“เอ-ลิสฯ” ลุยตลาดกล้องเต็มสูบ ปั้น “ไลก้า” ชิงตลาดกล้องซูเปอร์ลักชัวรี่
บริษัท เอ-ลิส คอร์ปอเรท จำกัด แถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการในคว้าสิทธิ์ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย แบรนด์กล้องระดับโลก “Leica” (ไลก้า) ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ย้ำชัดลุยตลาดกล้อง ซูเปอร์ลักชัวรี่เต็มสูบปี 2559 – 2560 ผ่านการสร้างประสบการณ์ตรงที่ดีให้กับผู้บริโภคผ่าน Leica Store (ไลก้า สโตร์) คาดสร้างการรับรู้ – ปั๊มยอดขายเพิ่ม 2 เท่าตัว เป็น 200 ล้านบาท ภายใน 2 ปี
นายดนัย สรไกรกิติกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ-ลิส คอร์ปอเรท จำกัด เผยว่า “นี่เป็นการร่วมมือกันครั้งแรกของ บริษัท เอ-ลิส คอร์ปอเรท จำกัด และ ไลก้า คาเมร่า โดย เอ-ลิสฯ นับเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์ลักชัวรี่จากต่างประเทศ ยาวนานมากว่า 10 ปี ในปีนี้บริษัท เอ-ลิส คอร์ปอเรท จำกัด ได้เป็นตัวแทนในการนำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เป็นตำนานระดับโลก อย่าง Leica (ไลก้า) ในฐานะผู้บริหารแบรนด์จึงมองว่าการนำกล้องไลก้า ซึ่งเป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ เพื่อกลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์ รวมทั้งชื่นชอบความ Heritage (เฮอริเทจ) ของแบรนด์เป็นหลัก โอกาสในการทำตลาดจึงมีค่อนข้างสูง เนื่องจากพวกเขาเหล่านั้นมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับไลก้าอยู่แล้ว โดยกลุ่มฐานลูกค้า Leica ในประเทศไทย ปัจจุบันมีอยู่พอสมควร รวมทั้งกลุ่ม Potential customers (โพเทนเชียล คัสโตเมอร์) ที่มีกำลังซื้อก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
สำหรับผลิตภัณฑ์ของ ไลก้า ประเทศไทย แบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่
1) กล้องไลก้า ดิจิตอล คอมแพ็ค (Digital compact) สำหรับผู้ใช้งานเริ่มต้น จุดเด่น คือ มีระบบไวไฟ แบ่งเป็น 6 ผลิตภัณฑ์ อาทิ Leica C, Leica Delux, Leica V Lux, Leica X, Leica XU, Leica Q ราคาเริ่มต้นที่ 20,000 – 160,000 บาท
2) กล้องไลก้า มิเร่อเลส (Mirrorless) แบ่งเป็น 2 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ Leica T และ Leica SL ราคา 59,000 – 270,000 บาท (ไม่รวมราคาเลนส์)
3) กล้องไลก้าเอ็ม ซีรี่ส์ (M Series) มีทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่ M262, M240 (จุดเด่นคือ การ customize เลือกสีหนังพื้นผิวของกล้องได้), MP240 และ M Monochrome ราคาอยู่ที่ 210,000 – 280,000 บาท (ไม่รวมราคาเลนส์)
4) กล้องไลก้า เอส ซีรี่ส์ (S Series) สำหรับการใช้งานในสตูดิโอ ราคา 700,000 (ไม่รวมราคาเลนส์) และ
5) กล้องส่องทางไกล ราคา 23,000 – 140,000 บาท” คุณดนัย กล่าวเพิ่มเติม
สำหรับแบรนด์ไลก้า ในประเทศไทย จะเน้นกลยุทธ์ในเรื่องของการพัฒนา Leica Store (ไลก้า สโตร์) ให้เป็น 1-stop-service (วัน สต็อป เซอร์วิส) เทียบเท่ากับไลก้าสโตร์ในต่างประเทศ เน้นการสร้างประสบการณ์ตรงที่ดีให้กับผู้บริโภค คือ เน้นหลักในเรื่องของการบริการ (service) รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญ (specialist) ที่ประจำอยู่ในสโตร์ โดยปัจจุบันมี 1 สาขา คือ ชั้น 2 ศูนย์การค้าเกษรพลาซ่า ซึ่งในอนาคตมีแผนขยายเพิ่มเติมอีก 2 – 3 สาขา นอกจากนั้น ยังมีการทำ Leica Pop-up Store (ไลก้า ป๊อป-อัพ สโตร์) โดยจะตั้งอยู่ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี และศูนย์การค้าสยาม ดิสคัฟเวอรี่ นอกจากนั้น ยังมีการทำตลาดกับคู่ค้า หรือดีลเลอร์ในประเทศเพิ่มเติมอีกด้วย
ด้านแผนการตลาดเตรียมทุ่มงบ 10 ล้านบาท ในการทำตลาด โดยเล็งเห็นช่องทางในการรวมกลุ่มคนที่มีความชื่นชอบไลก้า โดยรวมกลุ่มสร้างกิจกรรมให้กับคนกลุ่มนี้ พร้อมทั้งการสนับสนุนการจัดนิทรรศการผลงานของช่างภาพที่ใช้กล้องไลก้าอย่างต่อเนื่อง ด้านยอดขายหวังผลระยะสั้นไว้ภายในปีนี้ จะสามารถดับเบิ้ล มาร์เก็ตให้ได้เป็น 2 เท่า หรืออยู่ที่ประมาณ 200 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมองว่าตลาดกล้องในประเทศไทย ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง สำหรับไลก้านั้นเป็นกล้องที่โดดเด่นและมีความเป็นไลฟ์สไตล์ค่อนข้างสูง อีกทั้งสินค้าของไลก้าเอง ไม่ได้มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่องเหมือนกับแบรนด์อื่น ดังนั้น เราจึงเลือกใช้กลยุทธ์ในเรื่องของราคามาทำตลาด โดยมีการลดราคาเลนส์ประมาณ 10% ทำให้เราสามารถสู้ราคากับตลาดต่างประเทศได้อย่างแน่นอน รวมทั้งราคาของสินค้าในปัจจุบัน มีหลากหลาย รองรับความต้องการของกลุ่มผู้ใช้งานได้หลายรูปแบบ ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะสามารถครองตลาดกล้องซูเปอร์ลักชัวรี่ได้ภายใน 2 ปีนี้ (ตั้งแต่ 2559 – 2560)”
ปัจจุบัน แบรนด์กล้องระดับโลก “ไลก้า” ในประเทศไทย จัดจำหน่ายโดย บริษัท เอ-ลิส คอร์ปอเรท จำกัด มีสาขาอยู่ที่ “Leica Store” ชั้น 2 ศูนย์การค้าเกษรพลาซ่า รายละเอียดเพิ่มเติมทางเฟซบุ๊ค แฟนเพจ Leica Store Bangkok และอินสตาแกรม @leicathailand_official
เรื่อง/ภาพ : พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย กรังด์ปรีซ์ออนไลน์ GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th