“โคโลราโด ไฮคันทรี สตอร์ม” กับการใช้งานตลอด 1 สัปดาห์ ทำให้หลงรักเข้าง่ายๆ
ส่วนตัวของผู้เขียนแม้ว่าจะไม่ได้มีสไตล์การใช้รถในแบบปิกอัพหรือรถกระบะสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นรถซีดานกับรถเล็กๆ มากกว่า แต่ด้วยวิถีชีวิตที่ต้องวนเวียนตระเวนทำข่าวทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ช่วงหลังๆ มานี้รถกระบะจึงค่อนข้างมีผลทางจิตใจมากขึ้น ยิ่งต้องเจอสภาพฝนตก รถติด น้ำท่วมกันอยู่บ่อยๆ และบังเอิญได้ เชฟโรเลต โคโลราโด ไฮคันทรี สตอร์ม มาใช้งานในช่วง 1 สัปดาห์ที่เป็นวันหยุดยาว กลับทำให้รู้สึกติดใจและมันช่างตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างคุ้มค่าจริงๆ
สำหรับ เชฟโรเลต โคโลราโด ไฮคันทรี สตอร์ม (Chevrolet Colorado High Country Storm) เผยโฉมครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2017 ก่อนงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 38 เพียงไม่กี่วัน และตั้งแต่ได้เห็นต้องพูดว่ามันช่างมีเสน์ห์เหลือเกิน ด้วยรูปโฉมที่มีการปรับลุคให้ดูหล่อ เท่ห์ รอบคัน เป็นรถกระบะที่จัดเต็มไปด้วยชุดตกแต่งที่ช่วยเสริมให้ดูดุดันและบึกบึนสะดุดตาได้อย่างชัดเจน
แน่นอนว่ารถกระบะนั้นเหมาะที่จะใช้งานในเชิงสมบุกสมบัน ใช้บรรทุกขนของเป็นหลัก แต่ด้วยไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป กลับทำให้รถกระบะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ซึ่งการขับรถกระบะในชีวิตประจำวันกลายเป็น “สไตล์” ที่ทันสมัยไปซะอย่างนั้น และเจ้าโคโลราโด ไฮคันทรี สตอร์ม คันนี้ก็สมบูรณ์แบบมากสำหรับการใช้งานในแต่ละวัน รวมถึงใช้งานอย่างสมบุกสมบัน แถมยังหล่อเหลาเอาเรื่องด้วยชุดแต่ง “สตอร์ม” ที่พัฒนามาจากพื้นฐานของกระบะรุ่นโคโลราโด ไฮคันทรี แต่แต่งเติมให้โดดเด่นมากขึ้นด้วยอุปกรณ์ตกแต่งสีดำทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นสปอร์ตบาร์, ล้ออัลลอยสีดำดีไซน์สปอร์ตขนาด 18 นิ้ว, มือจับเปิดประตู, มือจับเปิดฝาท้าย, เส้นขอบหน้าต่าง และกันชนท้ายพร้อมเซ็นเซอร์ถอยหลัง
โดยชุดแต่งพิเศษนี้ ยังถูกเพิ่มเติมด้วยสติ๊กเกอร์บนฝากระโปรงหน้าพร้อมโลโก้ High Country , สติ๊กเกอร์ Storm ที่ตกแต่งด้านข้างตัวรถและกระจกมองข้างสีดำ และที่มากไปกว่านั้น ยังยกระดับสีน้ำเงินให้ดูน่ามองแฝงความสง่างามมากขึ้น ด้วยสีตัวถังที่ชื่อเก๋ไก๋ว่า “Blue Me Away” สีน้ำเงินเมทัลลิก ซึ่งผสมผสานกันได้อย่างลงตัวทั้งคัน แต่สำหรับใครที่ไม่ถูกใจสีนี้ ยังมีสีแดง Pull Me Over Red, สีดำ Black Meet Kettle Metalic, สีขาว Summit White, สีเทาเมทัลลิก Satin Steel Grey Metallic และ สีน้ำตาลเมทัลลิก Auburn Brown Metallic ที่โดดเด่นไม่แพ้กันให้เลือกอีกต่างหาก
สำหรับขุมพลังของ โคโลราโด ไฮคันทรี สตอร์ม ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดูราแม็กซ์ 4 สูบ ดีเซล เทอร์โบ 2.5 ลิตร ด้วยระบบเทอร์โบแปรผันหรือ VGT (Variable Geometry Turbocharger) ช่วยให้เครื่องยนต์ดูราแม็กซ์ 2.5 ลิตรรุ่นนี้มีพละกำลัง 180 แรงม้า (132 กิโลวัตต์) ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิด 440 นิวตันเมตร (325 ฟุต-ปอนด์) ที่รอบต่ำ 2,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด มีทั้งระบบขับเคลื่อนสองล้อและขับเคลื่อนสี่ล้อ และเครื่องยนต์รุ่นนี้ยังผ่านมาตรฐานไอเสียยูโร 4 อีกด้วย
ส่วนความปลอดภัยยังคงจัดเต็มอย่างคุ้มค่า ด้วยระบบความปลอดภัยแบบแอคทีฟและแพสซีฟ ทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้าสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ตลอดจนถุงลมนิรภัยป้องกันหัวเข่าสำหรับผู้ขับขี่ ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและการลื่นไถล Traction Control System (TCS), ระบบช่วยเบรกกะทันหัน Panic Brake Assist (PBA), ระบบกระจายแรงเบรก Electronic Brake Force Distribution (EBD), ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว Electronic Stability Control (ESC), ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ Anti-Rolling Protection (ARP), ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน Hill Descent Control (HDC) และระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางชัน Hill Start Assist (HSA) โคโลราโด ไฮคันทรี สตอร์มยังมีระบบแจ้งเตือนเมื่อออกจากช่องจราจร ระบบแจ้งเตือนการชนด้านหน้า ระบบช่วยเหลือการจอดด้านหน้าและหลัง และระบบตรวจวัดและแจ้งเตือนแรงดันลมยาง
รวมถึงติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายอีกเพียบ เช่น ระบบช่วยเหลือการจอดด้านหน้าและกล้องมองหลังช่วยให้การขับขี่ในที่คับแคบมีความสะดวกง่ายดายมากขึ้น มีเซ็นเซอร์ตรวจจับน้ำฝน ไฟหน้าเปิด/ปิดอัตโนมัติ และฟังก์ชั่นรีโมทสตาร์ทครั้งแรกในรถระดับเดียวกัน และรถกระบะรุ่นล่าสุดนี้ยังมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยอย่างระบบเชฟโรเลต มายลิงค์ อินโฟเทนเมนท์ การเชื่อมต่อแอปเปิล คาร์เพลย์ และสิริอายส์ฟรี ขณะที่ฟังก์ชั่นอื่นๆ ยังรวมถึงกระจกหน้าต่างคู่หน้าที่เลื่อนลงเล็กน้อยเพื่อช่วยในการปิดประตูอีกด้วย
โดยหลังจากที่ได้รับรถมาก็เกิดเหตุการณ์ที่เหมาะกับ โคโลราโด ไฮคันทรี สตอร์ม เป็นอย่างมาก “ขับ Storm ต้อง Strong” ผู้เขียนว่าอย่างนั้น เพราะฝนฟ้าตกลงมาต้อนรับตลอดทั้งวัน แถมยังตกลงมาอีกหลายวัน พูดได้ว่าขับสตอร์มลุยน้ำเกือบทุกวัน แต่นั่นยิ่งกลับทำให้โคโลราโด ไฮคันทรี สตอร์ม ดูโดดเด่นยิ่งขึ้น เพราะด้วยตัวถังแบบยกสูง ช่วยให้ขับลุยระดับน้ำที่ท่วมขับได้อย่างสบาย อีกทั้งแม้ว่าตัวถังจะมีขนาดใหญ่ แต่การบังคับควบคุมกลับทำได้อย่างง่ายดาย น้ำหนักของพวงมาลัยที่ค่อนข้างเบาทำให้การใช้งานในเมืองที่มีการจราจรที่แออัดคล่องตัวมากขึ้น จะติดปัญหาอย่างเดียวคือเรื่องที่จอดรถเท่านั้น ที่ค่อนข้างลำบากในการหาที่จอดเพราะตัวถังรถนั้นใหญ่เหลือเกิน แต่อย่างน้อยการถอยจอดก็เป็นเรื่องง่ายเพราะมีกล้องช่วยถอยจอดและระบบแจ้งเตือนการชนที่มีอยู่รอบคันเป็นตัวช่วยอยู่แล้ว
หลายครั้งที่ขับรถไปตามเส้นทางต่างๆ ในช่วงที่ใช้งานทั้งในเมืองและนอกเมือง มักจะได้เห็นสายตาที่มองมาที่รถคันนี้เสมอ (เดาว่าคงมองว่ารถสวย ไม่เกี่ยวกับคนขับแน่นอน) แต่ที่น่าประหลาดใจคือ กลับมีผู้หญิงที่สนใจเจ้าโคโลราโด ไฮคันทรี สตอร์ม และเดินเข้ามาถามรายละเอียดอยู่พอสมควร หรือเดี๋ยวนี้สาวๆ เปลี่ยนใจจากรถเล็กๆ มาขับกระบะกันซะแล้ว..
รีโมทสตาร์ทที่สามารถสั่งให้รถสตาร์ทเครื่องได้ในระยะถึง 100 เมตร
แต่สำหรับผู้เขียนเองกับการใช้งาน “โคโลราโด ไฮคันทรี สตอร์ม” ตลอด 1 สัปดาห์ ในแบบการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน มันทำให้รู้สึกว่าคาแรคเตอร์ของรถกระบะในปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก ภาพลักษณ์ก็เปลี่ยนไป โดยเฉพาะเจ้าสตอร์มคันนี้ที่สามารถขับไปตามงานหรือไปตามสถานที่หรูหราต่างๆ ได้อย่างยืดอก เพราะลุคเค้าดูหล่อเท่และดูแพง ที่สำคัญคือเหมาะกับกรุงเทพเวลาฝนตกน้ำท่วมมากๆ สบายใจจริงๆ แต่ที่เป็นจุดเด่นนอกจากรูปแบบตัวถังที่โดดเด่นด้วยชุดแต่งสตอร์มแล้ว คือเรื่องของความประหยัด ตลอดเวลาที่ใช้งานเฉลี่ยแล้วการใช้งานทั้งนอกเมืองและในเมือง เจอสภาพรถติดหนักๆ กว่า 70% ของการขับรถ ยังมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ 12 กิโลเมตรต่อลิตร เติมน้ำมันดีเซลไป 500 บาท ได้มาประมาณ 20 ลิตร ขับไปเมืองกาญจนบุรียังมีน้ำมันเหลือ แต่ถ้าจะขับแบบถังเดียว (76 ลิตร) มีจบทะลุเชียงใหม่สบายๆ กลายเป็นรถที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างลงตัว เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของรถกระบะที่น่าสนใจมากทีเดียว แถมราคาก็น่าพิจารณาอีกด้วย โดยรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ ราคา 1,028,000 บาท และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ ราคา 1,098,000 บาท…ตอนนี้ชักเริ่มติดใจแล้วล่ะ
เรื่อง/ภาพ : พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th