บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 ยอดจอง ทะลุ 45,983 คัน เติบโตเพิ่ม 35.5%
ยอดจอง “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44” ประสบความสำเร็จตามคาด ยอดผู้เข้าชมงานกว่า 1,620,459 คน บรรดาค่ายรถยนต์และรถจักรยานยนต์กว่า 40 แบรนด์ที่เข้าร่วมงานต่างปลื้มเก็บยอดจองรวมทุกเซ็กเม้นท์จำนวน 45,983 คัน ส่งผลให้ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยในปีนี้ยังคงอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายจาตุรนต์ โกมลมิศร์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในฐานะรองประธานจัดงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ เปิดเผยว่า “งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 นับเป็นอีกครั้งของการจัดงานที่ประสบความสำเร็จในทุกด้าน ทั้งจำนวนบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และผู้ประกอบการธุรกิจยานยนต์ที่เข้าร่วมงาน ซึ่งมีเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่งผลให้บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างคึกคัก และได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมงานเป็นจำนวนมาก จากการรวบรวมตัวเลขผู้เข้าชมงานในปีนี้อยู่ที่ 1,620,459 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา
บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 สรุป “ยอดจอง”
สำหรับยอดจองรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่เกิดขึ้นภาย ในงานมียอดจองรวมทั้งสิ้น 45,983 คัน เติบโตขึ้น 35.5 % เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2565 ที่ผ่านมา ที่มีตัวเลขยอดจองรวมภายในงานอยู่ที่ 33,936 คัน
โดยแบ่งออกเป็นยอดจองรถยนต์อยู่ที่ 42,885 คัน เติบโตขึ้น 34.45% เมื่อเทียบจากปี 2565 ที่ผ่านมา โดยในจำนวนยอดจองล่าสุดของปีนี้ สามารถแยกประเภทออกมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle หรือ EV) อยู่ที่ 9,234 คัน คิดเป็น 21.1% จากยอดจองรถยนต์ภายในงานครั้งนี้
ขณะที่รถจักรยานยนต์มียอดจองในปีนี้ประมาณ 3,098 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 56.7% เป็นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าประมาณ 870 คัน (ทั้งนี้ บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้า ไม่ประสงค์แจ้งยอดจองภายในงาน)
- สถิติ ยอดจอง มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44
ปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคให้ความสนใจเข้ามาชมและแสดงความจำนงค์จับจองรถภายในงานเป็นจำนวนมากเกินความคาดหมาย ส่วนสำคัญมาจากการที่ผู้ประกอบการมีการนำรถยนต์รุ่นใหม่ ซึ่งมีทั้งแบบไมเนอร์เชนจ์ และโมเดลเชนจ์ รวมไปจนถึงรถไฟฟ้า เข้ามาจัดแสดงเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ในงานรวมกันมากกว่า 50 รุ่น ซึ่งเป็นตัวช่วยกระตุ้นผู้เข้าชมให้มางานได้เป็นอย่างดี ขณะที่มาตรการณ์ต่าง ๆ ของกระทรวงสาธารณะสุขในเรื่อง โควิด-19 มีการผ่อนคลายลง ประกอบกับประชาชนได้รับวัคซีนทั่วถึง ทำให้สามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ ส่งผลให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและคนเริ่มมีความมั่นใจในการจับจ่ายมากยิ่งขึ้น
อีกทั้ง ภายในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ ครั้งนี้ นอกจากยอดจองของกลุ่มรถยนต์ที่มีการเติบโตอย่างสวยงามแล้วนั้น กระแสความนิยมในกลุ่มเรือและเจ็ทสกีกำลังขยายตัวเป็นอย่างมาก ส่งผลให้มียอดจองในกลุ่มเรือและเจ็ทสกีภายในงานประ มาณ 143 ลำ แบ่งออกเป็นยอดจองจาก Siamwatercraft ผู้จำหน่ายแบรนด์ Cranchi, Monterty, Seadoo มีจำนวน 126 คัน และ YAMAHA มียอดจองเจ็ทสกี อยู่ที่จำนวน 17 ลำ
นายจาตุรนต์ กล่าวเสริมว่า “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมางานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ ยังคงได้รับความเชื่อมั่นเป็นอย่างดีจากบริษัทรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจยานยนต์ ในการเข้าร่วมงานเพื่อจัดแสดงเทคโนโลยียานยนต์ไปจนถึงนวัตกรรมใหม่ ๆ พร้อมทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาลในการสร้างบูธและจัดแสดงโชว์สุดอลังการมาโดยตลอด
แต่อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในครั้งนี้คงไม่ใช่แค่เพียงความสำเร็จของคณะผู้จัดงานเท่านั้น แต่นับเป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากแรงสนับสนุนของคนไทยที่มีส่วนส่งเสริมให้ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์และประเทศไทยเป็นที่รู้จักว่าคนไทยสามารถทำได้ไม่แพ้ต่างชาติ ซึ่งเป็นการยืนยันให้เห็นได้ถึงการเป็นงานแสดงรถยนต์อันดับหนึ่งของเมืองไทยและเป็นหนึ่งในอาเซียน เทียบชั้นกันงานแสดงรถยนต์ระดับโลกได้อย่างแท้จริง
สำหรับงาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45” จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 27 มีนาคม – 7 เมษายน 2567 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ 1-3 เมืองทองธานี
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th
“อย่างไรก็ตาม นอกจากกระแสรถไฟฟ้าที่ได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมงานเป็นจำนวนมากแล้ว บรรดาโปรโมชั่นและการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ภายในงานยังเป็นแม่เหล็กสำคัญที่ดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมงาน และสามารถสร้างยอดจองรถเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาอีกด้วย”
“นอกจากนี้ การออกมากระตุ้นอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าของภาครัฐที่มีความชัดเจน ส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจมากขึ้น แน่นอนว่าผู้ผลิตเองก็ต้องเตรียมแผนการผลิตเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของตลาด และเพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาล ที่คาดว่า ตลาดรถไฟฟ้าจะเติบโตเพิ่มขึ้น 10-20 เปอร์เซ็นต์ แต่การจะเติบโตได้ก็ต้องอาศัยการขับเคลื่อนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงพลังงานการไฟฟ้า ที่จะเข้ามามีส่วนทำให้การใช้รถไฟฟ้าสามารถใช้งานได้สะดวก และง่ายดายยิ่งขึ้นนั่นเอง”