เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยกขบวนปลั๊กอินไฮบริดทำความดี เส้นทางกรุงเทพ-พังงา
เมอร์เซเดส–เบนซ์ จัดกิจกรรมสัมผัสความเหนือชั้นของเทคโนโลยีที่มีอยู่ใน The E 350 e รุ่นล่าสุด พร้อมยกขบวนยนตรกรรมปลั๊กอินไฮบริดครบพอร์ทโฟลิโอภายใต้แบรนด์ “EQ – Electric Intelligence by Mercedes-Benz” ครั้งแรกในประเทศไทย บนเส้นทางกรุงเทพ – พังงา พร้อมมอบเงินสนับสนุนทางการศึกษาและอุปกรณ์เครื่องเขียน ให้แก่เด็กนักเรียนโรงเรียนเยาววิทย์ จ.พังงา
ทริปนี้ถือว่าเป็นการขับกันแบบรักษ์สิ่งแวดล้อมจริงๆ เพราะด้วยการเป็นเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่อยู่ภายใต้แบรนด์ “EQ – Electric Intelligence by Mercedes-Benz” ครบทั้งพอร์ทโฟลิโอ ถึง 12 รุ่น เป็นรถที่ใช้พลังงานได้อย่างคุ้มค่า ประหยัด และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่สิ่งแวดล้อมน้อยมากๆ ซึ่งนอกจากจะขับทดลองสมรรถนะกันแล้ว ยังเป็นการเดินทางเพื่อมอบเงินสนับสนุนทางการศึกษาและอุปกรณ์เครื่องเขียนที่ต่อยอดมาจากกิจกรรมจัดทำชุดเครื่องเขียนเพื่อเด็กนักเรียนผู้ยากไร้ที่จัดขึ้นที่ “เมอร์เซเดส มี บ็อกซ์” (Mercedes Me BOX) เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ให้แก่เด็กนักเรียนโรงเรียนเยาววิทย์ จ.พังงา เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลากว่า 11 ปี อีกด้วย
สำหรับยนตรกรรมภายใต้แบรนด์ “EQ – Electric Intelligence by Mercedes-Benz” (อีคิว – อีเลคทริค อินเทลลิเจนซ์ บาย เมอร์เซเดส-เบนซ์) เป็นแบรนด์เทคโนโลยีใหม่ภายใต้แบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งได้รับการพัฒนามาจากแนวคิดของการเติมเต็มทั้งความสุข ความสนุกในการขับขี่ผสานกับความชาญฉลาดของยานพาหนะ (Emotion and Intelligence) ของรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดทุกคันที่มาเติมเต็มทุกแนวคิดเกี่ยวกับการเดินทางแห่งอนาคตและการใช้ชีวิตอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างครบวงจร ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้วางรากฐาน ไว้เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2025 เลยทีเดียว
โดยครั้งนี้ถือว่าได้ลองขับรถในกลุ่มปลั๊กอินไฮบริดกันครบทุกรุ่น โดยมีไฮไลท์ คือ The E 350 e ยนตกรรมรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ประกอบด้วย 3 รุ่น ได้แก่ E 350 e AMG Dynamic, E 350 e Exclusive และ E 350 e Avantgarde ซึ่ง Mercedes-Benz E 350 e คือ รถยนต์ซีดานระดับพรีเมี่ยมที่ผสมผสานเทคโนโลยีล่าสุดของเครื่องยนต์ไฮบริด โดดเด่นในเรื่องสมรรถนะและอัตราการใช้พลังงาน โดย The E 350 e ผ่านการตรวจสอบผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมโดยสำนักงาน TÜV (สำนักงานตรวจสอบมาตรฐานทางเทคนิคแห่งประเทศเยอรมนี – the German Technical Inspection Authority) และได้รับใบรับรองด้านผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งใบรับรองดังกล่าวให้การรับรองรถยนต์รุ่น The E 350 e ว่าผ่านการประเมินระดับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดอายุของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment) ซึ่งในกระบวนการตรวจสอบแบบองค์รวมที่เมอร์เซเดส-เบนซ์นำรถยนต์ไปตรวจสอบ ผู้เชี่ยวชาญไม่ได้วัดอัตราการใช้พลังงานหรืออัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขณะขับขี่เท่านั้น แต่ยังวัดอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงกระบวนการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่
และผลการวิเคราะห์เปิดเผยว่ารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่น The E 350 e ที่ใช้เครื่องยนต์แบบไฮบริดและได้รับการประจุพลังงานไฟฟ้าตามมาตรฐานของทวีปยุโรปนั้นมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดช่วงอายุของผลิตภัณฑ์ (นับตั้งแต่กระบวนการผลิตวัสดุสำหรับประกอบเป็นรถยนต์, กระบวนการประกอบชิ้นส่วนขึ้นเป็นรถยนต์, การขับขี่เป็นระยะทาง 250,000 กิโลเมตรโดยใช้เกณฑ์การคำนวณค่าการปล่อยไอเสียตามมาตรฐานสากล และกระบวนการรีไซเคิลผลิตภัณฑ์) ต่ำกว่ารถยนต์รุ่น E 350 CGI ที่มีสมรรถนะใกล้เคียงกันและใช้เครื่องยนต์แบบเชื้อเพลิงฟอสซิลถึงร้อยละ 44 และหากใช้แต่พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนเพื่อประจุแบตเตอรี่แล้ว ค่าความแตกต่างดังกล่าวจะสูงถึงร้อยละ 63 อีกทั้งยังมีอัตราการใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานหลัก (น้ำมัน) ต่ำกว่ารถยนต์รุ่น E 350 CGI ที่ร้อยละ 31 ถึง 48 ตลอดอายุของผลิตภัณฑ์อีกด้วย
โดย The E 350 e มาพร้อมกับความประหยัดพลังงานด้วยอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยถึง 40 – 47.62 กิโลเมตร/ลิตร พร้อมด้วยการปล่อย CO2 เพียง 49-57 กรัม/กิโลเมตร รวมถึงขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า หรือ EV เพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 33 กิโลเมตร ซึ่งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบที่เมอร์เซเดส-เบนซ์เลือกใช้จะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า และให้กำลังรวมกัน 210 กิโลวัตต์ (286 แรงม้า) และมีแรงบิดสูงถึง 550 นิวตันเมตร การผสมผสานเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้านี้ช่วยให้รถยนต์รุ่น The E 350 e นับเป็นรถยนต์ที่มีสมรรถนะการขับขี่เทียบเท่ารถสปอร์ตแต่มีอัตราการใช้พลังงานต่ำกว่ารถยนต์คอมแพกต์ทั่วไป
รวมทั้งรุ่นอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกันที่ร่วมทริปในครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็น The C 350 e จำนวน 4 รุ่น ได้แก่ C 350 e AMG Dynamic, C 350 e Exclusive, C 350 e Avantgarde และ C 350 e Estate AMG Dynamic The S 500 e จำนวน 3 รุ่น ได้แก่ S 500 e Executive, S 500 e Exclusive และ S 500 e AMG Premium The GLE 500 e จำนวน 3 รุ่น ได้แก่ GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic และ GLE 500 e 4MATIC Exclusive ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ที่ได้รวบรวมสุดยอดยานยนต์ในกลุ่มปลั๊กอินไฮบริดครบทั้งพอร์ทโฟลิโอมาให้สื่อมวลชนได้ทดสอบสมรรถนะกันอย่างเต็มที่ตลอดเส้นทางความยาวกว่า 800 กิโลเมตรจากกรุงเทพจนถึง จ.พังงา
นอกจากการทดสอบสมรรถนะของรถยนต์ในกลุ่มปลั๊กอินไฮบริดแล้ว ยังมีอีกหนึ่งความภูมิใจกับการสนับสนุนในด้านต่างๆ แก่โรงเรียนเยาววิทย์ จ.พังงา โดยได้มอบเงินสนับสนุนทางการศึกษาจำนวน 500,000 บาท พร้อมด้วยชุดอุปกรณ์เครื่องเขียน ซึ่งประกอบด้วยสมุดจดบันทึกที่มีตราประทับพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ดินสอ ยางลบ และกบเหลาดินสอจำนวน 300 ชุด โดยชุดเครื่องเขียนที่นำมามอบให้เป็นการต่อยอดมาจากกิจกรรมจัดทำชุดเครื่องเขียนเพื่อเด็กนักเรียนผู้ยากไร้ที่จัดขึ้นที่ “เมอร์เซเดส มี บ็อกซ์ (Mercedes me BOX)” เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งในปีนี้ยังได้วางแผนที่จะนำอุปกรณ์เครื่องเขียนเหล่านี้ไปบริจาคให้กับเด็กนักเรียนผู้ยากไร้ตามเขตพื้นที่ต่างๆ ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ จะเข้าไปจัดกิจกรรม สตาร์ เฟส โรดโชว์ (Star Fest Roadshow) อีกด้วย
สำหรับโรงเรียนเยาววิทย์ ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดพังงา ห่างจาก จ.ภูเก็ต 135 กิโลเมตร เป็นโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แบบกินนอนสำหรับเด็กๆ ด้อยโอกาส ก่อตั้งโดยมูลนิธิ “Children’s World Academy” ซึ่งจดทะเบียน ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และประเทศไทย อีกทั้งยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จทรงเป็นองค์ประธานเปิดโรงเรียนอย่างเป็นทางการ เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2549 โดยมีจุดประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้กับนักเรียนในโครงการได้อย่างเต็มที่ ด้วยการส่งเสริมด้านการศึกษาที่มีคุณภาพแก่เด็กนักเรียน เพื่อนำความรู้ความสามารถมาพัฒนาตนเองและสังคม
ปัจจุบันมีนักเรียนในความอุปการะมากกว่า 140 คน ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 4-18 ปี โดยทางโรงเรียนได้ให้ความช่วยเหลือด้านที่พัก การศึกษา และอื่นๆ รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา ซึ่งให้หลักสูตรเดียวกันกับการศึกษาไทยในระดับปฐมวัย และยังให้ความสำคัญในการเรียนภาษาอังกฤษอีกด้วย รวมถึงเน้นการเรียนรู้แบบบูรณาการ เพื่อเสริมสร้างทักษะการใช้ชีวิต ตลอดจนเรียนรู้ในการพัฒนาตนเองและสังคมอีกด้วย
ทั้งนี้ นับเป็นระยะเวลากว่า 11 ปีแล้ว นับตั้งแต่โรงเรียนแห่งนี้ได้รับการก่อตั้งขึ้น ในปีพ.ศ. 2549 เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ได้รับผลกระทบจากภัยสึนามิทั้งในเรื่องของเงินทุนสนับสนุนด้านการศึกษา อุปกรณ์การเรียนต่างๆ การลงพื้นที่เพื่อร่วมปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณโรงเรียน ตลอดจนการมอบโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กด้อยโอกาสเพื่อให้พวกเขาได้มีศักยภาพในการใช้ชีวิตและประกอบอาชีพการงานที่ดีในอนาคต ซึ่งกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในด้านความมุ่งมั่นและการเล็งเห็นถึงความสำคัญในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและส่วนรวมได้เป็นอย่างดี
เรื่อง: พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th