10 รุ่นของ Mitsubishi Lancer Evolution หนึ่งในรถแรงขวัญใจขาซิ่งยุคปี 2000
หนึ่งในรถสมรรถนะสูงยอดนิยมที่ Mitsubishi เคยผลิตออกมาคือ Lancer Evolution หรือที่ถูกเรียกสั้นๆ ว่า ”อีโว” สปอร์ตซีดานที่ใช้พื้นฐานจากรถซี-เซ็กเม้นต์รุ่น Lancer ซึ่งในช่วงแรกที่ทำตลาดเฉพาะในญี่ปุ่นมักถูกนำเข้าโดยผู้ผลิตอิสระในหลายๆ ประเทศ รวมทั้งบรรดาขาซิ่งในบ้านเรายังมักนำเอา Lancer รุ่นธรรมดามาเปลี่ยนเครื่องยนต์และแต่งตาม และต่อไปนี้คือเรื่องราวของสปอร์ตซีดาน “อีโว” ที่ถูกทำต่อเนื่องมาถึง 10 รุ่นโดยใช้เลขโรมันต่อท้ายชื่อในแต่ละรุ่นจนปิดฉากการผลิตไปเมื่อปี 2016 โดยที่ยังมีนักซิ่งจำนวนมากเฝ้ารอรุ่นที่ 11 อยู่
Evolution (1992-1994)
จุดเริ่มต้นของ “อีโว” คือการใช้เจนเนอเรชั่นที่ 5 ของ Lancer เป็นพื้นฐาน โดยเปิดตัวออกมาครั้งแรกในเดือนตุลาคมปี 1992 ซึ่งในขณะนั้นการแข่งขันเวิร์ลแรลลีแชมเปียนชิพ FIA Group A ถูกกำหนดว่าต้องเป็นรถที่มีการผลิตไม่น้อยกว่า 2,500 คันต่อปี
อีโว 1 มาพร้อมเครื่องยนต์ 4G63 2.0 ลิตร เทอร์โบ และระบบขับเคลื่อน 4 ที่นำมาจากรถรุ่นใหญ่กว่าของ Mitsubishi อย่าง Galant VR-4 และใช้เกียร์แมนนวล 5 สปีดส่งกำลังทำให้สปอร์ตซีดานขนาดคอมแพกต์รุ่นนี้มีกำลัง 247 แรงม้า แรงบิด 309 นิวตัน-เมตร โดย Lancer Evolution รุ่นแรกมี 2 เกรดคือ RS ที่เหมาะสำหรับนำไปปรับจูนเป็นรถแข่งโดยตัวรถไม่มีทั้งกระจกและเบาะปรับไฟฟ้า, ระบบ ABS, ที่ปัดน้ำฝนกระจกหลัง รวมทั้งใช้ล้อเหล็กกล้าจนทำให้ลดน้ำหนักลง 70 กิโลกรัมจากเกรด GSR ที่มาพร้อมกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ เหมือนกับรถใช้งานบนถนนทั่วไป
Evolution II (1994-1995)
หลังจากอีโวรุ่นแรกออกมาทำตลาดเพียง 3 ปี อีโว 2 ที่ใช้ Lancer เจนเนอเรชั่นเดียวกันเป็นพื้นฐานก็มาแทนที่ โดยเป็นการอัพเกรดจากรุ่นเดิมอย่างการปรับฐานล้อ ลดน้ำหนักของกันโคลงหน้า พร้อมกับมีการปรับรูปลักษณ์จากรุ่นแรกโดยใช้กันชนหน้าขนาดใหญ่ขึ้น รวมทั้งใช้ยางกว้างขึ้น 10 มม. นอกจากนี้ในส่วนของเครื่องยนต์ซึ่งยังเหมือรุ่นแรกยังถูกปรับเพิ่มกำลังขึ้นเป็น 252 แรงม้าทั้งในเกรด RS และ GSR โดยส่วนใหญ่รถจะมาพร้อกับล้อ OZ ลาย 5 ก้านขนาด 15 นิ้วจากโรงงาน
Evolution III (1995-1996)
การอัพเดตสุดท้ายให้กับอีโวบนพื้นฐานของ Lancer เจนเนอเรชั่น 5 มาพร้อมกับการเพิ่มความดุมากขึ้นให้ภายนอกรวมทั้งมีการปรับบริเวณกระจังหน้าใหม่เพื่อช่วยให้ลมผ่านเข้าสู่กระจังหน้า อินเตอร์คูลเลอร์ และเบรกได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนสเกิร์ตข้างและกันชนหลังใหม่ รวมทั้งใช้สปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อลดการยกตัวของรถ ในส่วนของเครื่องยนต์มีการเพิ่มอัตราส่วนการอัดให้สูงขึ้นกว่า 2 รุ่นที่ผ่านมา ส่งผลให้รถมาพร้อมกับกำลัง 270 แรงม้า และแรงบิด 309 นิวตัน-เมตร
Evolution IV (1996-1998)
พร้อมๆ กับการมาของ Lancer รุ่นที่ 6 อีโว 4 ก็ถูกส่งออกมา และกลายเป็นหนึ่งในรถสปอร์ตซีดานยอดนิยมไปทั่วโลก โดยนอกจากตัวรถซึ่งใช้เป็นพื้นฐานที่เปลี่ยนไปแล้ว อีกจุดเปลี่ยนที่สำคัญของอีโวรุ่นนี้คือมีเปลี่ยนการวางเครื่องยนต์และเพลาส่งกำลัง 190 องศาเพื่อให้มีความสมดุลย์ของน้ำหนักที่ดีขึ้นและลด Torque Steer ลง อีโวรุ่นนี้ยังคงมีสองทางเลือกระหว่าง RS ซึ่งเป็นเกรดที่ตัดบางอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับนำไปใช้แข่ง และ GSR ที่เหมาะสำหรับการใช้งานบนถนนมากกว่าเหมือนเดิม โดยทั้ง 2 เกรดยังคงมาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4G63T 4 สูบ 2.0 ลิตรเหมือนเดิม แต่มีการเปลี่ยนเทอร์โบใหม่ทำให้มีกำลังเพิ่มเป็น 280 แรงม้า แรงบิด 330 นิวตัน-เมตร
Evolution V (1998-1999)
เป็นการอัพเดตแรกของอีโวบนพื้นฐานของ Lancer เจนเนอเรชั่นที่ 6 โดยมีการปรับในหลายๆ จุดอย่างใช้เบาะ Recaro รุ่นสูงขึ้นในเกรด GSR มีการปรับตัวรถบริเวณซุ้มล้อหน้าและหลังใหม่ รวมไปถึงใช้สปอยเลอร์หลังอลูมิเนียมซึ่งถูกปรับมุมเพื่อสร้างแรงกดที่ด้านหลังมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มความกว้างของระยะล้อทั้ง 2 ฝั่งมากขึ้น 10 มม. มีการปรับปรุงในส่วนของเบรก และปรับในบางส่วนของเครื่องยนต์รวมทั้งเทอร์โบจนทำให้มีแรงบิดเพิ่มขึ้นเป็น 373 นิวตัน-เมตร
Evolution VI (1999-2001)
การปรัเปลี่ยนหลักๆ ในอีโว 6 คือส่วนของการระบายความร้อนและความทนทานของเครื่องยนต์ ทำให้รถมาพร้อมกับอินเตอร์คูลเลอร์ที่ใหญ่ขึ้น ใช้ลูกสูบใหม่ และใช้กังหันเทอร์ไบน์ไทเทเนียม-อลูมิไนด์ในเกรด RS ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ใช้กับรถในสายการผลิต อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้ไม่มีผลต่อกำลังเครื่องยนต์ซึ่งยังคงอยู่ที่ 280 แรงม้า แรงบิด 373 นิวตัน-เมตรเหมือนรุ่นก่อนหน้า
นอกจากนี้อีโว 6 ยังมีเวอร์ชั่นพิเศษ Tommi Makinen ออกมาทั้งในเกรด RS และ GSR หลังจากที่นักแข่งแรลลีผู้นี้ขับ Lancer Evolution คว้าแชมป์เวิร์ลแรลลี 4 ครั้งติดต่อกัน โดยรุ่นพิเศษของอีโว 6 มาพร้อมกับกันชนหน้าที่ต่างจากรุ่นปกติ เบาะ Recaro สีแดง/ดำ พร้อมปักสัญลักษณ์ T. Makinen ล้อ Enkai 17 นิ้ว พวงมาลัยและหัวเกียร์หนังจาก Momo รวมไปถึงมาพร้อมกับการลดความสูงลง และใช้สตรัตบาร์ที่ดีขึ้น โดยตัวรถมีสีแดง
Evolution VII (2001-2003)
นี่คือการเปลี่ยนเจนเนอเรชั่นครั้งที่ 2 ของอีโว เพราะใช้พื้นฐานจาก Lancer เจนเนอเรชั่นที่ 7 ซึ่งทาง Mitsubishi ได้มีการปรับเปลี่ยนหลายส่วนของแชสซีส์รถที่ใช้เป็นพื้นฐาน โดยมีการเพิ่มเฟืองท้าย Differential แอคทีฟกลางและใช้เฟืองท้าย Limited-Slip Differential ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอีโว 7 ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4G63 4 สูบ 2.0 ลิตรยังคงมีกำลัง 280 แรงม้า แต่แรงบิดเพิ่มขึ้นเป็น 385 นิวตัน-เมตร นอกจากนี้ยังเป็นอีโวเจนเนอเรชั่นแรกที่มีเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีดเป็นทางเลือกในเกรด GT-A ในขณะที่เกรด RS และ GSR ยังคงใช้เกียร์แมนนวล 5 สปีดส่งกำลัง
Evolution VIII (2003-2005)
จุดอัพเดตหลักๆ ภายนอกของอีโว 8 ที่เปิดตัวตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2003 คือการออกแบบกันชนหน้าและส่วนล่างของกระจังหน้าใหม่เพื่อเพิ่มสมรรถนะในด้านแอโรไดนามิกและการระบายความร้อน ในส่วนของเครื่องยนต์นอกจากจะมีความทนทานขึ้นด้วยการใช้ลูกสูบอลูมิเนียมเกรดสูงขึ้นและใช้ก้านสูบเหล็กกล้าแล้ว ยังมีแรงบิดเพิ่มขึ้นเป็น 392 นิวตัน-เมตรด้วย รวมไปถึงยังเป็นอีโวรุ่นแรกที่มีเกียร์แมนนวล 6 สปีดมาให้ใช้
ตอนต้นปี 2004 ทาง Mitsubishi ก็ทำเกรด Evolution VIII MR (Mitsubishi Racing) ออกมา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่รถมาพร้อมกับหลังคาอลูมิเนียม ช็อกแอบซอร์เบอร์สปอร์ต Bilstein และเพิ่มแรงบิดของรถเป็น 400 นิวตัน-เมตร
Evolution IX (2005-2007)
เป็นอีโวรุ่นสุดท้ายบน Lancer เจนเนอเรชั่น 7 แต่เป็นครั้งแรกที่เครื่องยนต์ 4G63 ที่ใช้มาพร้อมกับเทคโนโลยีวาล์วแปรผัน MIVEC และยังมีการปรับในส่วนของเทอร์โบใหม่จนทำให้มีกำลัง 291 แรงม้า แรงบิด 392 นิวตัน-เมตร ขณะที่บนตัวรถมีการปรับในส่วนกันชนหน้าและช่องดักลม เพื่อปรับปรุงในส่วนแอโรไดนามิกและการระบายความร้อน นอกจากนี้ทาง Mitsubishi ยังเพิ่มเกรด GT เข้ามาแทรกกลางระหว่าง GSR และ RS และเมื่อถึงปี 2006 ก็มีการเพิ่มรุ่น Evolution IX MR เข้ามา ซึ่งรถมาพร้อมกับคอยล์สปริง Eibach ที่สปอร์ตขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงวัสดุที่ใช้ในส่วนเทอร์โบเพื่อให้การตอบสนองที่ดีขึ้น
Evolution X (2007-2016)
อีโว 10 บนพื้นฐานของ Lancer เจนเนอเรชั่นที่ 8 มาพร้อมแพลตฟอร์ม เครื่องยนต์ และการออกแบบใหม่ ซึ่งทาง Mitsubishi ระบุว่ามีเป้าหมายเพื่อเป็นรถมีความเร็วเท่าที่จะเป็นไปได้พร้อมกับความปลอดภัยในการขับมากเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่เปลี่ยนจากเครื่องยนต์ 4G63 ที่ใช้มายาวนานเป็นเครื่องยนต์อลูมิเนียม 2.0 ลิตร MIVEC เทอร์โบใหม่ รวมไปถึงใช้ระบบส่งกำลัง 6 สปีด Twin Clutch Sport Shift Transmission เพื่อให้มีการส่งกำลังที่เร็วขึ้น โดยรุ่นสำหรับขายในญี่ปุ่นมีกำลัง 280 แรงม้า แต่รุ่นที่ถูกส่งไปขายสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรจะมีกำลังมากกว่าเล็กน้อย นอกจากนี้เกรด GSR ยังมาพร้อมกับระบบ Super All Wheel Control สำหรับควบคุมแรงบิดและแรงเบรกในแต่ละล้อเพื่อให้การขับที่สปอร์ตขึ้น และเมื่อถึงปี 2015 ก็มีการทำ Lancer Evolution Final Edition ออกมาจำนวน 500 คัน โดยใช้พื้นฐานจากเกรด GSR ระบบส่งกำลังแมนนวล 5 สปีด พร้อมกับปรับเครื่องยนต์ให้มีกำลัง 313 แรงม้าซึ่งมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาของอีโว
เรื่อง: กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th