700 คันเท่านั้นในโลก อยากขับ…ต้องไว
การเป็นเจ้าของ M4 ของค่าย BMW อาจจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าอยากเป็นเจ้าของรุ่น GTS งานนี้บอกได้คำเดียวว่าต้องไว
เหตุผลก็เพราะ BMW เปิดตัวเวอร์ชันนี้ออกสู่ตลาดภายใต้บริบทที่เรียกว่าเป็นการฉลองครบรอบ 30 ปีของ M3 (ทำไม…อ่านไปเรื่อยๆ เดี๋ยวรู้เอง) และมีการผลิตออกมาเพียง 700 คันเท่านั้น แค่ตลาดสหรัฐอเมริกา ก็ซัดโควตาไปแล้ว 300 คัน ส่วนอังกฤษมี 30 คัน
ใครที่คิดว่างานนี้ไม่มีอะไรในกอไผ่ เพราะเป็นการต่อยอดจาก M4 ที่มีอยู่แล้วในตลาด คงตั้องคิดใหม่ เพราะอย่างแรกการที่มีน้ำหนักน้อยกว่ารุ่นเดิมถึง 80 กิโลกรัมจนมีน้ำหนักอยู่ที่ 1,510 กิโลกรัม (แถมทีมงาน M Power ผู้พัฒนานยังกำหนดน้ำหนัก KERB Weight ไม่ให้เกินนี้) มันเป็นการบอกอะไรนัยๆ อยู่แล้ว โดยตัวรถถูกเปิดตัวครั้งแรกในงานโตเกียว มอเตอร์โชว์ 2015 แต่ตอนนั้นขึ้นป้ายว่ายังเป็น Concept Version อยู่
M4 GTS คือ Track Day Car ที่มาพร้อมกับการลดน้ำหนักแบบสุดๆ ถอดทั้งเบาะหลังออกทั้งยวง ใช้คาร์บอนไฟเบอร์ และอลูมิเนียมมาใช้ในการผลิตชิ้นส่วนตัวถัง เช่น ฝากระโปรงหน้า-หลัง และแผ่นหลังคา ตรงนี้ทำให้ม้า 1 ตัวจากเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง 3,000 ซีซี เทอร์โบคู่พร้อมระบบ Di ทำงานเบาหน่อย เพราะแบกน้ำหนักแค่ 3 กิโลกรัมเท่านั้น
ขณะเดียวกันตัวเครื่องยนต์ถูกอัพเกรดความเร้าใจให้มีกำลังขับเคลื่อนอยู่ในระดับ 500 แรงม้า ที่ 6,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 61.1 กก.-ม. ที่ 4,000-5,500 รอบ/นาทีใช้เกียร์แบบ DCT คลัตช์คู่ ส่งกำลังสู่ล้อหลัง โดยที่มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 3.8 วินาที และความเร็วสูงสุด 305 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนใครที่ห่วงเรื่องความประหยัด ตัวเลขเฉลี่ยสำหรับการทดสอบตามมาตรฐาน EU อยู่ที่ 12 กิโลเมตร/ลิตร
ที่สำคัญ นี่คือ รถสปอร์ตในสายการผลิตที่เร็วที่สุดเท่าที่ BMW เคยผลิตมาเลย แรงและเร็วขนาดไหน ดูผลงานการขับในสนามที่มีระยะทางต่อรอบเกือบๆ 21 กิโลเมตรอย่าง The Green Hell หรือ Nürburgring Nordschleife หรือสนามฝั่งเหนือของนูร์บูรกริง ซึ่งที่นี่ผู้ผลิตชอบใช้เวลาสูงและต่ำกว่า 8 นาทีในการขับต่อรอบเป็นตัวแบ่งระหว่างความเป็น SuperCar กับรถจ่ายกับข้าว และ M4 GTS ทำได้ 7.27.88 นาที หรือตีกลมๆ เป็น 7.28 นาที ดีกว่า Ferrari 458 Italia หรือ Lexus LFA ที่เป็นสปอร์ตตั้งแต่กำเนิดเสียอีก
มาถึงเรื่องที่ทำไมมันเป็นการฉลองให้กับ M3 ที่มีอายุครบ 30 ปีนับจากเปิดตัวรุ่นแรกจากพื้นฐาน E30 ในปี 1986 นั่นเป็นเพราะในเจนเนอเรชั่นล่าสุดของ Series 3 ทาง BMW จับแยกตัวถังซีดานและแวกอนให้ใช้ชื่อนี้ต่อไป ส่วนเปิดประทุนและคูเป้เปลี่ยนมาเป็นรหัส Series 4 ซึ่งตรงนี้ส่งผลต่อตัวรถเมื่อเป็นรหัส M ด้วย เพราะแม้ว่าทุกอย่างจะ Base On พื้นฐานทางวิศวกรรมเดียวกัน แต่ทว่า M3 จะเป็นตัวถังซีดานเท่านั้น (ทั้งที่เมื่อก่อนมีครบ ยกเว้นแวกอน) ส่วน M4 จะเป็นคูเป้…เรื่องมันก็เป็นเช่นนี้
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย : กรังด์ปรีซ์ ออนไลน์ GRAND PRIX ONLINE
ติดตามข่าว รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ทดสอบรถ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th