อีซูซุ คว้า 8 รางวัล รถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี
HIGH-LIFT PICKUP UNDER 2,000 c.c.
ISUZU D-MAX Stealth
ISUZU D-MAX Stealth ความร้อนแรงครั้งใหม่ เพื่อสร้างความ “แตกต่าง” ที่ไม่เหมือนใคร ภายใต้ “สมรรถนะ” ที่ยังคงไว้วางใจ
จากพื้นฐานของ ISUZU D-MAX รุ่น Hi-Lander แบบ “ยกสูง” แบบ 4 ประตู และ 2 ประตู โดยมาพร้อมกับรายละเอียดที่ได้รับการปรุงแต่งขึ้นใหม่ ด้วยการติดตั้งออปชันชุดแต่ง Stealth Black Package สู่ภาพลักษณ์ที่ดุดันมากขึ้น เช่น การใช้ชุดกระจังหน้าใหม่ สี Stealth Black ผสานกับดีไซน์ที่ให้ความทรงพลัง และลงตัวกับชุดกันชนหน้า และชุดสเกิร์ตด้านหน้าสีเดียวกับตัวรถ ตามด้วยการวางเส้นสาย Stealth Line ที่มีการออกแบบให้รับกับชุดไฟหน้า และสเกิร์ตด้านหน้า พร้อมกรอบไฟตัดหมอกสีดำ ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว สีทูโทน ที่สร้างความสะดุดตาในด้านข้าง ก่อนปิดท้ายในด้านหลังกับชุดกันชนดีไซน์ใหม่ สี Stealth Black ต่อเนื่องกันที่ภายในห้องโดยสารที่มากับดีไซน์ใหม่สไตล์ทูโทน และยังคงความเป็น Stealth ในรายละเอียดกับชุดออปชัน Stealth Black Package และการประทับตราสัญลักษณ์ “Stealth” ที่แผงข้างประตู
และด้วยพื้นฐานของ ISUZU D-MAX Stealth ที่ต่อยอดมาจาก ISUZU D-MAX รุ่น Hi-Lander จึงทำให้ทางเลือกด้าน “สมรรถนะ” นั้น ตอบโจทย์ได้ครอบคลุม ด้วยขุมพลังซึ่งมีให้เลือก 2 สไตล์ เริ่มต้นจากพิกัด 1.9 ลิตร Ddi BLUE POWER ที่มากับระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct Injection เสริมความแรงด้วยระบบอัดอากาศ VGS เทอร์โบแปรผัน และอินเตอร์คูลเลอร์ ที่มีพละกำลังสูงสุด 150 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร โดยมีระบบส่งกำลังให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมระบบ Rev Tronic
ซึ่งหากต้องการสเต็ปความเร้าใจที่มากขึ้น ทางเลือกต่อมา คือ เครื่องยนต์พิกัด 3.0 ลิตร ดีเซล คอมมอนเรล ไดเร็คอินเจคชั่นพ่วงระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบแปรผัน VGS และอินเตอร์คูลเลอร์ ที่มากับกำลังสูงสุด 177 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดแบบต่อเนื่อง (High Flat-torque) ถึง 380 นิวตันเมตร ที่มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมโหมดการขับขี่แบบสปอร์ต Rev Tronic ให้เลือกเช่นกัน
โดยในรุ่นที่เป็นเกียร์ธรรมดานั้น จะมากับความชาญฉลาดด้วยระบบ Genius Sport Shift ที่ช่วยแจ้งเตือนให้เปลี่ยนเกียร์ในรอบ
และความเร็วที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันสูงสุด เพื่อให้กลายเป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติแห่งความ “คุ้มค่า” และนำพารางวัล Best High-Lift Pickup Under 2,000 c.c. มาสู่ ISUZU D-MAX Stealth ในปีนี้
PICKUP 4WD UNDER 3,200 c.c.
ISUZU D-MAX V-Cross Max 4×4
เป็นอีกหนึ่งปีแห่ง Thailand Car of The Year 2019 ที่ ISUZU D-MAX V-Cross Max 4×4 ได้แสดงความยอดเยี่ยมให้คณะกรรมการได้สัมผัส และตอกย้ำให้เห็นถึงความเหมาะสมกับรางวัล Best Pickup 4WD Under 3,200 c.c. อย่างที่สุด ตั้งแต่ “สไตล์” สปอร์ต ที่สื่อสารผ่านรูปลักษณ์ที่อัปเกรดจาก V-Cross สู่ความดุดันในเวอร์ชัน V-Cross Max
รวมถึงงาน “ดีไซน์” ของ ISUZU D-MAX V-Cross Max 4×4 ยังมาพร้อมกับการนำเสนอ “สมรรถนะ” ระดับ “ขีดสุดแห่งสปอร์ตออฟโรด” อันน่าประทับใจในคุณสมบัติเฉพาะตัวที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยี BLUE POWER ภายใต้พื้นฐานเครื่องยนต์พิกัด 3.0 ลิตร ดีเซลคอมมอนเรล ไดเร็คอินเจคชั่น พ่วงตัวช่วยอย่างระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบแปรผัน VGS และอินเตอร์คูลเลอร์ ที่สร้างพละกำลังสูงสุดให้ใช้ที่ 177 แรงม้า โดยมีแรงบิดสูงสุดแบบต่อเนื่อง (High Flat-torque) ถึง 380 นิวตันเมตร โดยมีชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมโหมดการขับขี่แบบสปอร์ต Rev Tronic ทำหน้าที่ถ่ายทอดเรี่ยวแรง
ในขณะที่ระบบขับเคลื่อนของ ISUZU D-MAX V-Cross Max 4×4 ยังเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่รองรับทุกความต้องการขับขี่ ด้วย 3 โหมดขับเคลื่อนหลัก ทั้งในแบบ 2 ล้อ ความเร็วสูง (2H) และสามารถเพิ่มความมั่นใจมากขึ้นอีกระดับกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ความเร็วสูง (4H) ที่ปรับเปลี่ยนได้อย่างง่ายดาย ด้วยปุ่มควบคุม Terrain Command บนความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม. และสำหรับ “สายลุย” โหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ ความเร็วต่ำ (4L) คือ อีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีด้วยการถ่ายทอดแรงบิดระดับสูงสุดออกมาให้ใช้ เพื่อการเปลี่ยนความท้าทายในอุปสรรคต่างๆ ให้กลายเป็น “เรื่องสนุก” เช่นเดียวกับที่คณะกรรมการได้สัมผัส จนมั่นใจที่จะมอบรางวัลในปีนี้ให้กับ ISUZU D-MAX V-Cross Max 4×4 ไปอีกครั้ง
PPV DIESEL 2WD UNDER 3,200 c.c.
ISUZU MU-X
ISUZU MU-X ยนตรกรรมอเนกประสงค์ที่ยังคงประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง นำเสนอ The Iconic รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ซึ่งเป็นเวอร์ชันพิเศษที่ “ตอกย้ำ” ความเป็นรถ 7 ที่นั่งอันสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง ภายใต้เอกสิทธิ์ในแบบฉบับ ISUZU ซึ่งเต็มไปด้วยความปราดเปรียว ทรงพลัง และหรูหรา
โดยรายละเอียดอันโดดเด่นของ ISUZU MU-X The Iconic นั้น เริ่มต้นจากโทนสี ซึ่งมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีขาวมุก เอเวอร์เรสต์
(Everest Pearl White) และสีดำ ออสเตรเลียนโคล (Australian Coal Black) และภายนอกที่เสริมความโดดเด่นให้กับรูปลักษณ์ ด้วยชุดกระจังหน้าแบบโครเมียม ประกบความล้ำสมัยของไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ Bi-LED ในขณะที่ด้านบนนั้นติดตั้งเสาอากาศแบบ Shark Fin พร้อมราวแร็คหลังคา
ในขณะที่ด้านล่างที่สะดุดตาจากล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ลวดลาย Iconic Cross เพื่อให้สอดรับกับชุดแต่ง Iconic Style รอบคัน ซึ่งมีการผสานความสปอร์ตในมุมมองจากด้านหลัง ที่มากับชุดสปอยเลอร์ และชุดไฟท้ายแบบ LED ในขณะที่ภายในห้องโดยสารนั้น มากับสีโทนเข้มแบบ Lava Black เพื่อเน้นอารมณ์สปอร์ต พร้อมออปชันแบบครบเครื่องในสไตล์ยนตรกรรมอเนกประสงค์ ISUZU MU-X
รวมถึงไปถึง “สมรรถนะ” ที่มีให้ 2 ทางเลือก ด้วยพิกัด 1.9 ลิตร Ddi BLUE POWER รุ่น RZ4E-TC ที่มากับระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct Injection เสริมความแรงด้วยระบบอัดอากาศ VGS เทอร์โบแปรผัน และอินเตอร์คูลเลอร์ ที่มีพละกำลังสูงสุด 150 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร
ตามด้วยรุ่นใหญ่สุด กับเครื่องยนต์พิกัด 3.0 ลิตร ดีเซล คอมมอนเรล ไดเร็คอินเจคชั่นรุ่น 4JJ1-TCX พ่วงระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบแปรผัน VGS และอินเตอร์คูลเลอร์ที่มากับกำลังสูงสุด 177 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดแบบต่อเนื่อง (High Flat-torque) ถึง 380 นิวตันเมตร และทั้ง 2 รุ่นจะมากับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมโหมดการขับขี่แบบสปอร์ต Rev Tronic
และทั้ง 2 รุ่นยังคงแสดงความยอดเยี่ยมได้ดี โดยเฉพาะในรุ่นพิกัดเครื่องยนต์ขนาด 3.0 ลิตร ที่มอบความเร้าใจให้ได้สัมผัสในทุกสถานีการทดสอบ สมกับมาตรฐานยนตรกรรมอเนกประสงค์ PPV ที่ชื่อ ISUZU MU-X อันเป็นสิ่งที่คณะกรรมการไว้วางใจ และเมื่อประกอบกับความสมบูรณ์แบบที่ถูกเติมเต็มในฐานะเวอร์ชันพิเศษ The Iconic… จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่รางวัลนี้จะถูกครอบครองไปด้วย ISUZU MU-X The Iconic จากความเหมาะสมในทุกประการเช่นกัน
FUEL ECONOMY PICKUP UNDER 2,500 c.c.
ISUZU D-MAX 1.9 Ddi BLUE POWER
ISUZU D-MAX 1.9 Ddi BLUE POWER คือ ยนตรกรรมปิกอัพที่ไม่เพียงแค่สร้างประวัติศาสตร์ในเมืองไทย ในฐานะของเครื่องยนต์ขนาดเล็กสุด และเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอีกหนึ่งจุดเด่นที่แบรนด์ ISUZU มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ก็คือ การประหยัดน้ำมัน ซึ่งด้วยเทคโนโลยี BLUE POWER นั้น สามารถยกระดับประสิทธิภาพในการประหยัดได้อย่างก้าวกระโดด ด้วยตัวเลขที่ดีขึ้นถึง 19% หรือตัวเลขที่ใกล้เคียง 20 กม./ลิตร เมื่ออ้างอิงจากข้อมูล ECO Sticker
ซึ่งนอกเหนือไปจากนี้ แบรนด์ ISUZU ยังสร้างบทพิสูจน์ขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อตอกย้ำประสิทธิภาพในเรื่องของ “การประหยัดน้ำมัน” เช่น ที่ผ่านมากับการจัดกิจกรรมทดสอบสุดหฤโหดที่ไม่มีใครกล้าทำมาก่อน ด้วยการวิ่งต่อเนื่อง ทั้งวัน! ทั้งคืน! โดยไม่ดับเครื่องยนต์ เป็นเวลากว่า 85 ชม. ท่ามกลางสภาพอากาศต่างๆ นานา ไม่ว่าจะพายุฝน ลมแรง อากาศหนาวขั้นติดลบ ทางเขาลาดชัน ดินถล่ม ตลอดจนการจราจรอันคับคั่งของเมืองใหญ่ ผ่าน 3 ประเทศ จากกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย มุ่งหน้าสู่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และไปสิ้นสุดที่เมืองอุรุมชี เขตปกครองตนเองซินเจียง (Xingjiang) สาธารณรัฐประชาชนจีน รวมระยะทาง 5,755 กม. โดยผู้ใช้รถอีซูซุตัวจริง 12 คน ที่จบลงพร้อมผลสรุปด้วยตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองสุดประทับใจ
ล่าสุด แบรนด์ ISUZU เปิดสมรภูมิการแข่งขันขับประหยัดอีกครั้ง ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าเดิม ด้วยการจัดงานในต่างแดนเป็นครั้งแรก!! เพื่อค้นหา “แชมป์ประหยัดน้ำมันอัจฉริยะ Isuzu Insight Fuel Economy Contest” โดยมี 6 ทีมขับเคี่ยวสุดมันส์ บนเส้นทาง ปีนัง–มะละกา เป็นระยะทาง 520.20 กม. ภายในเวลา 8 ชม. และขับขี่โดยเปิดแอร์ตลอดเส้นทาง ภายใต้การคุมเข้มของคณะกรรมการการแข่งขันจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และสื่อมวลชนที่ร่วมเป็นสักขีพยาน ก่อนจะจบลงด้วยผลการแข่งขันที่มีอัตราประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีที่สุดของรถทั้ง 6 คันอยู่ที่ 25.04 กม./ลิตร และสามารถทำคะแนนอีซูซุอินไซท์ได้ถึง 100 คะแนนเต็ม
ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นการพิสูจน์ความโดดเด่นในเรื่องของความประหยัดน้ำมัน ที่ทุกๆ คนสามารถนำมาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ไปพร้อมกับตอกย้ำความมั่นใจในประสิทธิภาพของ ISUZU D-MAX 1.9 Ddi BLUE POWER อย่างชัดเจนเลยทีเดียว
ECO-FRIENDLY PICKUP
ISUZU D-MAX 1.9 Ddi BLUE POWER
วิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของแบรนด์ ISUZU ที่ให้กำเนิด ISUZU D-MAX 1.9 Ddi BLUE POWER อันโดดเด่นด้วยเทคโนโลยี BLUE POWER นั้น ไม่เพียงแค่ให้ความประทับใจใน “สมรรถนะ” และ “การประหยัดน้ำมัน” เท่านั้น หากยังมีอีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญที่แบรนด์ ISUZU ให้ความสำคัญมาโดยตลอด ในเรื่องของ “Eco-Friendly” หรือ “การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”
โดยองประกอบของเทคโนโลยี BLUE POWER ที่มีผลส่งตรงสู่หัวข้อการพัฒนาในเรื่องของ “Eco-Friendly” ก็คือ หัวข้อ “Less CO2” ซึ่งได้รับการพัฒนาร่วมกัน เช่น หัวข้อ “Less Weight” ที่มีจุดประสงค์สำคัญในด้านการลดภาระต่างๆ ของตัวรถ ด้วยการทำให้น้ำหนักน้อยลงกว่าเดิม 20% ตามด้วยการพัฒนาให้มีแรงเสียดทานน้อยลง เพื่อลดการสูญเสียพลังงานจากการเผาไหม้ในหัวข้อ “Less Friction” และหัวข้อสุดท้าย “Less Maintenance” ซึ่งมีวัตถุประสงค์ด้านการบำรุงรักษาที่เอื้ออำนวยให้สามารถทำได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
นอกจากนี้ ระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงยังเป็นอีกส่วนสำคัญ อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนไปใช้ระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงใหม่แบบ Multi-Injection พร้อมด้วยการปรับปรุงโปรแกรมการฉีดจ่ายเชื้อเพลิง ที่ช่วยให้เกิดความแม่นยำและละเอียดมากขึ้น เพื่อให้เกิดการเผาไหม้ที่หมดจดสมบูรณ์แบบ ภายในห้องเผาไหม้ใหม่แบบ Clothoid Curve ซึ่งพัฒนาให้ท่อไอดีใหม่แบบ Free Flow สามารถเปิดอากาศไหลเข้าห้องเผาไหม้ได้ดีขึ้น และมีการหมุนวนของอากาศอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีการรับช่วงจากเทอร์โบแปรผัน VGS แบบ Zero Gap และอินเตอร์คูลเลอร์ขนาดใหญ่ เสริมประสิทธิภาพ
ทำให้ ISUZU D-MAX 1.9 Ddi BLUE POWER นั้น ปล่อยค่าคาร์บอนไดออกไซด์ได้ต่ำลงถึง 21% และเป็นตัวเลขที่ดีที่สุดในตลาดปิกอัพเมืองไทย จนปฏิเสธไม่ได้ถึงความเหมาะสมกับรางวัลอันทรงเกียรติในสาขา “ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในปีนี้
THE BEST LIFESTYLE PICKUP
ISUZU D-MAX X-Series
ในขณะที่ ISUZU MU-X รถอเนกประสงค์ PPV กลายเป็นกระแสยอดนิยม จนต้องปล่อยรุ่นพิเศษออกมาเอาใจสาวกชาวไทย ฝั่ง ISUZU D-MAX ที่มากับฐานะยนตรกรรมปิกอัพสำหรับการใช้งาน ก็สร้างกระแสความร้อนแรงเอาใจวัยรุ่นเช่นกัน กับ X-Series ที่ต่อยอดจากเวอร์ชันพื้นฐาน ภายใต้การขับขี่อันเปี่ยมศักยภาพจากเครื่องยนต์ 1.9 Ddi BLUE POWER
เริ่มจาก ISUZU D-MAX X-Series รุ่น Speed นั้น เร้าใจด้วยรูปลักษณ์ เช่น กระจังหน้าที่รับกับชุดแต่งสเกิร์ตรอบคัน และสติกเกอร์คาดหน้า-หลัง พร้อมสัญลักษณ์ “X” ตามด้วยการเติมรายละเอียด “สีแดง” ในส่วนของเส้น Red Line บริเวณไฟหน้า รวมถึงเส้น “Speed” สีแดงรอบคันที่ลงตัวกับสัญลักษณ์ “ISUZU” สีแดง ตามด้วยการสร้างความสะดุดตาด้วยชุดไฟหน้าแบบ Bi-LED ที่ปรับได้สูง-ต่ำ ถึง 4 ระดับ พร้อมด้วยชุดไฟ Multifunctional Daylight แบบ Built-in ที่สามารถเป็นได้ทั้งไฟ Daylight ในเวลากลางวัน และไฟหรี่ในเวลากลางคืน ขณะที่ด้านข้างนั้นเน้นความ “เข้ม” ด้วยเสาข้างประตูสีดำ Blackout Film ในรุ่น Cab 4 รับกับล้ออัลลอยสีเทาดำ ขนาด 16 นิ้ว
ด้านภายใน มากับแนวทางสปอร์ตเต็มขั้น ภายใต้แนวทางเดียวกับภายนอก ซึ่งประกอบด้วย การตกแต่งแบบ Piano Black Style โดยใช้วัสดุผิวสัมผัสแบบ Soft Touch เดินด้ายสีแดง รับกับชุดตกแต่งสีแดงลาย Honeycomb บริเวณแผงประตู และคอนโซลหน้า ตามด้วยการประทับตราสัญลักษณ์ “X-Series” ตามมาด้วยในส่วนของเบาะนั่งที่เร้าอารมณ์ด้วยสีดำแดงลวดลาย Honeycomb พร้อมสัญลักษณ์ “X” ตลอดจนออปชันอำนวยความสะดวกที่ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานอย่างครบเครื่อง
ส่วนอีกหนึ่งความโดดเด่นนั้น ถูกสร้างขึ้นจากสายพันธุ์ “ยกสูง” รุ่น Hi-Lander ซึ่งผสมผสานความบึกบึน และความสปอร์ตอย่างลงตัว ด้วยชุดกระจังหน้าสไตล์สปอร์ต ที่รับกับสเกิร์ตหน้าดีไซน์หล่อเหลา และชุดกันชนหน้าที่แสดงความโดดเด่นด้วยโทนสีเทาดำ Garnish ที่ตัดกับเส้น Red Line สีแดง ยาวต่อเนื่องไปจนถึงชุดไฟหน้า ตามด้วยการคาดสติกเกอร์ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ก่อนปิดท้ายด้วยการเปลี่ยนไปใช้โลโก้ “ISUZU” สีแดง ทั้งยังมีรายละเอียดที่ช่วยเพิ่มความ “เข้ม” ให้กับตัวรถแบบเดียวกับ ISUZU D-MAX X-Series รุ่น Speed แต่เพิ่มความต่างด้วย ชุดไฟตัดหมอกในกรอบสีเทาดำ, สปอร์ตบาร์ด้านหลังแบบสีทูโทน, บันไดข้างแบบชิ้นเดียวตกแต่งขอบด้วยสีเงิน และการจัดล้อขนาด 18 นิ้ว มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สำหรับรุ่น 4 ประตู ที่รวมถึงการนำเสนอชุดกันชนท้ายดีไซน์ใหม่อีกด้วย
ในขณะที่ห้องโดยสารยังคงเต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์สปอร์ต เช่น การตกแต่งแบบ Piano Black Style ที่มากับวัสดุผิวสัมผัสแบบ Soft Touch เดินด้ายสีแดง อันลงตัวกับวัสดุโครเมียมบริเวณช่องแอร์ และมือจับเปิดประตู ตลอดจนสัญลักษณ์ X บนคอนโซลหน้า และแผงประตู ไปจนถึงงานดีไซน์เบาะนั่งแบบ Double Layer เดินด้ายแดง พร้อมประทับตรา X-Series
และด้วยการปรุงแต่งเอกลักษณ์ของ X-Series ทั้ง 2 รุ่น คือ สิ่งที่ช่วยยกระดับ “ดีไซน์” ให้โดดเด่น และแตกต่าง เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เฉพาะตัวของผู้บริโภค จนสามารถครอบครองรางวัล The Best Lifestyle Pickup ไปครอบครองในปีนี้
THE MOST POPULAR PICKUP
ISUZU D-MAX 1.9 Ddi BLUE POWER
สำหรับในแวดวงยานยนต์เมืองไทย หากถามว่าแบรนด์ไหน คือผู้สร้างกระแสความร้อนแรงอย่างล้นหลามทุกครั้ง เมื่อมีการเปิดตัวยนตรกรรมรุ่นใหม่มากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ละก็…หนึ่งในนั้นต้องมีแบรนด์ ISUZU อย่างแน่นอน แม้จะมี Product Line up สำหรับทำตลาดในเมืองไทย เพียงแค่รถปิกอัพและรถอเนกประสงค์ PPV ก็ตาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมกับความล้ำสมัยจากเทคโนโลยี BLUE POWER ที่ก่อเกิดปรากฏการณ์ BLUE POWER FEVER ทั่วเมืองไทย ภายใต้ความแตกต่างในเรื่องของพิกัดเครื่องยนต์ที่ลดขนาดลงเหลือเพียง 1.9 ลิตร แต่กลับมีประสิทธิภาพสูงเทียบเท่ากับเครื่องยนต์พิกัดใหญ่ในท้องตลาด ทั้งจากระดับแรงม้าที่เพิ่มขึ้น 10% แรงบิดเพิ่มขึ้น 9% ที่ส่งผลให้มีอัตราเร่งดีขึ้นกว่าเดิมถึง 8% แต่กลับมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีกว่าเดิมถึง 19%
นอกเหนือจากเครื่องยนต์ขนาด 1.9 ลิตรแล้ว เทคโนโลยี BLUE POWER ยังถูกถ่ายทอดไปยังขุมพลังพิกัด 3.0 ลิตร อีกด้วยเช่นกัน เพื่อยกระดับ “สมรรถนะ” ในการขับขี่ และการ “ประหยัดน้ำมัน” ให้กับทั้งปิกอัพยอดนิยมอย่าง ISUZU D-MAX ที่ส่งผลรวมไปถึงรถอเนกประสงค์ PPV อย่าง ISUZU MU-X ด้วยเช่นกัน
และนอกจากความยอดเยี่ยมในเรื่องของยนตรกรรมแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้แบรนด์ ISUZU ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความไว้วางใจ และยังคงครองความเป็นยนตรกรรมขวัญใจมหาชนโดยตลอด ก็คือ “การบริการที่น่าประทับใจ” อันเป็นสะพานเชื่อมให้ผู้บริโภคชาวไทยได้ใกล้ชิดกับความเป็นแบรนด์ ISUZU
ซึ่งด้วยองค์ประกอบทั้งหมด ตลอดระยะเวลาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาเป็นเวลามากกว่า 60 ปี ได้กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ต้นทุน” สำคัญ ที่ทำให้แบรนด์ ISUZU อยู่เคียงคู่กับคนไทยมานับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และมอบการตอบรับด้วยกระแสร้อนแรงทุกครั้งในการเปิดตัวยนตรกรรมใหม่ ชนิดที่เรียกว่า “เหมาะสมที่สุด” แล้วกับการที่ได้รับรางวัล The Most Popular Pickup ไปอีกครั้งในปีนี้
THE BEST CSR PROJECT OF THE YEAR
ISUZU GIVES WATER…FOR LIFE PROJECT
อีกหนึ่งรางวัลสำหรับงาน Thailand Car of The Year 2019 ของแบรนด์ ISUZU ปีนี้ คือ รางวัล The Best CSR Project of the Year กับโครงการ “อีซูซุให้น้ำ…เพื่อชีวิต” ที่ตกเป็นของ กลุ่มอีซูซุในประเทศไทย ไปอีกครั้ง โดยปีนี้นับเป็นการดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 6 และล่าสุด โครงการ “อีซูซุให้น้ำ…เพื่อชีวิต” นี้ได้จัดสร้างไปแล้วกว่า 32 โรงเรียน ซึ่งโรงเรียนล่าสุดที่ได้รับมอบ คือ โรงเรียนบ้านเนินกรวด อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ประสบภาวะขาดแคลนน้ำสะอาด สำหรับอุปโภคและบริโภค จนก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขอนามัยแก่นักเรียนระดับชั้นอนุบาล 1-ประถมศึกษาปีที่ 6 ครูและบุคลากรของโรงเรียน รวม 132 คน
“อีซูซุให้น้ำ…เพื่อชีวิต” คือโครงการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือโรงเรียนในจังหวัดต่างๆ ที่ประสบปัญหาเรื่องน้ำสะอาด ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนน้ำ หรือการมีน้ำที่ปนเปื้อนสาร โดยทางโครงการจะทำการจัดสร้างระบบน้ำดื่มสะอาดแบบครบวงจร ให้กับโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ ทั้งจากการสนับสนุนกำลังทรัพย์ และการส่งทีมสนับสนุนลงพื้นที่ร่วมสำรวจ พร้อมเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เพื่อวางแผนติดตั้งชุดอุปกรณ์ขุดเจาะน้ำบาดาล และจัดสร้างอาคารผลิตน้ำดื่ม พร้อมทั้งดำเนินการปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์โดยรอบเพื่อให้ถูกสุขลักษณะ
และแบรนด์ ISUZU เองก็มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ที่จะทำโครงการต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ตามปณิธานที่ว่า “อีซูซุจะดำเนินโครงการนี้จนกว่าจะไม่มีโรงเรียนในประเทศไทยประสบปัญหาน้ำดื่มสะอาดอีกต่อไป” ซึ่งด้วยความตั้งใจนี้ ส่งผลให้ที่ผ่านมา ISUZU ได้รับรางวัลน่าภาคภูมิใจมากมาย เช่น รางวัลระดับนานาชาติ “ผู้ประกอบธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคมดีเด่นแห่งเอเชีย 2014” (Asia Responsible Entrepreneurship Awards 2014) สาขาการส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion) เมื่อปี 2557 ณ ประเทศสิงคโปร์
รางวัล “The Great Awards” สาขา “ภาพยนตร์โฆษณาที่สุดแห่งปี” ในงาน “Daradaily the Great Awards ครั้งที่ 4” โดยภาพยนตร์โฆษณาของโครงการ “อีซูซุ…ให้น้ำเพื่อชีวิต” ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดจากประชาชนชาวไทยทั่วประเทศ
รางวัล “โครงการเพื่อสังคมยอดเยี่ยมแห่งปี 2559” จากงานประกาศรางวัล “Thailand Top Company Awards 2016” ที่จัดโดยนิตยสาร Business+ รวมถึงรางวัล The Best CSR Project of The Year จากงาน Thailand Car of The Year ที่ได้รับอย่างต่อเนื่อง ด้วยความตั้งใจของคณะกรรมการมาตั้งแต่ปี 2015 จนมาถึงปัจจุบัน ในปี 2019 อีกด้วย
เรื่อง: กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th