40 เปอร์เซ็นต์ของราคารถยนต์ปัจจุบันมาจากระบบอีเล็กทรอนิก

บางคนอาจเริ่มสังเกตว่ารถยนต์ในปัจจุบันมีลักษณะเหมือนกับคอมพิวเตอร์ติดล้อเข้าไปทุกที ซึ่งแน่นอนว่าย่อมหมายถึงราคาที่ผู้ซื้อต้องจ่ายไปสำหรับส่วนนี้ โดยในขณะที่ผู้ซื้อรถรู้สึกยินดีกับความไฮเทคที่มีในรถยนต์ของตน สิ่งหนึ่งที่อาจคิดไม่ถึงระบบอีเล็กทรอนิกต่างๆ ในรถยนต์อาจมีราคารวมกันถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของราคารถยนต์

ในรายงานที่รวบรวมโดย Deloitte ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจระดับนานาชาติได้พบว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ในปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างเชัดเจน โดยในขณะที่ตอนปี 2004 มีรถยนต์ 25 เปอร์เซ็นต์ที่มีถุงลมนิรภัย และมีไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ที่มีเบาะไฟฟ้า แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมาจำนวนของอุปกรณ์อีเล็กทรอนิกในรถยนต์ก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดโดยส่วนหนึ่งของการเพิ่มขึ้นนี้มาจากข้อกำหนดเรื่องความปลอดภัย

หากจะลงไปในรายละเอียดที่ลึกขึ้น Deloitte สังเกตว่าในปี 2004 มีไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของรถยนต์ที่มีการติดตั้งอุปกรณ์อย่างระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ ถุงลมนิรภัยด้านข้าง อุปกรณ์ตรวจจับลมยาง เซ็นเซอร์สำหรับถอยหลัง ระบบตรวจจับมุมบอด และเมื่อถึงปี 2017 หลายอุปกรณ์เหล่านี้มีอยู่ในรถยนต์ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยพื้นฐาน โดยรถยนต์ใหม่ๆ ยังมาพร้อมกับอุปกรณ์อีเล็กทรอนิกประเภทอื่นไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมความเร็วแบบอแดปทีฟ ระบบปรับลดแสงที่กระจกมองหลังอัตโนมัติ ระบบ Infotainment และระบบที่ช่วยให้เข้าสู่ภายในรถที่สะดวกขึ้น นอกจากนี้รถยนต์รุ่นที่ใหม่ขึ้นยังถูกเพิ่มการทำงานเพื่อประหยัดน้ำมันอย่างเทคโนโลยีหยุดการทำงานของลูกสูบ ระบบ Stop/Start เครื่องยนต์ และระบบขับเคลื่อนไฮบริดหรือไฟฟ้า

ด้วยระบบเหล่านี้แม้จะทำให้รถยนต์รุ่นใหม่มีความล้ำหน้ากว่ารุ่นก่อนๆ อย่างมาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำงานใหม่ในรถยนต์เป็นสิ่งที่ดันให้ราคารถยนต์สูงขึ้นด้วย โดยทาง Deloitte พบว่าจากที่ระบบอีเล็กทรอนิกเคยมีสัดส่วนอยู่ที่ 18 เปอร์เซ็นต์ของราคารถยนต์ในปี 2000 แต่ได้สูงขึ้นเป็น 40 เปอร์เซ็นต์ในปัจจุบัน และเมื่อถึงปี 2030 คาดว่าจะสูงถึง 45 เปอร์เซ็นต์ของราคารถ โดยหากจะยกตัวอย่างแค่เฉพาะบางส่วนของระบบอีเล็กทรอนิกที่ใช้ในรถยนต์ ราคาของเซมิคอนดักเตอร์ที่ใช้ในรถยนต์หนึ่งคันตอนปี 2013 อยู่ที่ 312 ดอลล่าร์ แต่สูงขึ้นเป็นประมาณ 400 ดอลล่าร์ในปัจจุบัน และคาดว่าจะสูงขึ้นเกือบ 600 ดอลล่าร์ในปี 2022