อาวดี้ คว้าถึง 5 รางวัล รถยอดเยี่ยมแห่งปี 2019
BEST MID-SIZE SEDAN UNDER 3,000 c.c.
Audi A7 Sportback
Thailand Car of The Year 2019 ปีนี้ แบรนด์ Audi ยังคงจัดส่งยนตรกรรมในสังกัดเข้าชิงชัยความเป็น “ที่สุด” อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง Audi A7 Sportback คือ แชมป์รายแรกที่คว้ารางวัล BEST MID-SIZE SEDAN UNDER 3,000 c.c. ไปครอบครอง ด้วยความประทับใจที่คณะกรรมการมีให้
เริ่มต้นด้วยความ “งดงาม” ของรูปลักษณ์ยนตรกรรม 4 ประตู ที่ปูพรมด้วยอารมณ์สปอร์ต จากการผสานสไตล์ของรถ “Coupe” อันลงตัวกับจุดเด่นต่างๆ โดยมีไฮไลต์อยู่บนแนวเส้นหลังคาลาดลงในด้านหลัง ซึ่งได้รับการติดตั้งหลังคา Panoramic Glass Roof ขนาดใหญ่ราว 60% ของพื้นที่หลังคา และ Audi A7 Sportback สามารถเลื่อนเปิด-ปิด ได้ด้วยระบบไฟฟ้า ทั้งยังมาพร้อมกับความล้ำาสมัยด้านเทคโนโลยี เช่น ไฟหน้าระบบ HD Matrix LED ซึ่งมากับเอฟเฟกต์ไฟทั้งในด้านหน้า และด้านหลัง (Light Staging) ตลอดจนการติดตั้งชุดไฟ Daytime แบบ LED มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานรับกับการบ่งบอกฐานะตัวท็อป ระดับ S line ด้วยชุดตกแต่งทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาร อาทิ เบาะนั่งคู่หน้าแบบ Sports หุ้มหนัง Valcona พร้อมสัญลักษณ์ S line และฟังก์ชันปรับไฟฟ้า พร้อมหน่วยบันทึกความจำตำแหน่งผู้ขับขี่ ที่เข้ากันกับพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน แบบสปอร์ตฐานตัด ตกแต่งด้วยหนัง Perforated พร้อมการประทับตรา สัญลักษณ์ S line เช่นกัน
ส่วนอีกหนึ่งจุดเด่นภายในห้องโดยสาร ก็คือ ออปชันที่อัดแน่น ตั้งแต่ เครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ ที่รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth/DVD/CD/MP3 และ USB, ระบบแสดงข้อมูลการขับขี่ บนกระจกบังลมหน้า, ระบบ MMI Navigation Plus with MMI Touch Response ที่แสดงผลบนหน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว ตามด้วยจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Virtual Cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว ไปจนถึงหน้าจอควบคุมมัลติฟังก์ชันแบบสัมผัส ขนาด 8.6 นิ้ว และสุดท้ายกับระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ ที่แยกอิสระได้ถึง 4 โซนด้วยกัน
สำหรับในส่วนของ “สมรรถนะ” จาก Audi A7 Sportback ที่มากับรหัส 55 TFSI ต่อท้ายชื่อนั้น บอกได้เลยว่า “เร้าใจ” กับพละกำลังที่มีให้ถึง 340 แรงม้า และแรงบิดระดับ 500 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่องยนต์ต่ำเพียง 1,370 รอบต่อนาที ถึง 4,500 รอบต่อนาที จากผลงานของเครื่องยนต์เบนซิน (MHEV) Mild Hybrid พิกัด 3.0 ลิตร แบบ V6 สูบ ที่มากับระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบ Direct Injection พ่วงระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จ
ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด S-Tronic สู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro อันเลื่องชื่อ ที่สื่อสารความเร้าใจอันชัดเจนด้วยตัวเลขอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 5.3 วินาที และความเร็วสูงสุด ซึ่ง
ถูกจำกัดเอาไว้ที่ 250 กม./ชม. โดยมีแรงสนับสนุนในการสร้างความมั่นใจด้วยชุดช่วงล่างแบบ Sports พร้อมด้วยความมันส์ในแบบที่คุณเลือกได้จากฟังก์ชัน Audi Drive Select ตลอดจนระบบเบรกสมรรถนะสูงในรูปแบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
โดยมีระบบความปลอดภัยมาตรฐานยนตรกรรมยุโรปที่ไว้วางใจได้ เช่น ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร พร้อมถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย, ระบบเตือนการคาดเข็มขัดนิรภัย ตลอดจนระบบเบรกมือไฟฟ้า และระบบล็อกเบรกขณะหยุดนิ่ง (Audi Hold Assist)
เสริมด้วยความมั่นใจในขณะขับขี่ จากระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System), ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Distribution), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR (Anti-Slip Regulation), ระบบควบคุมการทรงตัว ESC (Electronic Control System with Stabilization Function) และการติดตั้งเซ็นเซอร์ด้านหน้า ด้านหลัง และด้านข้าง สำหรับช่วยในการนำรถเข้าจอด ซึ่งทำงานควบคู่ไปกับกล้องแสดงภาพแบบรอบทิศทาง
เรียกได้ว่า “ครบเครื่อง” ตามมาตรฐานยนตรกรรมสายพันธ์ยุโรปขนาดนี้ คงไม่มีอะไรผิดพลาดที่ Audi A7 Sportback จะเป็นยนตรกรรมยอดเยี่ยมที่ดีที่สุดในสาขา เพื่อคว้ารางวัลไปครองแน่นอน
BEST LUXURY CAR UNDER 3,500 c.c.
Audi A8L Prestige
Audi A8L Prestige “ที่สุด” แห่งยนตรกรรมอันหรูหรา ซึ่งมาพร้อมการอัปเกรดเต็มขั้นสู่เจเนอเรชันล่าสุด ให้เต็มเปี่ยมด้วยความสมูบรณ์แบบ โดยมี “ออปชัน” และ “สมรรถนะ” เป็นประเด็นสำคัญ ที่ถูกจัดวางอย่างเหมาะสมลงบนตัวถังซีดานขนาดใหญ่ ด้วยความกว้างขนาด 1,945 มม. ความยาว 5,302 มม. ความสูง 1,485 มม. โดยมีดีไซน์ที่ขัดเกลาจาก Audi ให้มีส่วนผสมอย่างลงตัวระหว่าง “ความหรูหรา” และ “ความสปอร์ต” ตลอดจนการวางเอกลักษณ์ของแบรนด์อย่างเหมาะสม และรับการตกแต่งภายนอกด้วยวัสดุโครเมียมในรายละเอียดต่างๆ
รวมถึงการติดตั้งเทคโนโลยีสุดล้ำสมัยมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เช่น ชุดไฟหน้าแบบ HD Matrix LED ที่มาพร้อมชุดไฟ Daytime Running Light แบบ LED พร้อมการเพิ่มความปลอดภัยด้วยระบบระบบเปิด-ปิด ไฟหน้า และปรับไฟสูงอัตโนมัติ, กระจกมองหลัง พร้อมระบบตัดแสงอัตโนมัติ จนถึงกระจกมองข้างตัดแสง แบบปรับ-พับไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชันบันทึกตำแหน่ง และระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ก่อนส่งท้ายด้วยความหรูเต็มขั้นในด้านบนกับหลังคา Panoramic เปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า
ในขณะที่ภายในอันกว้างขวางนั้น อัดแน่นไปด้วยฟังก์ชันอำนวยความสะดวก อย่าง พวงมาลัยหุ้มหนัง พร้อมระบบมัลติฟังก์ชัน และแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shif, เบาะนั่งคู่หน้าหุ้มหนัง Valcona ปรับไฟฟ้า พร้อม
ระบบบันทึกตำแหน่งผู้ขับขี่, ระบบแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า, หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Virtual Cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว, ระบบ MMI Navigation Plus with MMI Touch Response พร้อมจอแสดงผลแบบสัมผัส ขนาด 10.1 นิ้ว
ด้านระบบความบันเทิงนั้น มันส์เต็มที่ไปกับเครื่องเสียงพรีเมียม Bang & Olufsen ระบบเสียง 3 มิติ มาพร้อมจอควบคุมมัลติฟังก์ชันแบบสัมผัส ขนาด 8.6 นิ้ว ที่สนองตอบการสั่งงานแบบ Haptic Feedback รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth และรองรับ DVD/CD/MP3 รวมถึงมีช่องเชื่อมต่อ USB มาให้ถึง 4 ตำแหน่ง ตลอดจนระบบ Audi Smartphone Interface
สำหรับเบาะนั่งด้านหลังเป็นแบบแยกอิสระ ที่มากับระบบระบายอากาศ และระบบนวด ตลอดจนไฟอ่านหนังสือแบบ Matrix LED และคอนโซลกลางแบบ First Class รองรับระบบความบันเทิงสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ด้วยจอแสดงผล 2 ตำแหน่ง ขนาด 10.1 นิ้ว ควบคุมได้ด้วยรีโมทคอนโทรลแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมจอแบบสัมผัสขนาด 5.7 นิ้ว ชนิดที่เรียกได้ว่าตอบโจทย์ได้ทุกความสบายได้เลยทีเดียว กับห้องโดยสารของ Audi A8L Prestige
และนอกจากความ “หรูหรา” และ“ความสะดวกสบาย” ของออปชันที่มีไว้เอาใจผู้โดยสารแล้ว Audi A8L Prestige ยังสามารถตอบสนองความเร้าใจของผู้ขับขี่ได้อย่างเต็มพิกัด ด้วยขุมพลังที่ซุกซ่อนอยู่ใต้ฝากระโปรงหน้า กับเครื่องยนต์เบนซิน MHEV Mild Hybrid แบบ V6 สูบ พิกัด 3.0 ลิตร ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct Injection เพิ่มพลังด้วยระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จ สร้างเรี่ยวแรงสูงสุดได้ที่ 340 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงถึง 500 นิวตันเมตร ตั้งแต่รอบต่ำเพียง 1,370 รอบต่อนาที ไปจนถึง 4,500 รอบต่อนาที
ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Tiptronic ที่มาพร้อมระบบเลือกโหมดการขับขี่ Audi Drive Select สู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro อันเลื่องชื่อในเรื่องของ “สมรรถนะ” การทรงตัว และการยึดเกาะถนนอันเหนียวแน่น โดยปรับเซตมาอย่างลงตัวกับความเฉียบคมของระบบพวงมาลัยแบบไฟฟ้า และระบบช่วงล่างแบบ Adaptive Air Suspension เพื่อรองรับความเร้าใจที่จะเกิดขึ้น เช่น อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 5.7 วินาที ตลอดจนความเร็วสูงสุดที่ทำได้ถึง 250 กม./ชม.
ส่วนสุดท้ายที่ต้องยอมรับ คือ ระบบความปลอดภัย ที่มากับสไตล์มาตรฐานยนตรกรรมระดับหรู อันประกอบไปด้วย ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง, ด้านข้างสำหรับผู้ขับขี่, ผู้โดยสารทั้งด้านหน้า และด้านหลัง, ม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง พร้อมระบบเตือนการคาดเข็มขัดนิรภัย
ไปจนถึงระบบความปลอดภัยที่สร้างความสะดวกสบายในขณะขับขี่ อย่าง เบรกมือไฟฟ้าและระบบล็อกเบรกขณะหยุดนิ่ง Audi Hold Assist, ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS-Anti-Lock Braking System, ระบบกระจายแรงเบรก EBD- Electronic Brake Distribution, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR- Anti-Slip Regulation, ระบบควบคุมการทรงตัว ESC และเซ็นเซอร์หน้า, หลัง และด้านข้าง ทำงานร่วมกับกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง เพื่อช่วยยกระดับความมั่นใจการในการจอดมากขึ้น
และทั้งหมดที่กล่าวมา คือ องค์ประกอบอันสมบูรณ์แบบ ที่ส่งให้ Audi A8L Prestige เป็นยนตรกรรมที่สร้างความประทับใจต่อคณะกรรมการ Thailand Car of The Year 2019 จนมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า รางวัล BEST LUXURY CAR UNDER 3,500 c.c. เหมาะสมกับผู้ใดที่สุดในปีนี้
BEST SUV UNDER 1,400 c.c. PETROL
Audi Q2 35 TFSI
ในขณะที่รถยนต์นั่งยังแสดงความ “ยอดเยี่ยม” ครองใจกรรมการด้วยการคว้าถ้วยรางวัลไปครองถึง 2 ใบ ด้านรถอเนกประสงค์ SUV ก็ไม่น้อยหน้า ด้วยการส่งน้องเล็กสุดในอนุกรม Q อย่าง Audi Q2 35 TFSI เข้าประกวด ด้วยฐานะยนตรกรรมอเนกประสงค์ขนาด Compact รุ่นเริ่มต้นจากค่าย Audi ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความ “คุ้มค่า” ภายใต้ขนาดตัวถังความยาว 4,191 มม. ความกว้าง 1,794 มม. และความสูง 1,508 มม. ซึ่งซุกซ่อน “สมรรถนะ” เกินตัวไว้ภายใน กับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ พิกัด 1.4 ลิตร ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ Direct Injection พร้อมระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จ
โดยให้พละกำลังสูงสุด 150 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด S Tronic ที่มากับระบบเลือกโหมดการขับขี่ Audi Drive Select สู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งสามารถสร้างความเร้าใจได้ไม่แพ้พี่ๆ ในค่าย ด้วยอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 8.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 212 กม./ชม. ทั้งยังติดตั้งเทคโนโลยี Cylinder on Demand (CoD) มาให้ ซึ่งระบบนี้จะทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของลูกสูบตามสภาวะการขับขี่โดยอัตโนมัติ เช่น จาก 4 สูบ เหลือ 2 สูบ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการประหยัดเชื้อเพลิง และการลดมลพิษให้ดียิ่งขึ้น
นอกเหนือไปจากจุดเด่นเรื่องเทคโนโลยีแล้ว “รูปลักษณ์” ยังมากด้วยแรงสะกดสายตา จากความหล่อเหลาของแบรนด์ Audi อันเป็นเอกลักษณ์ จากมุมมองด้านหน้าที่มากับชุดกระจังขนาดใหญ่ ประกบด้วยชุดไฟหน้าแบบ LED พร้อมระบบฉีดน้ำทำความสะอาดไฟหน้า Headlight Washer System, ชุดไฟ Daytime Running Light แบบ LED และไฟตัดหมอกหลัง ซึ่งยกความโดดเด่นในมุมมองด้านข้างด้วยล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ซึ่งแฝงด้วยตัวช่วยสำหรับอำนวยความสะดวกในการขับขี่ เช่น ระบบเปิด-ปิด ไฟหน้า และปัดน้ำฝนอัตโนมัติ, กระจกมองหลังพร้อมระบบตัดแสงอัตโนมัติ พร้อมกระจกมองข้างปรับ-พับไฟฟ้า ที่สามารถไล่ฝ้า และตัดแสงอัตโนมัติ
ส่วนภายในห้องโดยสาร มากับความสามารถของรถอเนกประสงค์เต็มขั้น เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ความต้องการ อาทิ หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ที่เป็นแบบสี, เบาะนั่งคู่หน้าแบบสปอร์ตหุ้มหนัง ลงตัวกับพวงมาลัย
แบบ 3 ก้าน พร้อมระบบมัลติฟังก์ชัน และระบบควบคุมความเร็ว (Programmable Speed Limiter) ในขณะที่ด้านหลังมากับเบาะผู้โดยสารที่สามารถปรับพับได้ พร้อมระบบ Comfort Key ที่ควบคุมการเปิด-ปิด ประตูบานท้ายได้ด้วยไฟฟ้า
สำหรับระบบความบันเทิงนั้น Audi Q2 35 TFSI จัดมาให้ไม่น้อยหน้ารุ่นใหญ่ ด้วยเครื่องเสียง Audi Sound System แสดงผลผ่านหน้าจอสีขนาด 7 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ความบันเทิง (Audi Music Interface) เช่น Bluetooth, ระบบ MMI Radio Plus ไปจนถึง CD, MP3, SD Card, AUX-IN และ USB รวมไปถึงหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ที่เป็น
แบบสีอีกด้วยเช่นกัน
และในส่วนที่เรียกว่า “ยอดเยี่ยม” ที่สุดของ Audi Q2 35 TFSI ก็คือ การเป็นรถอเนกประสงค์รุ่นเริ่มต้น แต่พกพาระบบความปลอดภัยมาแบบเทียบเท่ารุ่นใหญ่ ซึ่งประกอบไปด้วย ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร พร้อมด้วยถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง ทำงานร่วมกับระบบเตือนการคาดเข็มขัดนิรภัย
ทั้งยังรวมไปถึงความล้ำหน้าที่ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เช่น ระบบเบรกมือไฟฟ้า, ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS- Anti-Lock Braking System, ระบบกระจายแรงเบรก EBD- Electronic Brake Distribution, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR- Anti-Slip Regulation, ระบบควบคุมการทรงตัว ESC- Electronic Control System with Stabilization Function) และปิดท้ายด้วยเซ็นเซอร์ถอยหลัง
จนในที่สุด Audi Q2 35 TFSI น้องเล็กแห่งอนุกรม Q จาก Audi ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเหมาะสมที่สุดกับรางวัล BEST SUV UNDER 1,400 c.c. Petrol อย่างชัดเจน ด้วย “คุณสมบัติ” ด้านต่างๆ ที่กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญ และสร้างความโดนใจให้คณะกรรมการในปีนี้
BEST LUXURY SUV PETROL
Audi Q7 45 TFSI
Audi Q7 รถอเนกประสงค์พิกัดใหญ่สุด ณ เวลานี้จาก Audi Thailand นับเป็นยอดยนตรกรรมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในงาน Thailand Car of The Year 2019 ด้วยการกวาดรางวัลไปครอง ทั้งในรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซล โดย Audi Q7 45 TFSI สายแรงขุมพลังเบนซิน คือตัวแทนที่เหมาะสมที่สุดกับรางวัล BEST LUXURY SUV Petrol
ตั้งแต่คุณสมบัติของยนตรกรรมระดับ Luxury ที่หรูหรา บนมิติตัวถังความยาวขนาด 5,052 มม. ความกว้าง 1,968 มม. และความสูง 1,741 มม. ปูพรมด้วยงานดีไซน์อันเป็นลักษณ์จาก Audi ตั้งแต่มุมมองด้านหน้าที่มากับชุดกระจังสไตล์ “สวย ดุ” รับกับงานออกแบบสุดล้ำของชุดไฟหน้าแบบ LED พร้อมระบบฉีดน้ำทำความสะอาด Headlight Washer System และชุดไฟ Daytime Running Light แบบ LED ทำงานอัตโนมัติ พร้อมด้วยระบบหน่วงเวลาการปิดไฟหน้า ทั้งยังเพิ่มความ “สปอร์ต” ขึ้นไปอีกระดับ ด้วยการติดตั้งชุดตกแต่งภายนอกแบบ S line มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ในขณะที่ความสะดวกสบายนั้น บอกได้เลยว่า “หายห่วง” ด้วยฐานะของรุ่นท็อป ที่จัดของใส่มาให้อย่างแน่นหนา เริ่มต้นจาก จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบสี, เบาะนั่งหุ้มหนัง พร้อมระบบไฟฟ้า และฟังก์ชันบันทึกตำแหน่ง ที่ออกแบบอย่างลงตัวกับพวงมาลัยหุ้มหนังแบบมัลติฟังก์ชันแบบ 3 ก้านทรงสปอร์ต ซึ่งมากับแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control ตามด้วยความเย็นสบายจากระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติแบบ Deluxe แยกอิสระ 4 โซน
ด้านระบบความบันเทิงนั้น เพลิดเพลินไปกับระบบเครื่องเสียงพรีเมียมจาก Bose พร้อมระบบเสียง 3 มิติ ซึ่งแสดงผลผ่านหน้าจอสีขนาด 7 นิ้ว ที่รองรับ CD, MP3, SD Card, AUX-IN และ USB ตลอดจนรองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth และระบบ MMI Radio Plus
ส่วนสิ่งที่ทำให้คณะกรรมการ “ติดใจ” ในรถอเนกประสงค์สายหรูรุ่นนี้ก็คือ พละกำลังระดับ 333 แรงม้า และแรงบิดระดับ 440 นิวตันเมตร ที่ 2,900 รอบต่อนาที จนถึง 5,300 รอบต่อนาที ที่เกิดจากเครื่องยนต์เบนซิน
แบบ V6 สูบ พิกัด 3.0 ลิตร ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพด้วยระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct Injection และระบบวาล์วแปรผัน Audi Valvelift System
โดยมีเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Tiptronic รับหน้าที่ถ่ายทอดกำลังสู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro จนสามารถสร้างความเร้าใจในอัตราเร่งที่การันตีตัวเลขจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 6.1 วินาที พร้อมด้วยตัวเลขท็อปสปีดสูงสุดที่จัดให้ 250 กม./ชม. ซึ่งมีการเสริมความมันส์ในการขับขี่เพิ่มเติม ด้วยระบบช่วงล่างแบบ Adaptive Air Suspension และระบบสำหรับเลือกโหมดการขับขี่ Audi Drive Select
และองค์ประกอบสุดท้ายที่สมฐานะยนตรกรรมระดับเรือธง คือ เรื่องของระบบความปลอดภัยระดับสูงที่ถูกติดตั้งมาให้กับ Audi Q7 อันประกอบไปด้วย ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง, ด้านข้างสำหรับผู้ขับขี่, ผู้โดยสารทั้งด้านหน้า และด้านหลัง, ม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง ที่เสริมด้วยความมั่นใจจากระบบเตือนการคาดเข็มขัดนิรภัย
เช่นเดียวกับ ระบบป้องกัน Pre Sense แบบพื้นฐานที่เรียกว่า Audi Pre Sense Basic เช่น เบรกมือไฟฟ้า และระบบล็อกเบรกขณะหยดุนิ่ง Audi Hold Assist, ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS- Anti-Lock Braking System, ระบบกระจายแรงเบรก EBD- Electronic Brake Distribution, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR- Anti-Slip Regulation, ระบบควบคุมการทรงตัว ESC และเซ็นเซอร์หน้า, หลัง และด้านข้าง ทำงานร่วมกับกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง เพื่อช่วยให้การควบคุมรถอเนกประสงค์พิกัดใหญ่ เป็นเรื่องง่ายขึ้นในทุกสถานการณ์การขับขี่
ทั้งยังเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สร้างจุดเด่นเหนือกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน จนเป็นที่ยอมรับของคณะกรรมการ และเหมาะสมกับรางวัลที่ได้รับรถอเนกประสงค์สายหรูที่ “ยอด” ที่สุดในปีนี้ไปด้วยคุณสมบัติอันครบเครื่องแท้จริง
BEST RIDING QUALITY LUXURY SUV
Audi Q7 45 TDi
และอีกหนึ่งสายพันธ์ของ Audi Q7 ที่พกพา “สมรรถนะ” อันสุดมันส์มาเขย่าใจคณะกรรมการ จนคว้ารางวัลพิเศษ BEST RIDING QUALITY LUXURY SUV ไปครองด้วยคะแนนที่ “ขาดลอย” ก็คือ Audi Q7
45 TDi ยอดยนตรกรรมอเนกประสงค์ที่ “ครบเครื่อง” ด้วย “ออปชัน” เช่นเดียวกับพี่ใหญ่สุดในอนุกรม อย่าง Audi Q7 45 TFSI ซึ่งรวมถึงการนำเสนอความเร้าใจผ่านรูปลักษณ์ด้วยการติดตั้งชุดแต่งแบบ S line มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
แต่อรรถรสในการขับขี่นั้น “ดุเดือด” กว่า โดยเฉพาะผู้ชื่นชอบยนตรกรรมสายแรงบิด (Torque) ซึ่ง Audi Q7 45 TDi นั้น มากับขุมพลังดีเซลพิกัด 3.0 ลิตร แบบ V6 สูบ ที่เสริมสมรรถนะด้วยการติดตั้งระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct Injection และระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จ ที่ปั้นเรี่ยวแรงสูงสุดออกมาถึง 249 แรงม้า ที่ 2,910-4,500 รอบต่อนาที พร้อมด้วยแรงบิดสูงระดับ 600 นิวตันเมตร ภายในรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำเพียง 1,500-3,000 รอบต่อนาที
โดยสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 6.9 วินาที และความเร็วสูงสุดที่ 225 กม./ชม. ที่มีเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Tiptronic ที่มากับระบบเลือกโหมดการขับขี่ Audi Drive Select ทำหน้าที่
ถ่ายทอดสมรรถนะสู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro ที่มีความสามารถโดดเด่นในเรื่องของการยึดเกาะถนน ให้คณะกรรมการได้สัมผัสในทุก Station ของการทดสอบ ซึ่งรวมไปถึงความโดดเด่นในเรื่องของการควบคุมที่ตอบสนองได้อย่างเฉียบคม จากผลงานของระบบพวงมาลัยแบบเพาเวอร์ไฟฟ้า
ซึ่งทำให้ทุกอิริยาบถของการขับขี่เต็มไปด้วยความกระชับ คล่องตัว ตอบสนองได้เฉียบคม และฉับไว ด้วยส่วนสำคัญที่ประกอบกันทั้งแรงบิดสูงในรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำ สำหรับช่วยสร้างความกระฉับกระเฉง ซึ่งโชว์ความสามารถให้เห็นอย่างเด่นชัด ทั้งใน Handling Test และ Slalom Test ภายใต้การนำเสนออารมณ์การขับขี่สไตล์รถสปอร์ต บนเรือนร่างของรถอเนกประสงค์ SUV รวมถึงไปส่วนของความปลอดภัยที่สร้างความมั่นใจในการหยุดยั้งด้วยระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
พร้อมด้วยการเสริมความมั่นใจในทุกสไตล์การขับขี่ จากระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS- Anti-Lock Braking System, ระบบกระจายแรงเบรก EBD- Electronic Brake Distribution, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR- Anti-Slip Regulation, ระบบควบคุมการทรงตัว ESC-Electronic Stability Control
ฉะนั้น ในทุกสถานีการทดสอบของงาน Thailand Car of The Year 2019 จึงกลายเป็นเสมือน “สนามเด็กเล่น” ของ Audi Q7 45 TDi ที่สามารถใช้ศักยภาพได้อย่างเต็มพิกัด และสอบผ่านในทุกด่านทุกสอบได้อย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ เมื่อเทียบกับรถอเนกประสงค์ SUV ระดับหรูในสาขาเดียวกัน ซึ่งทำให้รางวัล BEST RIDING QUALITY LUXURY SUV ตกอยู่ในมือของ Audi Q7 45 TDi ไปอย่างง่ายดาย จากความ “เหมาะสม” ในทุกประการ อันเป็นสิ่งที่คณะกรรมการตัดสินมีความ “ตรงกัน”