrive50i (ไม่มีขายในยุโรป) โดยอัตราเร่งจาก 0-100 กม. ใช้เวลา 4.7 วินาที และความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.
X5 xDrive40i จะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร 340 แรงม้า และแรงบิด 450 นิวตันเมตร ที่สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กม. ในเวลา 5.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 243 กม./ชม. มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ที่ 8.5-8.8 ลิตร/100 กม.
ขุมกำลังดีเซลตัวเริ่มต้น X5 xDrive30d จะเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ 3.0 ลิตร 265 แรงม้า แต่มีแรงบิดมหาศาลเหมือนเดิมที่ 620 นิวตันเมตร ทำให้ตัวท็อป BMW X5 M50d ที่เพิ่มเทอร์โบเป็น 4 ตัวลงในเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร จะมีความแรงระดับ 400 แรงม้า และแรงบิด 760 นิวตันเมตร ทะลุ 0-100 กม./ชม. ในเวลา 5.2 วินาที และความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.
อย่างไรก็ตามเครื่องยนต์ของ BMW X-5 ทุกแบบจะติดตั้งเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยไอเสียที่ล้ำสมัยที่สุดเป็นไปตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม EURO 6
ระบบขับเคลื่อน xDrive Intelligent All-wheel Drive พวกเขาเคลมว่ามีประสิทธิภาพในการควบคุมที่ดีกว่าเดิม เฟืองท้ายแบบ Differential Lock ช่วยเพิ่มสมรรถนะการเกาะถนน และส่งกำลังสู่ล้อแต่ละข้างในยามใช้งานจริงบนเส้นทางโหดๆ
All-new X5 มีการติดตั้งระบบควบคุมไฟฟ้า Dynamic Damper Control, ระบบควบคุมตัวถังใหม่ที่จะปรับระดับความสูงจากปกติเพิ่มขึ้นอีกราว 80 มม. พร้อมทั้งระบบควบคุมการขับ Active Steering, Adaptive M Suspension Professional พร้อมด้วยระบบ Active Roll Stabilisation
รวมทั้งเป็นรถตระกูล X รุ่นแรกที่มีให้เลือกแพ็กเกจพิเศษ Off-Road ที่จะเปลี่ยนช่วงล่างเป็นแบบถุงลม, แผ่นป้องกันรอยบริเวณกันชนหน้า-หลัง, การแสดงข้อมูลพิเศษบนหน้าจอ, การเลือกโหมดขับขี่ 4 รูปแบบเพียงแค่กดปุ่มทั้งระบบ BMW xDrive, DSC, ระบบเกียร์ และคันเร่งจะปรับการตอบสนองให้เหมาะกับพื้นถนนที่จะขับจริงทั้งทราย, หิน, ลูกรัง หรือหิมะ
เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย
นับเป็นครั้งแรกที่ BMW ติดตั้งหน้าจอแสดงผล Live Cockpit Professional ขนาด 12.3 นิ้ว เพื่อให้คนขับควบคุมระบบการทำงานของรถยนต์สะดวกมากยิ่งขึ้น และใช้งาน Head-Up Display รุ่นใหม่ล่าสุดที่จะฉายข้อมูลขึ้นสู่กระจกรถที่ขนาด 7×3.5 นิ้ว โดยจะสามารถแสดงกราฟฟิก 3 มิติได้เลยทีเดียว
ระบบช่วยเหลือการขับขี่ของ BMW X5 เรียกว่าใกล้เคียงอัตโนมัติเต็มทีด้วยการติดตั้ง Driving Assistant Professional จะช่วยควบคุมความเร็ว Active Cruise Control ควบคู่กับ Stop & Go, ระบบควบคุมพวงมาลัย และช่องจราจร Steering/Lane Control Assistant และระบบเตือนความปลอดภัยอื่นๆ ที่ติดตั้งในรถยนต์ระดับพรีเมียมถูกใส่มาครบ
แต่จะเป็นครั้งแรกของ BMW ในการติดตั้งระบบ Emergency Stop Assistant โดยจะสั่งหยุดรถอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉินพร้อมควบคุมพวงมาลัยเพื่อจอดข้างทาง เช่นเดียวกับระบบช่วยจอด Parking Assistant ที่ได้รับการพัฒนาให้มีความแม่นยำมากขึ้น
ระบบเครื่องเสียงคราวนี้ BMW เลือกใช้ Bowers & Wilkins Diamond Surround Sound System โดยคนนั่งเบาะหลังจะมีจอทัชสกรีน 10.2 นิวเพื่อใช้ควบคุมระบบความบันเทิงต่างๆ ระหว่างการเดินทางอีกด้วย
ในส่วนของออปชั่นเสริมพิเศษจะเป็นชุดไฟหน้า BMW Laserlight ทำงานร่วมกับระบบ Adaptive LED ที่จะฉายออกมาเป็นสัญลักษณ์รูปตัว X เหมือนในรถเอสยูวีรุ่นอื่นๆ ของพวกเขา
ในส่วนของบริการ BMW ConnectedDrive (เฉพาะบางประเทศ) ลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะของรถยนต์ผ่านแอพลิเคชั่นบนสมาร์ตโฟน รวมทั้งการใช้งานกุญแจดิจิตอล BMW Digital Key เพื่อให้คุณสามารถปลดล็อกสตาร์ทเครื่องยนต์จากสมาร์ตโฟน และการอัพเกรดซอฟต์แวร์ของรถยนต์ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: press.bmwgroup.com
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th