เทอร์ร่า นาวารา คว้ารางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี 2019
BEST HIGH-LIFT PICKUP UNDER 2,500 c.c.
NISSAN NAVARA EL 7AT BLACK EDITION
ยังเป็นรถขวัญใจอย่างต่อเนื่องกับรถปิกอัพ “NISSAN NAVARA Black Edition” ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบเต็มรูปแบบ และยังลงตัวด้วยชุดแต่งที่เข้ม แข็งแกร่ง ดุดัน สะท้อนความเป็นตัวตนของผู้ขับขี่ได้อย่างชัดเจน ซึ่งนับว่าเป็นจุดเด่นที่สำคัญ ทำให้คณะกรรมการผู้ตัดสิน Car of The Year 2019 ต่างโหวตให้ NISSAN NAVARA Black Edition เป็นที่สุดในคลาส BEST HIGH-LIFT PICKUP UNDER 2,500 c.c.
ภายนอกเด่นสะดุดตา สะท้อนความเป็นตัวตน
NISSAN NAVARA Black Edition มาพร้อมชุดแต่งสีดำรอบคัน เริ่มจาก โคมไฟหน้าแบบ LED และกรอบไฟตัดหมอกหน้าที่มีสีดำ ลงตัวกับกระจังหน้า ผ่านฝากระโปรงหน้า หลังคา สู่กันชนหลัง และเสาอากาศแบบ Shark Fin สีดำ มือจับประตูด้านนอกแบบ GRIP TYPE เสริมบุคลิกเฉพาะตัวที่ด้านข้างด้วยลวดลายกราฟิตี้ดีไซน์สีดำ พร้อมสัญลักษณ์ Black Edition พร้อมล้ออัลลอยสีดำขนาด 18 นิ้ว และซุ้มล้อสีดำ เน้นภาพลักษณ์ที่ทรงพลังและทันสมัย แต่คงไว้ซึ่งเส้นสายตามการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ และเพิ่มอารมณ์สปอร์ต พร้อมช่วยประหยัดน้ำมันด้วยสปอยเลอร์ด้านหลังใหม่ นอกจากนี้ยังเพิ่มความคุ้มค่าด้วยพื้นที่บรรทุกกระบะท้ายที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น รองรับทุกการบรรทุกสัมภาระ และทุกงานหนักของการบรรทุก ฝาปิดกระบะท้ายน้ำหนักเบา ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการขนสัมภาระขึ้นและลง พร้อมลดน้ำหนักโดยรวมเพื่อความประหยัดน้ำมัน
ภายในครบทุกฟังก์ชันการใช้งาน
ห้องโดยสารรูปแบบ SUV ที่ให้ความรู้สึกหรูหราทุกครั้งที่ได้สัมผัส อาทิ เบาะนั่งคนขับแบบปรับที่ปรับได้ 6 ทิศทาง พร้อมด้วยเครื่องปรับอากาศหน้า-หลัง เติมเต็มความสนุกด้วยเทคโนโลยี SMARTPHONE CONNECTIVITY เชื่อมต่อความสะดวกสบายให้ง่ายขึ้น “Mirror Link” เทคโนโลยีการเชื่อมต่อหน้าจอโทรศัพท์ผ่านจอเครื่องเสียงในรถผ่านสาย HDMI สามารถเล่นแอปพลิเคชันในมือถือ ผ่านจอเครื่องเสียงรถยนต์ เพื่อความคมชัด สะดวกสบาย และเพลิดเพลินมากยิ่งขึ้น ผ่านจอแสดงผลขนาด 7 นิ้ว ที่มีเครื่องเล่น DVD และกล้องมองหลัง พวงมาลัย 3 ก้านสไตล์สปอร์ตมัลติฟังก์ชัน สามารถควบคุมเครื่องเสียง และระบบเชื่อมต่ออื่นๆ นอกจากนี้ ยังมีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise control, ระบบ Push Start และกระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนแบบอัตโนมัติ เพิ่มเติมความสบายในการใช้งานด้วยมาตรวัดเรืองแสงพร้อมจอแสดงข้อมูลแบบ 3 มิติ ขนาด 5 นิ้ว พร้อมโหมดเลือกการแสดงผล 2 ภาษา ทั้งไทยและอังกฤษ แสดงข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการขับขี่จัดวางในตำแหน่งที่มองเห็นได้เด่นชัด ควบคุมง่าย ผ่านปุ่มควบคุมบนพวงมาลัยเช่นกัน
ขุมพลังตอบสนองทุกการเดินทาง
NISSAN NAVARA Black Edition มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตรคอมมอนเรล 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VGS เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ที่เผาไหม้หมดจด ประหยัดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 163 แรงม้า (120 กิโลวัตต์) ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 403 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที ส่งผ่านกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด พร้อมโหมดเปลี่ยนเกียร์ธรรมดา ทำให้ตอบสนองการใช้งานได้ดีมากยิ่งขึ้นในการเดินทางและการใช้งานที่ต้องบรรทุกของที่มีน้ำหนัก
ในด้านความแข็งแกร่งของระบบช่วงล่าง ต้องยกความดีให้กับโครงสร้างแชสซีเหล็กกล้าขนาดใหญ่แบบประกบยาวตลอดคัน นุ่มนวลทั้งการขับขี่บนถนนหรือทางขรุขระ ด้วยระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระ ปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง และระบบกันสะเทือนหลังแบบแหนบซ้อนพร้อมโช้คอัพ เพิ่มความมั่นใจขณะขับขี่ด้วย ระบบกระจายแรงเบรก EBD เพิ่มความปลอดภัยให้ระยะเบรกสั้นลง ด้วยการควบคุมการกระจายแรงเบรก และปรับแรงดันน้ำมันเบรกแบบอิสระทั้ง 4 ล้อ, ระบบช่วยเบรกป้องกันล้อล็อก ABS ดิสก์เบรกหน้าและดรัมเบรกหลังขนาดใหญ่ พร้อมระบบช่วยเบรกป้องกันล้อล็อกและลื่นไถลขณะเบรกกะทันหัน ช่วยให้ควบคุมทิศทางหรือหักหลบสิ่งกีดขวางได้ พร้อมด้วยถุงลม SRS คู่หน้า SRS Dual Front Airbags รองรับวินาทีที่ไม่คาดคิด หากเกิดแรงปะทะจากด้านหน้า ถุงลมจะพองตัวอัตโนมัติ เพื่อลดความรุนแรงจากการบาดเจ็บให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า ซึ่งคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัยได้ถูกออกแบบด้วยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญที่คอยควบคุมคุณภาพทุกชิ้นส่วนในทุกขั้นตอน เน้นการป้องกันถึง 3 ระดับ ตั้งแต่ การควบคุมคุณภาพการผลิต การควบคุมการขับขี่ในสถานการณ์ยากลำบากและการรักษาความปลอดภัยในเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ให้คุณมั่นใจในทุกการขับขี่ ช่วยปกป้องคุณและคนที่คุณรัก
บทสรุปการทดสอบจากคณะกรรมการ
สำหรับในการทดสอบครั้งนี้ เหล่าคณะกรรมการต้องพิสูจน์สมรรถนะของ NISSAN NAVARA Black Edition ในสามรูปแบบ คือ Acceleration Test, Lane Change และ Suspension Test ซึ่งทั้งสามสถานีนี้คณะกรรมการได้ลงความเห็นว่า NISSAN NAVARA Black Edition มีความลงตัวในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ทันใจจากเครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร คอมมอนเรล 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VGS เทอร์โบ แปรผัน ส่งผ่านกำลังด้วยระบบเกียร์แบบ 7 สปีด การบังคับรถเปลี่ยนเลนแบบกะทันหัน เพื่อสัมผัสระบบความปลอดภัยและการทำงานของระบบช่วงล่าง รวมถึงการสั่งงานของพวงมาลัยว่ามีความแม่นยำ ซึ่งสั่งการได้อย่างเฉียบคม ควบคุมง่าย และการทดสอบความนุ่มนวลระบบช่วงล่าง ที่เป็นแบบระบบกันสะเทือนหน้า อิสระ ปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง และระบบกันสะเทือนหลังแบบแหนบซ้อนพร้อมโช้คอัพ ให้ความนุ่มนวลในการขับขี่เเละเกาะถนนเป็นเยี่ยม
จากบทสรุปของคณะกรรมการผู้ทรงเกียรติ ต่างให้มติเป็นเอกฉันท์ว่า NISSAN NAVARA Black Edition เป็นสุดยอดรถปิกอัพที่ตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการและครบเครื่องในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นในด้านขุมพลัง เทคโนโลยี ความปลอดภัยและการใช้งานในชีวิตประจำวัน
BEST PPV DIESEL 2WD UNDER 2,500 c.c.
NISSAN TERRA 2.3 VL 7AT
เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่คนถามถึงอย่างต่อเนื่อง สำหรับ NISSAN TERRA 2.3 VL รถอเนกประสงค์รุ่นล่าสุด ที่มาพร้อมความแกร่ง และความสะดวกสบายในรูปแบบ 7 ที่นั่ง ภายใต้แนวคิด นิสสัน อินเทลลิเจ้นท์ โมบิลิตี้ (Nissan Intelligent Mobility: NIM) สุดยอดเทคโนโลยีทันสมัยที่ช่วยเสริมความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสารทุกคน และที่ขาดไม่ได้ คือ ขุมพลังแบบทวินเทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ขนาด 2,298 ซี.ซี. ที่ให้กำลังมากถึง 190 แรงม้า นับเป็นจุดเด่นที่ลงตัว ทำให้คณะกรรมการผู้ทดสอบโหวตให้ NISSAN TERRA 2.3 VL ได้รับรางวัล BEST PPV DIESEL 2WDUNDER 2,500 c.c.
จุดเด่นที่คณะกรรมการจับตา
ในด้านการใช้งานที่ครบเครื่อง ผสมผสานกับขุมพลังใหม่ที่มีความแรงและลงตัว NISSAN TERRA 2.3 VL นับเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างลงตัว ซึ่งจุดเด่นที่น่าสนใจมีดังนี้…
NISSAN TERRA มาพร้อมกับขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล YS23DDTT ทวินเทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ DOHC ขนาด 2,298 ซี.ซี. มาพร้อมหัวฉีดเชื้อเพลิงระบบไดเร็คอินเจคชัน ให้พละกำลังสูงสุด 190 แรงม้า และมีแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกัน จึงทำให้ขับเคลื่อนได้อย่างราบรื่นและทรงพลัง เมื่อต้องการส่งผ่านกำลังระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ 7 สปีด ที่มาพร้อมโหมดขับขี่แบบแมนวล (M mode) ที่โดดเด่นด้านพละกำลัง ตัวถังบนแชสซีออกแบบมาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งสำหรับการขับขี่แบบสมบุกสมบัน อย่างการขับขี่แบบออฟโรด ทำงานคู่กับระบบช่วงล่างหลังคอยล์สปริงแบบ Five-link และเพลาล้อหลังที่แข็งแรง มอบทั้งความสะดวกสบาย และความทนทานให้กับผู้ขับขี่ ระยะความสูงจากพื้นถนนถึงใต้ท้องรถ 225 มิลลิเมตร ลดความเสี่ยงในการเกิดความเสียหายอันเนื่องมาจากพื้นถนนที่ขรุขระ มีหลุมบ่อ ไม่ราบเรียบ หรือการขับรถผ่านพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังได้อย่างมั่นใจ
เทคโนโลยีอัจฉริยะ ล้ำสมัย นิสสัน อินเทลลิเจ้นท์ โมบิลิตี้ – อินเทลลิเจ้นท์ ไดร์ฟวิ่ง ใน NISSAN TERRA 2.3 VL
เทคโนโลยีกระจกมองหลังอัจฉริยะ หรือ Intelligent Rear View Mirror (IRVM)
NISSAN TERRA 2.3 VL มีหน้าจอ LCD ที่กระจกมองหลัง ในการแสดงภาพที่มาจากกล้องด้านหลังตัวรถ โดยภาพบนจอจะช่วยให้ผู้ขับขี่เห็นทัศนวิสัยด้านหลังได้ในมุมกว้าง โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับเปลี่ยนระหว่างจอแสดงภาพจากกล้อง หรือจากกระจกปกติได้ เพื่อช่วยให้การมองเห็นสภาพการจราจรด้านหลังได้อย่างชัดเจนที่สุด สำหรับเทคโนโลยี IRVM นี้ ช่วยเสริมความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่ ในกรณีที่มีการบรรทุกสัมภาระหรือมีผู้โดยสารนั่งด้านหลัง
เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง หรือ Intelligent Around View Monitor (IAVM)
ระบบ IAVM ช่วยให้ผู้ขับสามารถมองเห็นสภาพรอบตัวยานพาหนะได้ทั่วทุกทิศทาง ด้วยการสร้างภาพมุมสูงแบบ bird’s-eye view รอบตัวรถ จึงทำให้สามารถควบคุมตัวรถระหว่างถอยจอด รวมถึงเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างง่ายดายแม้ในพื้นที่แคบ
เทคโนโลยีตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้อง
รอบคัน หรือ Moving Object Detection (MOD) เทคโนโลยี MOD จะตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนทุกครั้งเมื่อมีวัตถุหรือบุคคลที่เคลื่อนไหวอยู่ใกล้ตัวรถ โดยจับการเคลื่อนไหวจากภาพของกล้องที่อยู่รอบๆ ในยามที่ต้องการจอดรถ หรือการเคลื่อนตัวช้าๆ เมื่อมีสิ่งเคลื่อนไหว ระบบจะส่งทั้งภาพและเสียงเตือนผู้ขับ ทั้งนี้ กล้องทั้งสี่ตัวรอบคันรถ สามารถแจ้งเตือนผู้ขับได้ใน 3 สถานการณ์ คือ เมื่อรถจอดหรือหยุดนิ่ง เมื่อรถเคลื่อนตัวไปข้างหน้า หรือเมื่อเคลื่อนถอยหลัง
เทคโนโลยีเตือนจุดบอดหรือจุดอับสายตาหรือ Blind Spot Warning (BSW)
เทคโนโลยี IBSW จะทำงานเมื่อพบว่ามียานพาหนะอื่นเข้าใกล้ตัวรถในบริเวณจุดอับสายตา และทำการแจ้งเตือน โดยคนขับจะได้รับทั้งเสียงเตือนและสัญญาณไฟกะพริบที่กระจกมองข้าง
เทคโนโลยีเตือนเมื่อรถออกนอกช่อง
หรือ Lane Departure Warning (LDW) เทคโนโลยีนี้จะแจ้งเตือนด้วยสัญญาณไฟที่หน้าปัดและเสียง เมื่อรถเคลื่อนที่ออกนอกช่องทาง โดยระบบจะทำงานเมื่อมีการขับเคลื่อนด้วยความเร็วมากกว่า 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง
NISSAN TERRA 2.3 VL ยังมาพร้อมอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยมาตรฐาน เสริมความปลอดภัยในการขับขี่ทั้งแบบ Active Safety ที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ และแบบ Passive Safety ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของผู้โดยสารขณะเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็น…
ถุงลมนิรภัย 6 จุด ที่ ตำแหน่งด้านหน้า ด้านข้างของเบาะแถวหน้า และม่านถุงลม เข็มขัดนิรภัยที่เบาะคู่หน้า เบาะนั่งแถวที่สอง และเบาะแถวที่สามเป็นเข็มขัดสามจุด ELR ปรับระดับเพื่อให้พอเหมาะกับขนาดร่างกายของผู้ขับและผู้โดยสาร ที่สามารถยืดหรือหดกลับได้อัตโนมัติ นอกจากนี้ ยังมีการป้องกันความปลอดภัยสำหรับผู้โดยสารที่เป็นเด็ก
ด้วยจุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX เทคโนโลยีเบรก Brake Limited Slip Differential (B-LSD) ช่วยเพิ่มแรงเบรกเมื่อล้อลื่นไถล ให้คุณขับขี่ได้อย่างมั่นใจในทุกสภาพถนน ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี หรือ Traction Control System (TCS) เมื่อเกิดเหตุล้อหมุนฟรี ระบบจะทำการลดกำลังเครื่องยนต์และเพิ่มแรงเบรกอัตโนมัติ เพื่อช่วยให้ผู้ขับสามารถควบคุมรถ และเดินทางต่อได้อย่างปลอดภัย เทคโนโลยีช่วยออกตัวบนทางลาดชัน หรือ Hill Start Assist (HSA) ช่วยป้องกันการไถลลงเมื่อขับขึ้นทางลาดชัน เทคโนโลยีควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน หรือ Hill Descent Control (HDC) ช่วยควบคุมความเร็วเมื่อขับลงทางลาดชัน
นอกจากนี้ NISSAN TERRA 2.3 VL ยังมีมาตรวัดแสดงโหมดออฟโรด (Off-road Meter) แสดงข้อมูลการขับขี่ในโหมดขับเคลื่อนต่างๆ รวมถึงบอกองศาความลาดเอียงของตัวรถด้วย เทคโนโลยีตรวจสอบแรงดันลมยาง หรือ Tire Pressure Monitoring System (TPMS) คือเทคโนโลยีที่คอยตรวจวัดแรงดันลมยางของล้อทั้งสี่ล้อ และแจ้งเตือนเมื่อแรงดันลมยางเกิดการเปลี่ยนแปลง ช่วยยืดอายุการใช้งานของตัวยาง และยังช่วยป้องกันความปลอดภัยได้อีกระดับ ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ระบบกระจายแรงเบรก (EBD) และระบบช่วยเบรก (Brake Assist System: BA) รวมถึงไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน โดยเบรกหน้าเป็นดิสก์เบรกเป็นแบบครีบระบายความร้อน ขณะที่เบรกหลังเป็นดรัมเบรก ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว หรือ Vehicle Dynamic Control (VDC) ช่วยรักษาการทรงตัวเมื่อเข้าโค้ง หรือหักเลี้ยวได้อย่างมั่นใจ ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ (Push Start Button) กุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Intelligent Key) เพิ่มความปลอดภัยให้กับตัวรถยิ่งขึ้น ด้วยระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer และระบบเตือนภัยแบบ VSS ซึ่งจากการเปรียบเทียบของคณะกรรมการ ต่างลงความเห็นว่า NISSAN TERRA 2.3 VL มีออปชันที่เหนือกว่าคู่แข่งเมื่อเทียบกับรถในเซ็กเมนต์เดียวกัน
ความทันสมัย ที่มาพร้อมความสะดวกสบาย ตอบสนองทุกการใช้งาน
NISSAN TERRA 2.3 VL มาพร้อมกับการออกแบบภายในห้องโดยสารให้ทุกที่นั่งมีพื้นที่ในการยืดขาที่กว้างกว่าเมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกัน การตกแต่งภายในเน้นความทันสมัยที่มอบทั้งความสบายและอรรถประโยชน์ของการใช้งานให้ทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร โดยคุณสมบัติต่างๆ ได้แก่ เบาะนั่งแถวที่ 2 นอกจากจะเข้า-ออก ได้อย่างง่ายดายแล้ว ยังมาพร้อมระบบพับเบาะอัตโนมัติ (1-Touch Remote Fold and Tumble Seats) ที่สามารถสั่งการได้จากตำแหน่งผู้ขับ แค่เพียงการกดที่ปุ่มเดียว ระบบความบันเทิงในรถรุ่นนี้ มีทั้งวิทยุ เครื่องเล่น DVD และ MP3 พร้อมช่องใส่แผ่นดิสก์ 1 ช่อง และหน้าจอแบบทัชสกรีนขนาด 7 นิ้ว พร้อมระบบนำทาง ทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับ USB/HDMI และลำโพง 6 จุด โดยสามารถควบคุมระบบเสียงและโทรศัพท์ได้โดยตรงจากพวงมาลัยคนขับ ระบบปรับอากาศกระจายความเย็นรอบทิศทางแบบ360 องศา มอบความเย็นสบายให้ทุกที่นั่งทั่วทั้งห้องโดยสาร โดยสามารถควบคุมความเร็วของพัดลมจากที่นั่งตอนหลังได้อีกด้วย
บทสรุปการทดสอบจากคณะกรรมการ
จากการที่คณะกรรมการได้สัมผัสกับ NISSAN TERRA 2.3 VL จุดแรกที่ให้ความน่าสนใจ คือ ความกว้างของห้องโดยสาร ไม่ใช่เพียงแต่ด้านหน้าเท่านั้น แต่เบาะแถวที่ 2 และแถวที่ 3 ยังนั่งสบาย มีช่องวางขาที่กว้าง ไม่อึดอัด นอกจากนี้ เบาะแถวที่ 2 ยังสามารถสั่งการพับโดยระบบไฟฟ้าได้อีกด้วย ทำให้เวลาคนที่ต้องการนั่งแถวที่ 3 ไม่ต้องเสียแรงและเวลาในการยกเบาะ
สำหรับช่วงขับทดสอบ NISSAN TERRA 2.3 VL ในพื้นที่ต่างๆ เครื่องยนต์ทวินเทอร์โบขนาด 2,300 ซี.ซี. ที่มีแรงม้ามากถึง 190 แรงม้า ส่งผ่านกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด มีกำลังเหลือเฟือในการใช้งาน ซึ่งในช่วง
ที่ต้องการเรียกรอบหรือเพิ่มอัตราเร่ง เครื่องยนต์ทวินเทอร์โบจะอัดอากาศพร้อมกัน ทำให้เรียกความเร็วได้อย่างทันใจทางด้านการควบคุมพวงมาลัยแบบ แร็ค แอนด์ พิเนียน (Rack and Pinion) โดยมีรัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.7 เมตร ให้ความแม่นยำสูง ควบคุมได้อย่างเชื่องมือ ทำให้ขับได้ง่าย ไม่รู้สึกเครียด แม้ว่าจะเจอกับอุปสรรคต่างๆ ที่เตรียมไว้ก็สามารถผ่านโดยสะดวก
นอกจากนี้ จอ LCD ที่กระจกมองหลัง ที่สามารถแสดงภาพมาจากกล้องด้านหลังตัวรถ โดยภาพบนจอกระจกมองหลังจะช่วยให้ผู้ขับขี่เห็นทัศนวิสัยด้านหลังได้ในมุมกว้าง โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับเปลี่ยนระหว่างจอแสดงภาพจากกล้อง หรือจากกระจกปกติได้ เพื่อช่วยให้การมองเห็นสภาพการจราจรด้านหลังได้อย่างชัดเจนที่สุด ช่วยให้มองมุมอับด้านหลังได้สะดวกยิ่งขึ้น และอีกจุดที่เหล่าคณะกรรมการต่างลงความเห็น คือ ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคาในรถกลุ่มเดียวกัน
เรื่อง: กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th