อดีต จน ถึงปัจจุบัน กับ 3 เจนเนอร์เรชั่น ของซูซูกิ สวิฟท์ ในไทย
ซูซูกิ สวิฟท์ (Suzuki Swift) เป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็ก ซึ่งผลิตโดย ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น เริ่มการผลิตในปี พ.ศ. 2543 โดยออกมาเพื่อทดแทน ซูซูกิ คัลตัส (Suzuki Cultus) หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ ซูซูกิ เซเลริโอ นั้นเอง และจริงๆแล้วซูซูกิ สวิฟท์ตอนนี้มีถึง 4 เจนเนอร์เรชั่นแล้ว แต่เข้ามาขายในไทย 3 เจนเนอร์เรชั่น เท่านั้น
ซูซูกิ สวิฟท์ รุ่นที่ 1
เริ่มผลิตเมื่อปี พ.ศ. 2543 โดยในขณะนั้นได้มีการผลิตร่วมกับซูซูกิ อิกนิส (Suzuki Ignis) โดยมีเครื่องยนต์ 1.3 และ 1.5 ลิตร และมีเกียร์ธรรมดา 5 สปีดและเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด แต่อย่างไรก็ตาม รุ่นนี้มีเฉพาะตัวถังแฮทช์แบค 3 และ 5 ประตู ยังไม่มีการผลิตรุ่นซีดาน 4 ประตู รุ่นนี้ไม่มีเข้ามาขายในประเทศไทยนะครับ ข้ามไป
ซูซูกิ สวิฟท์ รุ่นที่ 2
เริ่มการผลิตในปี พ.ศ. 2547 เป็นรุ่นแรกที่มีการผลิตรุ่นซีดาน 4 ประตู โดยบริษัท Maruti บริษัทร่วมทุนในอินเดีย แต่ยังไม่มีจำหน่ายรุ่นซีดานในประเทศไทย รุ่นนี้มีการประกอบในประเทศจีน ,ฮังการี ,อินเดีย ,อินโดนีเซีย ,ญี่ปุ่น ,มาเลเซียและปากีสถาน มีเกียร์ธรรมดา 5 สปีดและเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด เปิดตัวครั้งแรกในปี2004ที่paris motorshow โดยตอนแรกมีเครื่องยนต์ 2 ขนาดคือ1300 ซีซี 92แรงม้า (โดยเครื่องรุ่นนี้ไม่มีขายในไทย) และ1500 ซีซี 102แรงม้า รุ่นนี้คือรุ่นที่มีขายในไทย โดยตัวถังมี3ประตูและ5ประตูโดยในญี่ปุ่นมีเฉพาะรุ่น5ประตูส่วน3ประตูมีขายในเยอรมันคู่กับ5ประตู โดยตุลาคมปี2005ที่ญี่ปุ่นได้เปิดตัว swift sport เครื่อง1600 ซีซี 123แรงม้า แต่งสปอร์ตส่วนในไทยก็ได้เริ่มเปิดตัวโดยรุ่นที่ขายในไทยเป็นรุ่นเครื่อง1500 ซีซี โดย บริษัท ซูซูกิ ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ในงาน Motor Expo 2009 เน้นรูปลักษณ์ใหม่ ฉีกสไตล์แตกต่างจากเดิม พร้อมความน่าหลงใหล ด้วยดีไซน์ใหม่ แบบ “Cubical Design”
Suzuki Swift รุ่นจำหน่ายในไทย มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร รหัส M15A บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,500 ซีซี พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VVT กำลังสูงสุดที่ 100 แรงม้า ที่ 6000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 143 นิวตันเมตร (14.57 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้า เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ พร้อมเทคโนโลยี Variable Valve Timing (VVT) ให้กำลังและแรงบิดสูงทุกอัตราเร่ง ตอบสนองทุกการขับขี่ได้อย่างฉับไว อัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 11.7 วินาที รัศมีวงเลี้ยวแคบเพียง 4.7 เมตรเท่านั้น
ภายในห้องโดยสาร มีสไตล์เอกลักษณ์เฉพาะตัว พวงมาลัย 3 ก้านแบบสปอร์ต พร้อมสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงบริเวณพวงมาลัย ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบดิจิตอล ชุดอุปกรณ์เครื่องเสียง ประกอบด้วยวิทยุและเครื่องเล่นซีดี ออกแบบอย่างลงตัว ไร้รอยต่อ กลมกลืนกับดีไซน์ของตัวรถ และยังมีระบบ Keyless Start และระบบกรองอากาศ
เสริมความปลอดภัยด้วยคานกันกระแทกด้านข้าง ABS 4 ล้อ และระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ EBD พร้อมระบบช่วยเบรก ถุงลมนิรภัยคู่หน้า SRS และระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer ช่วยป้องกันการโจรกรรม
สวิฟท์ มีให้เลือก 2 รุ่นคือรุ่น GA เกียร์อัตโนมัติ ราคา 599,000 บาท และ รุ่น GL เกียร์อัตโนมัติ ราคา 649,000 บาท (มีถุงลมนิรภัยและABS)
ซูซูกิ สวิฟท์ รุ่นที่ 3
เริ่มการผลิตในปี พ.ศ. 2553 สำหรับตลาดยุโรป โดยมีการปรับปรุงในด้านการออกแบบ สมรรถนะ และความปลอดภัย รวมถึงมีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันและมลพิษต่ำในยุโรป สวิฟท์มีเครื่องยนต์ 1,250 ซีซี 94 แรงม้า เบนซิน และ 1,300 ซีซี 75 แรงม้า ดีเซล รุ่นเบนซินมีทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ
ในประเทศไทย บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศญี่ปุ่น) ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ของไทยในการผลิตรถยนต์ขนาดเล็กประหยัดพลังงาน (อีโคคาร์) ตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2550 โดยสร้างโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมเหมราช อีสเทอร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง ในชื่อ บริษัท ซูซูกิ ออโตโมบิล แมนูแฟคเตอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด) โดยเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 และเริ่มการผลิตพร้อมเปิดจำหน่ายซูซูกิ สวิฟท์ อีโคคาร์ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2555 โดยทางบริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ทำการเปิดตัวอีโคคาร์รุ่นแรก All New Suzuki Swift อย่างเป็นทางการในประเทศไทย พร้อมเริ่มจำหน่าย ที่ดีลเลอร์ ซูซูกิ ทุกแห่งทั่วประเทศ โดยมีให้เลือก 3 รุ่น คือ GA GL GLX และรุ่นพิเศษประจำปี Green Color , GLX Limited , RX , Sai และ RX-II ซูซูกิเจนเนอร์เรชั่นนี้สามารถสร้างยอดขายให้ซูซูกิ ประเทศไทยได้อย่างถล่มทลาย
การออกแบบภายนอกนั้น เน้นความคล่องตัว ด้านหน้าออกแบบในลักษณะ U-shape บ่งบอกถึงปราดเปรียว ไฟหน้าแนวตั้งขนาดใหญ่ และไฟท้าย เชื่อมรับกับ Shoulder Line โดยไฟหน้าของ Swift เป็นแบบมัลติรีเฟลกเตอร์ พร้อมชุดไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบฮาโลเจน (เฉพาะรุ่น GLX) ซุ้มล้อขนาดใหญ่ ลงตัวกับล้อหลากไซส์ โดยรุ่น GA และ GL มากับล้อกระทะขนาด 15 นิ้ว พร้อมฝาครอบดีไซน์พิเศษ ส่วนรุ่น GLX สวยงามลงตัวยิ่งขึ้นกับล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว รุ่น GLX มีกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว
ส่วนการตกแต่งภายใน เน้นตกแต่งสไตล์สปอร์ต ด้วยคอนโซลโทนดำตัดเงิน จอแสดงผลบริเวณมาตรวัดบอกข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ขับขี่ คันเกียร์และสวิทช์ต่าง ๆ ถูกจัดวางอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม พวงมาลัยหุ้มหนัง พร้อมสวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย (เฉพาะรุ่น GLX)
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว รหัส K12B ความจุ 1,242 ซีซี หัวฉีด MPI มาพร้อมระบบวาล์วแปรผัน ทั้งไอดีและไอเสีย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการการประหยัดน้ำมันในช่วงความเร็วต่ำ – กลาง และให้สมรรถนะการขับขี่ที่ดีในทุกช่วงความเร็ว เกียร์ CVT ใหม่ พร้อมกลไก Sub-transmission ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน 20 กม./ลิตร ต่อมาซูซูกิได้เริ่มทำตลาดสวิฟท์ในรุ่นเกียร์ธรรมดาในรุ่น GA และ GL
มีให้เลือก 3 รุ่นคือ GA ราคา 469,000 บาท GL ราคา 507,000 บาท GLX ราคา 559,000 บาท เพิ่มอีก 5,000 บาทในทุกเกรด จะได้สีขาว Snow White Pearl
ซูซูกิ สวิฟท์ รุ่นที่ 4
รุ่นนี้เป็นรุ่นล่าสุดของซูซูกิ สวิฟท์ ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลกที่ประเทศญี่ปุ่น และกำลังจะเปิดขายในประเทศไทย ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 นี้ เจ้าสวิฟท์ คันนี้เป็นเจเนอเรชั่นที่ 4 แต่ที่บ้านเราจะถือเป็นเจเนอเรชั่นที่ 3
รูปลักษณ์ภายนอกเสริมความสปอร์ตโฉบเฉี่ยวยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้า 6 เหลี่ยมที่ดีไซน์ดุดัน ไฟหน้าดีไซน์ใหม่แบบ LED ที่แสดงถึงความทันสมัยที่เหนือชั้น รวมไปถึงหลังคาที่ลาดลง ช่วยเอื้อต่อการรีดอากาศได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาบนบนแพลตฟอร์มรุ่นใหม่ล่าสุดที่มีชื่อว่า Heartect ซึ่งทำให้รถมีสมรรถนะที่ดีขึ้น และยังมีการออกแบบโครงสร้างใต้ตัวถังและมีการจัดวางส่วนประกอบใหม่ทั้งหมด ตัวถังใหม่มีน้ำหนักเบากว่าในรุ่นปัจจุบันถึง 41% แถมแข็งแรง และมีความปลอดภัยมากอีกด้วย โดยมีความยาวและความสูงที่ลดลง 10 มิลลิเมตร แต่ความยาวฐานล้อเพิ่มขึ้นไปอีก 20 มิลลิเมตร ทำให้พื้นที่ห้องโดยสารกว้างขึ้น และมีเนื้อที่บรรทุกสัมภาระเพิ่มขึ้นอีก 25% เมื่อเทียบกับรุ่นปัจจุบัน ที่เปิดประตูบานหลังถูกซ่อนไว้ในกรอบหน้าต่าง ส่วนเสา A-Pillar ยังคงตกแต่งด้วยสีดำเงาเช่นเดียวกับรุ่นที่แล้ว ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว
ภายในได้รับการออกแบบใหม่หมดเลยจร้า มีการติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ พร้อมรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto มีช่องแอร์คู่กลางแบบทรงกลม มีระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ ส่วนด้านความปลอดภัยของ ซูซูกิ สวิฟท์ ใหม่ นั้นจัดเต็มครับ ถุงลมนิรภัย 6 จุดเพื่อความปลอดภัย มีระบบ Adaptive Cruise Control มีระบบป้องกันการชนด้านหน้า มีระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน และระบบป้องกันการลื่นไหลอย่างTRC หรือ traction control ด้วยนะ
เครื่องยนต์ ในตลาดญี่ปุ่นมีให้เลือก 3 ขุมพลัง ได้แก่ เบนซิน 1.2 ลิตร DUALJET ให้กำลังสูงสุด 91 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 118 นิวตัน-เมตร และสามารถเลือกเวอร์ชั่นไมลด์ไฮบริดได้ ซึ่งมาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 3.1 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 50 นิวตัน-เมตร และเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.0 ลิตร กำลังสูงสุด 102 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตร
ส่วนเครื่องยนต์ที่จะใช้กับเจ้า สวิฟท์ ใหม่ ในประเทศไทยนั้นคาดว่าคงจะเป็นเครื่องยนต์ Dual JET เครื่องยนต์เบนซิน รหัส K12C 4 สูบ DOHC 1.2 ลิตร 1,242 ซีซี. ระบบหัวฉีดคู่ Dual Jet กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 73.0 x 74.2 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 12.5 : 1 กำลังสูงสุด 91 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 118 นิวตันเมตรที่ 4,400 รอบ/นาที จับคู่เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และ เกียร์อัตโนมัติ CVT อย่างแน่นอน Dual jet นี้การจ่ายน้ำมันจะเป็นระบบ 2 หัวฉีด ส่วนขนาดเครื่องยนต์ปริมาตรกระบอกสูบ ยังคงเท่าเดิม จุดเปลี่ยนแปลงหลักนอกจากการติดตั้งหัวฉีดขนาดเล็ก 2 หัว แทนวิธีการจ่ายน้ำมันดั้งเดิมแล้ว กำลังอัดในเครื่องยนต์ของ Suzuki Dualjet Engine ยังเพิ่มขึ้น จาก 11.0:1 มาเป็น 12.0:1 กำลังอัดที่เพิ่มขึ้นช่วยให้เกิดการเผาไหม้สมบูรณ์มากขึ้น จึงทำให้เครื่องยนต์ตัวใหม่นี้มีประสิทธิภาพมากกว่ารุ่นเดิมถึงร้อยละ 16 และยังมีอัตราประหยัดสูงสุดถึง 26.4 ก.ม./ลิตร
ส่วนเรื่องราคาคาดการณ์ว่าคงไม่น่าหนีไปจากรุ่นปัจจุบันเท่าไหร่นัก คาดคงปรับราคาเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อยเท่านั้น เพราะมารอบนี้จัดเต็มทั้งเครื่องใหม่ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่อัดเข้ามาอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะระบบโครงสร้าง Heartect เป็นการวางโครงสร้างด้วยโครงเหล็กที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างได้มากกว่าเดิม แถมเบากว่าเดิม ช่วงล่างก็เช่นเคยด้านหน้ามากับระบบ McPherson struts และ Coil springs ส่วนด้านหลังเป็นระบบ Coil springs และ Torsion bar รับรองช่วงล่างแน่นหนึบแน่นอน
เรื่อง : ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th