ไม่ได้มีแค่น้ำมัน! 6 ของเหลวในรถที่ควรใส่ใจ
นอกจากน้ำมันที่เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์เพื่อให้รถยนต์เคลื่อนที่ไปสู่จุดหมายที่ต้องการได้ ในรถยนต์ยังมีของเหลวอื่นๆ อีกที่มีความสำคัญ เพราะส่งผลให้การทำงานต่างๆ ของรถเป็นไปอย่างสมบูรณ์รวมทั้งเพื่อความปลอดภัย ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้ขับรถที่ควรตรวจเช็กสภาพของของเหลวเหล่านี้ว่ายังมีลักษณะปกติ หรือมีปริมาณที่เหมาะสมหรือไม่ เพื่อที่จะทำการเติมหรือเปลี่ยนถ่ายก่อนที่จะส่งผลเสียต่อรถ
1 น้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่องเป็นหนึ่งในของเหลวที่มีความสำคัญต่อรถยนต์โดยเฉพาะกับเครื่องยนต์ เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยหล่อลื่นให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างราบเรียบและสม่ำเสมอ ซึ่งการที่ระดับน้ำมันเครื่องต่ำเกินไปอาจสร้างความเสียหายแก่เครื่องยนต์และนำมาสู่ค่าใช้จ่ายที่สูงตามมาได้ ดังนั้นจึงควรทำการตรวจสอบน้ำมันเครื่องอย่างสม่ำเสมอหรืออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง โดยทำหลังจากดับเครื่องยนต์แล้วประมาณ 5 นาทีกับรถที่จอดอยู่บนพื้นราบ จากนั้นก็เปิดฝากระโปรงรถ เปิดช่องเติมน้ำมันเครื่อง แล้วดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องขึ้นมาเช็ด จากนั้นจึงแหย่ลงไปอีกครั้ง เมื่อดึงขึ้นมาอีกครั้งระดับน้ำมันเครื่องควรอยู่สูงกว่าระดับ Min หรือระดับต่ำสุด หากต่ำกว่าระดับนี้ก็ควรเติมน้ำมันเครื่อง แต่ไม่ควรเติมจนเมื่อวัดระดับน้ำมันเครื่องแล้ว ก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องแสดงระดับน้ำมันเครื่องสูงกว่าระดับ Max ที่ก้านวัด
นอกจากการตรวจเช็กระดับน้ำมันเครื่องแล้ว อีกสิ่งสำคัญในการดูแลน้ำมันเครื่องก็คือ เจ้าของรถยังควรที่จะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะด้วยซึ่งจะแตกต่างตามระดับน้ำมันเครื่องคือ น้ำมันเครื่องเกรดธรรมดาทุก 5,000 กิโลเมตร, น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ทุก 7,500-8,000 กิโลเมตร และน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ทุก 10,000 กิโลเมตร
2 น้ำในหม้อน้ำ
น้ำในหม้อน้ำเป็นสิ่งที่ช่วยให้เครื่องยนต์เย็นลงหรือไม่โอเวอร์ฮีต เพราะเป็นสิ่งที่นำพาความร้อนจากเครื่องยนต์มาลดอุณหภูมิลง โดยน้ำจะไหลเวียนไปตามท่อที่อยู่รอบๆ เครื่องยนต์แถวห้องจุดระเบิด แล้วไหลกลับมาที่หม้อน้ำเพื่อระบายความร้อนออกก่อนที่จะไหลไปรับความร้อนจากเครื่องยนต์ใหม่ ดังนั้นจึงควรที่จะตรวจสอบน้ำในหม้อน้ำเพื่อให้มีระดับตามที่กำหนดไว้อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง โดยหากอยู่ในระดับต่ำก็ควรเติมกลับเข้าไปใหม่ให้อยู่ในระดับที่กำหนด แต่ก็ไม่ควรเติมจนเต็มหรือสูงเกินไป โดยน้ำที่เติมในหม้อน้ำจะเป็นน้ำธรรมดาก็ได้ หรืออาจเป็นน้ำผสมน้ำยาหล่อเย็น (Coolant) เพื่อช่วยให้จุดเดือดของน้ำสูงขึ้น หรือน้ำเดือดช้าลง รวมช่วยป้องกันสนิทในหม้อน้ำด้วย เพราะน้ำยาหล่อเย็นจะมีหัวเชื้อป้องกันสนิมผสมอยู่
นอกจากนี้หากพบว่าน้ำในหม้อน้ำลดลงผิดปกติหรือต้องเติมน้ำบ่อยๆ อาจต้องนำรถไปตรวจสอบดูว่ามีการรั่วของหม้อน้ำหรือไม่
3 น้ำมันเกียร์
ในขณะที่น้ำมันเครื่องทำหน้าที่หล่อลื่นให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างราบเรียบ น้ำมันเกียร์ก็เป็นสิ่งที่ทำหน้าหล่อลื่นลดการสึกหรอของเกียร์ซึ่งเป็นระบบส่งกำลังจากเครื่องยนต์สู่ล้อให้ทำงานได้อย่างราบลื่นเป็นปกติ ดังนั้นจึงควรใส่ใจที่จะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามกำหนดเพื่อให้เกียร์ของรถยนต์มีอายุการใช้งานที่ยืนยาว โดยทั่วไปแล้วรถเกียร์แมนนวลควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ปีละครั้ง ในขณะที่เกียร์อัตโนมัติมักจะเปลี่ยนที่ 30,000 ถึง 40,000 กิโลเมตรหรือประมาณปีละครั้ง แต่หากขับรถในลักษณะที่ทำให้มีการเปลี่ยนเกียร์บ่อยๆ ก็อาจจะต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์เร็วขึ้นที่ 10,000 ถึง 20,000 กิโลเมตร
อย่างไรก็ตามนอกจากการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะที่กำหนดแล้ว ก็ควรหมั่นตรวจสอบดูลักษณะของน้ำมันเกียร์ด้วย ซึ่งหากน้ำมันเกียร์ยังเป็นสีเหลืองหรือสีแดงแสดงว่ายังอยู่ในสภาพปกติ แต่หากมีสีน้ำตาลหรือสีดำก็แสดงว่าควรที่จะเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ได้แล้วถึงแม้จะยังไม่ถึงระยะที่กำหนดก็ตาม
4 น้ำมันเบรก
น้ำมันเบรกเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อความปลอดภัย เพราะทำให้ระบบเบรกของรถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งระดับน้ำมันเบรกที่ต่ำสามารถส่งผลให้ประสิทธิภาพในการหยุดรถลดลงและนำไปสู่อุบัติเหตุได้ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะดูให้น้ำมันเบรกอยู่ในระดับที่เหมาะสมดังนั้นจึงควรหมั่นตรวจสอบ ซึ่งหากพบว่าพร่องก็ควรเติมทันที และโดยทั่วไปแล้วควรจะเปลี่ยนถ่ายทุก 1 ปีหรือระยะ 40,000 กิโลเมตรแล้วแต่อะไรจะถึงก่อน หรืออาจดูคำแนะนำได้ได้จากคู่มือของรถ
5 น้ำฉีดกระจก
แม้ว่าจะไม่ใช่ของเหลวที่เกี่ยวกับการทำงานของรถ แต่น้ำฉีดกระจกก็เป็นสิ่งที่สำคัญต่อทัศนวิสัยในการขับรถ เพราะหากปราศจากสิ่งนี้แล้วจะทำให้ขจัดคราบหรือสิ่งสกปรกออกจากกระจกรถได้ยากขึ้น ดังนั้นนี่จึงเป็นอีกหนึ่งของเหลวที่ควรตรวจสอบดูและเติมให้เต็มอยู่เสมอ อย่ารอให้รู้ตัวเมื่อไม่มีน้ำฉีดออกมา
6 น้ำมันเพาเวอร์
หากรถที่ใช้เป็นระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฮดรอลิก น้ำมันเพาเวอร์เป็นอีกหนึ่งของเหลวที่จำเป็นเพราะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ควบคุมพวงมาลัยได้อย่างราบลื่น โดยหากน้ำมันเพาเวอร์ไม่พอจะทำให้การบังคับเลี้ยวยากขึ้น รวมทั้งชุดเฟืองภายในอาจเสียหายเรื่องจากไม่มีน้ำมันเพาเวอร์ช่วยหล่อลื่น ดังนั้นจึงควรที่จะตรวจสอบดูเสมอไม่ต่างกับของเหลวอื่นในรถซึ่งปกติแล้วมักอยู่ในกระปุกใสมองเห็นได้ แต่หากไม่ใช่กระปุกใสที่มองเห็นน้ำมันได้ก็จะมีก้านวัดน้ำมันมาให้ใช้เพื่อตรวจสอบน้ำมันที่เหลืออยู่ หากพบว่ามีระดับที่ต่ำก็ควรเติมให้อยู่ในระดับที่พอดีและไม่ควรเติมมากเกินไปหรือสูงกว่าระดับที่เหมาะสม เพราะเมื่อขับรถแล้วน้ำมันร้อนมีการขยายตัวก็สามารถทำให้เกิดปัญหาตามมาได้
สำหรับการเปลี่ยนน้ำมันเพาเวอร์ควรทำทุก 80,000 กิโลเมตร หรือตามระยะที่กำหนดในคู่มือรถ
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRAND PRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th