เมอร์เซเดส-เบนซ์ S 560 e AMG Premium
เมอร์เซเดส-เบนซ์ S 560 e AMG Premium
ความหรูหราระดับผู้นำ State of the ART แห่งโลกยานยนต์
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ถือว่าเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมในไทยมาอย่างยาวนาน และเป็นรถยนต์เพียงแบรนด์เดียว ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไหร่ ยังคงแสดงออกถึงสัญลักษณ์ของความเป็นผู้นำได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าโลกแห่งยนตรกรรมจะก้าวสู่โลกแห่งยานยนต์ไฟฟ้า เมอร์เซเดส-เบนซ์ สามารถพาตัวเองไปสู่อนาคตได้อย่างมั่นคง ด้วยการวางรากฐานของเทคโนโลยีให้ล้ำหน้าอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ S 560 e AMG Premium ที่จะมาเติมเต็มทุกแนวคิดเกี่ยวกับการเดินทางแห่งอนาคต
สำหรับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ S 560 e AMG Premium เป็นรถยนต์แบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด (Plug-in Hybrid) เจเนอเรชันที่ 3 ภายใต้แบรนด์ EQ บนตัวถังแบบซาลูนระดับหรูหราที่สุด ทั้งยังเป็นรุ่นประกอบในประเทศ ที่ทำให้ราคาน่าสนใจมากขึ้น รวมทั้งสามารถขับเคลื่อนด้วยการใช้พลังงานจากไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ได้ระยะทางไกลกว่ารุ่นที่แล้วถึง 60%
ด้วยขุมพลังการขับเคลื่อนผสานพลังแห่งอนาคตแบบเบนซิน V6 ขนาด 3.0 ลิตร ความแรงระดับ 367 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร พ่วงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ EQ Power ที่ให้พละกำลังอีก 122 แรงม้า ทำให้ได้ System Output มากถึง 476 แรงม้า แต่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่า 50 กรัมต่อกิโลเมตร ทำให้ได้ชื่อว่าเป็นรถหรูระดับแรงและรักษ์โลกอย่างไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียว
รูปโฉมที่สง่างาม แฝงไว้ด้วยความทรงพลัง
เมอร์เซเดส-เบนซ์ S 560 e AMG Premium ให้ความหรูหราและทันสมัย ด้วยกระจังหน้าแบบ 3 ก้าน กันชนหน้า-หลัง และสเกิร์ตข้าง AMG ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ต AMG แบบ Multi-Spoke ขนาด 20 นิ้ว สีไทเทเนียมเกรย์ ประกบด้วยไฟหน้าสุดล้ำแบบ Multibeam LED จำนวน 84 หลอด พร้อมฟังก์ชัน Ultra Range Highbeam ที่เสริมทัศนวิสัยการขับขี่ในยามค่ำคืน สามารถปรับความสว่างและความยาวของลำแสงไฟหน้าให้ส่องได้ไกลกว่า 650 เมตร โดยอัตโนมัติ หากไม่มีรถวิ่งสวนมา ทั้งยังปรับโคมไฟหน้าตามการเลี้ยวของพวงมาลัยได้อีกด้วย ส่วนไฟท้ายเป็นแบบ LED พร้อมเทคโนโลยีไฟเบอร์ออปติก
ห้องโดยสารที่สุดแห่งความสะดวกสบายและหรูหรา
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ห้องโดยสารของรถตระกูล S-Class ให้ความสะดวกสบายแบบเหนือระดับ ด้วย Energizing Comfort Control เทคโนโลยีที่ช่วยผ่อนคลายทั้งร่างกายและอารมณ์ในระหว่างการเดินทาง เพียงกดปุ่มควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ที่รวมเอาระบบปรับอากาศ ระบบฉีดน้ำหอม ระบบฟอกอากาศ ไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสาร (Premium Ambient Light) เสียงดนตรี ฟังก์ชันระบายอากาศและอุ่นที่นั่ง เข้าไว้ด้วยกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีระบบนวดสำหรับเบาะคู่หลัง โดยสามารถเลือกโปรแกรมผ่อนคลายได้ 4 แบบ คือ Refresh, Vitality, Warmth และ Joy ซึ่งติดตั้งมาในเบาะนั่งคู่หน้าและหลัง โดยเป็นเบาะนั่งหุ้มหนัง Exclusive Nappa ที่ปรับให้เบาะนั่งตอนหลังฝั่งซ้ายให้เอนนอนได้ถึง 43.5 องศา พร้อมที่รองขาแบบปรับระดับได้ เสริมด้วยระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-Up Display) ระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto
ขุมพลังที่สุดแห่งสมรรถนะ แรงเร้าใจและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ถึงรูปโฉมจะเป็นที่สุดของความหรูหรา ยังมาพร้อมกับสมรรถนะสุดเร้าใจ ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V6 รหัส M276 ขนาด 3.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบคู่และอินเตอร์คูลเลอร์ ให้พละกำลังสูงสุด 367 แรงม้า ที่ 5,500-6,000 รอบต่อนาที และให้แรงบิดระดับ 500 นิวตันเมตร ที่ 1,800-4,500 รอบต่อนาที เสริมแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ EQ Power อีก 122 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตันเมตร รวมพลังม้ามากถึง 476 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เพียง 5 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. แต่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่า 50 กรัมต่อกิโลเมตร เท่านั้น
ส่งพละกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ (9G-Tronic) แบบใหม่ ที่ประหยัดเชื้อเพลิงลงกว่าเดิม 6.5% ให้การส่งกำลังที่นุ่มนวล ต่อเนื่อง ลดเสียงรบกวน และช่วยให้สามารถลดระดับเกียร์ลงได้หลายระดับ หากต้องการเร่งแซงแบบคิกดาวน์ พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Steering-Wheel Gearshift Paddles) เสริมด้วยความนุ่มสบาย และให้ความสมดุลด้วยระบบช่วงล่างที่สามารถปรับระดับช่วงล่างแบบถุงลม (Airmatic) พร้อมระบบควบคุมระดับอัตโนมัติ ซึ่งสามารถยกความสูงของตัวรถเพิ่มได้อีก 30 มิลลิเมตร เพื่อให้ตัวรถสูงพ้นจากพื้นถนนมากพอ และเมื่อต้องการใช้ความเร็วสูง ระบบจะปรับลดความสูงลง 20 มิลลิเมตร โดยอัตโนมัติ เพื่อทำให้รถลู่ลม ลดแรงต้านอากาศลง เป็นการเสริมประสิทธิภาพในการขับให้สนุกมากขึ้น พูดง่ายๆ ว่า ไม่ว่าจะปรับโหมดแบบ Comfort หรือ Sport ระบบกันสะเทือนจะปรับใช้งานให้สอดคล้องในแต่ละโหมดนั่นเอง
แบตเตอรี่ลิเทียม-ไอออน หัวใจหลักที่พาให้ไปได้ไกลกว่าเดิม
หัวใจของรถแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด นอกจากเครื่องยนต์แล้ว ยังมีแบตเตอรี่ที่เป็นส่วนสำคัญในการทำให้รถนั้นขับเคลื่อนได้ระยะทางที่มากขึ้น ซึ่งใน เมอร์เซเดส-เบนซ์ S 560 e AMG Premium เลือกใช้แบตเตอรี่ลิเทียม-ไอออน ชนิดใหม่ ที่สามารถอัดประจุไฟฟ้าได้มากกว่าเดิม ส่งผลให้ระยะทางสูงสุดที่ขับได้ด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว เพิ่มขึ้นจากรุ่นที่แล้วถึง 60%
สำหรับเซลล์แบตเตอรี่ลิเทียม-ไอออน รุ่นใหม่นี้ มีส่วนผสมของลิเทียม-นิกเกิล-แมงกานีส-โคบอลต์ (Li NMC) ที่ผลิตโดย ดอยช์ แอกคิวโมทีฟ (Deutsche Accumotive) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของกลุ่มเดมเลอร์ทั้งหมด พัฒนาให้แบตเตอรี่มีขนาดที่เล็กลงกว่าเดิม และให้ประจุไฟฟ้าได้มากกว่าเดิมร้อยละ 50 ซึ่งหากใช้เครื่องชาร์จไฟฟ้าแบบวอลล์บ๊อกซ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และอัดประจุไฟฟ้าด้วยกำลังไฟสูงสุด จะอัดประจุไฟฟ้าจากร้อยละ 10 ให้เต็ม 100% ในเวลาประมาณ 90 นาที และประมาณ 5 ชั่วโมง หากอัดประจุไฟฟ้าด้วยกำลังไฟฟ้าจากแหล่งกำเนิดไฟฟ้าพื้นฐานทั่วไป
ปลอดภัยสูงสุดด้วยเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่ระดับสูง Driving Assistance Package
เมอร์เซเดส-เบนซ์ S 560 e AMG Premium จัดหนักทั้งความหรูหรา สะดวกสบาย สมรรถนะที่ล้ำเลิศ เท่านั้นยังไม่พอ ยังเสริมด้วยระบบเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่และระบบความปลอดภัยแบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Active Distance Assist DISTRONIC เป็นระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า ทำงานโดยใช้สัญญาณเรดาร์ที่ติดตั้งบริเวณกระจังหน้า และกล้อง STEREO CAMERA ที่ติดตั้งอยู่บนกระจกบังลมหน้า ในการคำนวณระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถคันหน้าที่สัมพันธ์กับความเร็วของรถในขณะนั้น โดยการเพิ่มและลดความเร็วของรถโดยอัตโนมัติ
ระบบ Active Blind Spot Assist เทคโนโลยีที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการชนกับรถยนต์หรือจักรยานยนต์ที่อยู่ในจุดอับสายตา ในขณะที่กำลังจะเปลี่ยนช่องจราจร
ระบบ Active Lane Keeping Assist ระบบที่ช่วยลดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ ที่มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนช่องจราจรโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งระบบนี้จะทำงานโดยการใช้สัญญาณเรดาร์ในการตรวจจับช่องจราจรและรถยนต์ที่อยู่ในช่องจราจรอื่น หากระบบตรวจพบความเสี่ยงที่จะชนกับรถยนต์คันอื่น ระบบจะช่วยดึงรถกลับเข้าสู่ช่องจราจรเดิมโดยอัตโนมัติ ด้วยการเบรกล้อฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกับรถยนต์ที่ตรวจจับได้
ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE® PLUS ระบบนี้ทำงานโดยใช้สัญญาณเรดาร์ตรวจจับรถที่วิ่งอยู่ด้านหลัง หากเรดาร์ตรวจพบรถยนต์จากด้านหลังที่วิ่งเข้ามาด้วยความเร็ว ซึ่งเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ ไฟกะพริบฉุกเฉินจะกะพริบด้วยความถี่ที่มากกว่าปกติ เพื่อเตือนผู้ขับขี่รถคันหลัง หลังจากนั้นระบบจะรัดเข็มขัดให้กระชับขึ้น ระบบเบรกจะล็อกล้อทั้งสี่ไว้ให้อยู่กับที่ พร้อมปรับพนักพิงศีรษะให้ชิดกับศีรษะ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของอาการบาดเจ็บบริเวณต้นคอ หากมีการชนท้ายเกิดขึ้น
ระบบ Active Braking Assist และฟังก์ชัน Cross-Traffic เทคโนโลยีที่ช่วยหลีกเลี่ยงการชนกับรถยนต์คันอื่น หรือคนเดินถนนในบริเวณทางแยก โดยสัญญาณเรดาร์ที่ติดอยู่บริเวณกันชนด้านหน้า และกล้อง MPC จะตรวจจับเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยงต่อการชน และจะส่งเสียงเตือนคุณให้เบรก หากคุณตอบสนอง ระบบจะช่วยเพิ่มกำลังเบรกไปจนเต็มประสิทธิภาพ แต่หากไม่มีการตอบสนอง ระบบจะช่วยเบรกอัตโนมัติตามแต่ละสถานการณ์ นอกจากนี้ ในกรณีที่ระบบไม่สามารถหลบหลีกวัตถุด้านหน้าได้ทัน ระบบจะช่วยลดความเร็วลง เพื่อช่วยลดความรุนแรงของอุบัติเหตุ
ระบบ Evasive Steering Assist ระบบช่วยหลบหลีกการชนจากด้านหน้า โดยสัญญาณเรดาร์และกล้อง STEREO CAMERA ของรถยนต์ จะช่วยตรวจจับคนและสิ่งของที่จะก่อให้เกิดอันตราย โดยระบบจะเตือนให้คุณตอบสนองและหักหลบสิ่งกีดขวางด้วยตนเองเท่านั้น พร้อมช่วยส่งแรงบิดที่เหมาะสมในการหักหลบสิ่งกีดขวางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบ Active Emergency Stop Assist ในกรณีที่ผู้ขับขี่ไม่มีการตอบสนองต่อการขับขี่เป็นเวลานาน เช่น คนขับหลับในหรือหมดสติ และระบบตรวจจับได้ว่าไม่มีการเคลื่อนไหวของพวงมาลัยเลย ระบบจะส่งสัญญาณเตือนเพื่อให้ผู้ขับขี่กลับมาประคองพวงมาลัยรถ แต่ถ้ายังไม่มีการตอบสนองจากผู้ขับขี่ ระบบจะค่อยๆ หยุดรถอัตโนมัติในช่องจราจรนั้น พร้อมกับเปิดระบบไฟกระพริบฉุกเฉิน
ระบบช่วยนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Parking Pilot including Active Parking Assist) ทั้งการจอดแบบขนานและการจอดแบบเข้าซอง โดยกล้องแสดงภาพรอบทิศทางแบบ 360 องศา จะแสดงภาพบริเวณรอบคันรถในจอแสดงผล รวมถึงภาพจากมุมสูง จึงช่วยให้เห็นสิ่งกีดขวางรอบคันรถ ทั้งนี้ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนทั้งภาพและเสียง ในขณะที่กำลังจอดรถด้วยความเร็วไม่เกิน 10 กม./ชม. โดยเป็นการประสานการทำงานของระบบ Active Steering ระบบ Speed Control และระบบเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ แม้ในที่จำกัดหรือในกรณีที่ต้องขยับรถหลายครั้ง พร้อมเพิ่มความปลอดภัยยิ่งขึ้น ด้วยระบบ Drive Away Assist ที่ส่งสัญญาณเตือนเมื่อตรวจจับความเสี่ยงต่อการชนในขณะที่เหยียบคันเร่งหรือเบรกสลับกัน หรือเมื่อผู้ขับขี่เข้าเกียร์ไม่ถูกต้อง
สำหรับราคาค่าตัวของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ S 560 e AMG Premium รุ่นประกอบในประเทศ อยู่ที่ 6,999,000 บาท เป็นยนตรกรรมระดับหรูที่สะดวกสบายที่สุด ใช้พลังงานไฟฟ้าที่น่าทึ่ง สนุกไปกับการพุ่งทะยานแบบแทบจะไร้เสียง รวบรวมความทันสมัยและเทคโนโลยีสุดล้ำที่คุ้มค่าจริงๆ
เรื่อง: กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th