2023 NISSAN KICKS e-POWER เตรียมปรับใหม่เพิ่มออปชั่น เพิ่มราคา
2023 NISSAN KICKS e-POWER เตรียมปรับออปชั่นใหม่ เปิดตัวงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 พร้อมปรับราคาขายใหม่เพิ่มขึ้น 2-3 หมื่นบาทจากรุ่นเดิม
นิสสัน ประเทศไทย สร้างกระแสอย่างต่อเนื่องให้กับ นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ ใหม่ ล่าสุดเตรียมปรับใหม่อีกครั้ง พร้อมประกาศราคาขายใหม่ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 ภายหลังจากที่ลูกค้าให้ความสนใจรถยนต์รุ่นนี้กับจุดเด่นเทคโนโลยี e-Power ให้ความประหยัดเป็นเยี่ยม ซึ่งสถานการณ์ ณ ปัจจุบันตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาลูกค้านิสสันสามารถจองและรับรถได้ภายในเดือนที่จองทุกรุ่น ทุกสี
นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ ใหม่ รถคอมแพคเอสยูวีรุ่นล่าสุด ที่มาพร้อมสมรรถนะกับเทคโนโลยี อี-พาวเวอร์ เจเนอเรชั่น 2 พร้อมระบบอี-เพดดัล สเต็ป (e-Pedal Step) ที่ทำให้การขับขี่ง่าย และราบรื่นมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงรอบคันของ Nissan’s 360° SAFETY SHIELD แบบครบครัน
ครั้งแรกในแรกในประเทศไทยของรุ่น AUTECH ที่ได้รับการปรับแต่งให้มีความพิเศษ เพิ่มความสปอร์ต และพรีเมี่ยม ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวทั้งภายนอก และภายใน
นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ ผลิตขึ้นจากฐานการผลิตของนิสสันในประเทศไทย และส่งออกสู่ประเทศญี่ปุ่น รวมถึงประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ นิสสันยังได้เริ่มการประกอบแบตเตอรี่กำลังสูงสำหรับเครื่องยนต์ อี-พาวเวอร์ ที่โรงงานนิสสันในจังหวัดสมุทรปราการ
- รูปภาพประกอบจากรุ่นปัจจุบันที่จำหน่าย
2023 NISSAN KICKS
ส่วนด้านรายละเอียด คาดการณ์จะมีการปรับใหม่เล็กน้อย ดีไซน์ทั้งหมดเหมือนเดิม แต่ปรับราคาเพิ่มขึ้น 2-3 หมื่นบาท โดยมีสิ่งที่เพิ่มขึ้นมา 3 รายการ อาทิ
1. วัสดุหุ้มพวงมาลัยหนังแท้สีดำ ให้ผิวสัมผัสที่นุ่มนวลขึ้น ทุกรุ่น ถ้าใน Autech สีวัสดุหุ้มสีดำ เดินด้ายตะเข็บน้ำเงิน
2. เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ การทำงานจะกว้างขึ้นเพิ่มฟังชั่นฮีตตอร์ปรับตั้งอุณหภูมิได้ในช่วงกว้างตั้งแต่ 18-32 องศา หมดปัญหาห้องโดยสารเย็นเกินไป
3. Wireless Chager รองรับการชาร์จอุปกรณ์แบบพกพาอัตโนมัติไร้สาย ติดตั้งกำลังไฟที่ 15 วัตต์ บริเวณคอนโซลหน้า ติดตั้งเฉพาะรุ่น VL และ Autech (เป็นอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษกับชุดแต่ง Stylis package) ติดตั้งมาจากโรงงาน
2022 NEW NISSAN KICKS เปิดราคา เริ่มต้น 7.59 แสนบาท ชูอี-พาวเวอร์ เจน 2
NISSAN KICKS E-POWER จบซีรีย์ทดสอบมากกว่า 1,800 กิโลเมตร
เทคโนโลยีอี-พาวเวอร์ เจเนอเรชั่น 2
ระบบขับเคลื่อนอี-พาวเวอร์ เจเนอเรชั่น 2 ของนิสสันได้รวมเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) กับมอเตอร์ไฟฟ้า (Electric Motor) ไว้เป็นยูนิตเดียวกัน ทำให้มีน้ำหนักเบาลงถึง 30% เพิ่มขนาดแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนเป็น 2.06 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพขึ้น 30% เทียบกับรุ่นก่อนหน้า โดยระบบอี-
พาวเวอร์ เจเนอเรชั่น 2 จะให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า (PS) และแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร (Nm) นอกจากจะให้พละกำลังมากขึ้นแล้ว ยังเร่งเครื่องได้อย่างนุ่มนวลตอบสนองได้ทันใจ ช่วยให้ขับขี่ได้สนุก และมั่นใจกับระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จไฟรวมถึงการที่ ผู้ขับขี่ไม่ต้องเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ในแต่ละวัน
ขณะที่เครื่องยนต์ DOHC แบบ 3 สูบ 12 วาล์ว ความจุ 1.2 ลิตร จะทำหน้าที่เสมือนโรงไฟฟ้าส่วนตัวที่สร้างและจ่ายกระแสไฟให้กับเจเนอเรเตอร์และอินเวอร์เตอร์เพื่อชาร์จเข้าสู่แบตเตอรี่ขับเคลื่อนด้วยการผสานเครื่องยนต์และแบตเตอรี่ที่มีขนาดความจุมากขึ้นนี้นอกจากจะให้พละกำลังมากขึ้นแล้วยังให้การประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น โดยมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 26.3 กิโลเมตรต่อลิตร สำหรับการขับขี่ในเมือง และ 23.8 กิโลเมตรต่อลิตร ในการขับขี่โดยเฉลี่ย
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th
The 2nd generation e-POWER comes with an integrated electric motor and inverter combined in the same housing, making it 30% lighter in weight. The new 2.06-kWh lithium-ion battery increases efficiency by 30% compared to the previous version. This results in a maximum power of 136 PS with the highest torque of 280 Nm.
The new drivetrain provides the car with more impressive power, better but smoother acceleration and responsiveness, allowing drivers to enjoy the same driving experience as a full-electric vehicle without the need for an external charging or changing their daily lifestyle.
The 1.2 liter DOHC 12-valve 3-cylinder engine acts as the vehicle’s own power plant. Coupled with a generator and inverter, power from the engine is used to charge the battery. The combination of the engine and the larger battery not only provides impressive power but also improved fuel efficiency with 26.3 kilometres per liter for city drive and 23.8 kilometres per litre on average for overall mode*.