ครั้งแรกบนเส้นทางออฟโรด พิชิตผาตัด อ.เขาค้อ กับ “เชฟโรเลต โคโลราโด”
ใช่แล้ว!! ที่บอกว่าเป็น “ครั้งแรก” นั้นไม่ผิดเพี้ยนแต่ประการใด จากที่ผ่านมาอาจจะคุ้นเคยกับการทดลองขับบนเส้นทางต่างๆ ไปกับ เชฟโรเลต โคโลราโด (Chevrolet Colorado) อยู่บ่อยๆ ในช่วงหลายปีมานี้ แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่จะได้ขับไปบนเส้นทางออฟโรดจริงๆ สักครั้ง และสำหรับครั้งแรกนี้ต้องพูดแบบเต็มปากเลยว่าเจ้าโคโรลาโด กระบะอเมริกันพันธุ์แกร่งที่สานต่อตำนานมาตลอด 100 ปี มันใช้งานได้อย่างน่าประทับใจ ทั้งที่เป็นรถเดิมๆ จากโรงงานอีกด้วย
ต้องบอกว่ารู้สึกก่อนว่า ที่ผ่านมาจะติดความรู้สึกและบรรยากาศการขับไปบนเส้นทางออฟโรดกับค่ายอื่นๆ อยู่พอสมควร จนกลายเป็นภาพจำว่า เวลาที่มาทริปทดสอบรถบนเส้นทางออฟโรดอารมณ์มันก็จะประมาณนี้…แต่วันนี้เปลี่ยนไป เพราะเจ้าโคโลราโดเป็นความประทับใจที่พุ่งพรวดเข้ามาแบบที่ไม่เคยคิดมาก่อน จากปกติแล้วจะได้ขับบนเส้นทางออนโรดบนทางที่ขับสบายๆ มีลุยเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่จะเน้นไปบนเส้นทางท่องเที่ยวที่ไม่ได้ยากลำบากอะไร ทำให้คุ้นเคยกับการขับชิลๆ อยู่บ่อยครั้ง แต่ทริปคราวนี้ทำให้ต้องมองเจ้าโคโลราโดกันใหม่อีกครั้ง..
สำหรับการทดลองขับทริปนี้ ทีมงานเชฟโรเลต ประเทศไทย จัดขึ้นในชื่อเท่ๆ ว่า “Colorado Jungle Drive Experience” เป็นการขับบนเส้นทางที่เน้นการขับเคลื่อน 4 ล้อ ด้วยเชฟโรเลต โคโลราโด สุดยอดรถกระบะอเมริกันพันธุ์แกร่ง ให้ได้พิสูจน์สมรรถนะของขุมพลังที่ทรงพลัง ระบบช่วงล่างที่พร้อมใช้งานที่ทุกสภาพพื้นผิว ด้วยการขับไปบนทิวเขาสูงชันผ่าน “ถนนลอยฟ้า” ถนนที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย เส้นทางระหว่างจังหวัดเลยสู่อุทยานแห่งชาติเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ และยังเอาใจนักขับสายลุยด้วยภารกิจบุกตะลุยแบบจัดเต็ม ให้สนุกกันบนเส้นทางออฟโรดขึ้นภูเขาไปพักชมความงามแบบ 360 องศาที่จุดชมวิวผาตัดอันเลื่องชื่อ ที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในจังหวัดเพชรบูรณ์ และขับไปบนเส้นทางธรรมชาติในเขตอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ชมความสวยงามของ “ทุ่งหญ้าสะวันนาแห่งเมืองไทย” เป็นเส้นทางที่ได้รับรู้ถึงสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมของเชฟโรเลต โคโลราโด ได้เป็นอย่างดี
โดยรถกระบะ โคโลราโด แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็นรถที่ได้รับการยอมรับจากนักขับทั่วโลกว่าเป็นรถยนต์ที่มีความทนทาน มีสมรรถนะโดยรวมที่พร้อมลุยแบบสมบุกสมบัน มีความโดดเด่นด้วยขุมพลังดูราแม็กซ์ ดีเซล (Duramax) พร้อมเทอร์โบแปรผัน ที่ผลิตมาให้พร้อมลุยในทุกสภาพถนน และในขณะเดียวกันยังสามารถมอบความสะดวกสบายด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแบบจัดเต็ม รวมทั้งติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานด้านความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC) ระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางลาดชัน (HSA) และระบบกระจายแรงเบรก (EBD) พูดได้ว่าเป็นรถที่พร้อยลุยตั้งแต่ออกมาจากโรงงานกันเลยทีเดียว โดยรถกระบะ โคโลราโด ที่นำมาทดสอบในทริปนี้ ทีมงานจัดมาให้กันแบบครบรุ่น คือ “โคโลราโด ไฮคันทรี” (Colorado High Country) “โคโลราโด ไฮคันทรี สตอร์ม” (Colorado High Country Storm) “โคโลราโด มิดไนท์ อีดิชั่น” (Colorado Midnight Edition) และ “โคโลราโด โฟร์ท ออฟ จูลาย อิดิชั่น” (Colorado 4th of July Edition) งานนี้ได้ขับกันแบบจุใจกันเลยทีเดียว
ทั้งนี้ รถกระบะเชฟโรเลต โคโลราโด ทุกรุ่น ถูกผลิตขึ้นที่ศูนย์การผลิตรถยนต์ของจีเอ็ม ประเทศไทย ในจังหวัดระยอง ภายใต้มาตรฐานการผลิตคุณภาพระดับโลก เริ่มตั้งแต่การสร้างคุณภาพในกระบวนการผลิต (BIQ: Built-In-Quality) และเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อส่งมอบรถยนต์คุณภาพสูงสู่ทุกท้องถนน ซึ่งปัจจุบันได้ผลิตรถยนต์รวมกว่า 1,350,000 คัน นับตั้งแต่ปี 2543 อีกด้วย
เกริ่นนำมากันยาว มากันที่การขับกันบ้าง..จากที่บอกไว้ก่อนนี้แล้วว่านี่เป็นครั้งแรกบนเส้นทางออฟโรดแท้ๆ กับเชฟโรเลต โคโลราโด ทำให้เป็นความรู้สึกและรสสัมผัสของการขับที่ต่างออกไป โดยที่เจ้าโคโลราโดทำได้ดีบนเส้นทางออนโรด เส้นทางทั่วไปที่ใช้งานในชีวิตประจำวันแบบที่ไม่จำเป็นต้องใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อก็สามารถใช้งานได้อย่างสบาย ด้วยขุมพลังดูราแม็กซ์ ดีเซล ขนาด 2.5 ลิตร 4 สูบ พร้อมเทอร์โบแปรผัน 180 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสุูงสุด 440 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที ส่งพละกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
การขับด้วยความเร็วสูงบนทางออนโรด หากท้ายกระบะไม่ได้มีการบรรทุกการเข้าโค้งด้วยความเร็วสามารถทำได้โดยที่ตัวรถไม่มีอาการท้ายบาน (ความเร็วไม่เกิน 110 กม./ชม. หากความเร็วเกินกว่านี้จะอันตราย เพราะจะเริ่มรู้สึกได้ว่าท้ายจะเริ่มบานออก ต้องควบคุมรถให้เป็นด้วย และที่สำคัญไม่ควรเบรกหนักในระหว่างโค้ง เพราะแม้จะมีระบบช่วยเหลือแต่เป็นการเสี่ยงเกินไป) ตรงนี้ถือว่าระบบช่วงล่างรองรับการใช้งานได้ดีมาก โดยที่ระบบช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกสองชั้น พร้อมคอยล์สปริง และโช้ดอัพแก๊ส ส่วนด้านหลังแบบลิฟสปริง แป้นรูปครึ่งวงรี พร้อมโช้คอัพแก็ส (หรือเรียกว่าแหนบนั่นเอง) ซึ่งช่วงล่างแบบแหนบหลายคนอาจจะคิดว่ามันจะแข็งและกระเด้งกระดอน แต่จริงๆ แล้วสเปคของแหนบมีหลายอย่าง แบบที่นุ่มนวลก็มี แต่สำหรับโคโลราโดในภาพรวมของช่วงล่างจะให้อารมณ์ความนุ่มและหนึบ แต่มีแข็งเล็กน้อย ทำให้ขับได้สนุกบนเส้นทางออนโรดทั่วไป อัตราเร่งไม่ได้จัดจ้าน แต่ค่อยๆ มาแบบสัมผัสได้ถึงพลัง และช่วงล่างจะทำงานได้สมบูรณ์มากขึ้นเมื่อมีน้ำหนักบรรทุกเสริมไปสัก 200-400 กิโลกรัม อารมณ์การควบคุมจะเปลี่ยนไป แต่ยังคงให้ความมั่นใจเต็มที่ โดยที่ระบบเบรกสามารถรองรับการใช้งานได้แบบเหลือเฟือ ซึ่งเบรกด้านหน้าเป็นดิสก์เบรก ขนาด 300 มม. พร้อมครีบระบายความร้อน และด้านหลังเป็นดรัมเบรก ขนาด 295 มม. ร่วมกับหม้อลมเบรกขนาด 10.5 นิ้ว
เชฟโรเลต โคโลราโด บน “ผาตัด” ยอดเขาที่สูงที่สุดใน จ.เพชรบูรณ์ กว่าจะขึ้นไปถึงก็ใกล้พระอาทิตย์ตกดิน แล้วตอนกลับลงมาไม่ต้องสืบเลย เพราะต้องขับตามๆ กันมาบนเส้นทางออฟโรดเส้นเดิม แต่เพิ่มเติมด้วยความมืดมิดมีเพียงแสงไฟจากรถและแสงจันทร์เท่านั้นที่ช่วยนำทาง บรรยากาศช่างแตกต่างและเติมเต็มชีวิตการเดินทางได้ดีจริงๆ
ส่วนการขับบนเส้นทางออฟโรดเพื่อขึ้นไปยัง “ผาตัด” ไม่ได้รู้สึกว่ายากเย็นอะไรเลย เครื่องยนต์แรงบิดสูง มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อให้ได้เลือกใช้งาน ซึ่งมีมากเพียงพอต่อการใช้งาน ไม่จำเป็นต้องมีโหมดการขับให้เยอะเรื่อง ควบคุมการขับได้ง่ายด้วยพวงมาลัยเพาเวอร์ควบคุมการทำงานด้วยไฟฟ้า แบบแร็กแอนด์พิเนียน ที่มีน้ำหนักเบาช่วยให้ขับผ่านอุปสรรคได้สบายใจ ที่สำคัญคือไม่เหนื่อยกับการบังคับควบคุม และรถยังถูกออกแบบให้พร้อมใช้งานบนเส้นทางออฟโรดโดยเฉพาะด้วยระยะโอเวอร์แฮงด้านหน้า 1,004 มม. ระยะโอเวอร์แฮงด้านหลัง 1,308 มม. มีความสูงจากพื้นถึงตัวรถ 216 มม. มีมุมไต่ 3 องศา มุมจาก 2 องศา มุมข้าม 1 องศา ที่เพียงพอกับการใช้งาน และใส่ล้อและยาง 265/60 R 18 สเปคโรงงาน ซึ่งถ้าใครอยากยกให้สูงขึ้นอีกก็ดูสวยแกร่งดี
ส่วนที่ทุ่งหญ้าสะวันนาแห่งเมืองไทย อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง เส้นทางช่วงนี้แห้งมาก ไม่มีฝน ไม่มีโคลนทำให้ขับสบาย แค่มีฝุ่นกระจายหนาแค่เท่านั้นเอง ด้วยพื้นผิวดินที่แข็งเป็นหัวโจรและขรุขระตลอดเส้นทาง ถ้าช่วงล่างรองรับได้ไม่ดีพอ รับรองว่าไส้สะเทือนแน่นอน แต่ไม่ใช่สำหรับโคโรลาโดเพราะในบางช่วงสามารถขับรูดได้ บางจุดที่ต้องขับหยอดๆ ช่วงล่างรองรับได้ดี คนนั่งด้านหลังยังอยู่ในสภาพดี ถึงปกติแล้วตำแหน่งนั่งด้านหลังจะรับรู้ถึงความแข็งกระด้าน แรงกระเด้งกระดอนมากที่สุด แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้ ถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว
โดยสรุปแล้ว อาจจะฟังดูชมในหลายๆ เรื่อง ตรงไหนดีก็ชม จะมีเพียงเรื่องของศูนย์บริการนี่ล่ะ ที่ยังต้องพัฒนาและปรับปรุง ซึ่งปัจจุบันนี้ทางเชฟโรเลตเองก็เร่งพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจสูงสุด เรื่องแบบนี้ต้องให้โอกาสกันด้วยเช่นกัน แต่ถ้าเป็นเรื่องของโปรดักส์แล้วถือว่าสอบผ่านในหลายด้าน ส่วนการขับใช้งานบนเส้นทางออฟโรดที่ถือว่าทำได้และสู้กับคู่แข่งได้สบาย ที่สำคัญเป็นรถมาตรฐานจากโรงงานไม่ได้มีการปรับแต่งอะไรเพิ่มเติมอีกด้วย..ใช้ได้เลยจริงๆ กับเจ้าเชฟโรเลต โคโลราโด ส่วนใครจะชอบสไตล์ไหนรุ่นใดก็เลือกเอาตามใจชอบได้เลย เพราะแม้ว่าสไตล์การตกแต่งจะต่างกัน แต่หัวใจในการใช้งานทั้งสมรรถนะของเครื่องยนต์ ระบบช่วงล่าง ระบบความปลอดภัย และเทคโนโลยี รวมๆ กันแล้วทำให้เชฟโรเลต โคโลราโด เป็นรถกระบะที่ดีและพร้อมใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างครอบคลุมจริงๆ
เรื่อง : พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th