8 อะไหล่สิ้นเปลืองที่ต้องเปลี่ยนในรถยนต์
นอกจากบรรดาของเหลวต่างๆ อย่างน้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก น้ำมันเกียร์ น้ำหล่อเย็นที่ต้องมีการเปลี่ยนถ่ายหรือเติมแล้ว ในรถยนต์ยังมีอะไหล่ต่างๆ ที่ต้องเปลี่ยนเมื่อใช้งานไปเรื่อยๆ จนเกิดการสึกหรอหรือทำงานได้ไม่เต็มที่ด้วย ซึ่งผู้ขับควรเปลี่ยนอะไหล่เหล่านี้ตามระยะทาง เวลา หรือเมื่อพบว่ามีการสึกหรอ เสื่อมสภาพ ทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์
กรองน้ำมันเชื้อเพลิง
กรองน้ำมันเชื้อเพลิงคือสิ่งที่ต้องมีอยู่ในรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นพลังงานไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเบนซินหรือดีเซล โดยทำหน้าที่ในการกรองดักจับสิ่งสกปรกหรือเศษโลหะจากน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ให้เข้าไปถึงระบบจ่ายน้ำมันอย่างหัวฉีดและเครื่องยนต์ โดยทั่วไปแล้วกรองน้ำมันเชื้อเพลิงจะมีลักษณะเป็นกรองกระดาษพับเป็นครีบซ้อนกันอยู่ภายในวัสดุที่เป็นโลหะ ซึ่งเมื่อใช้ไปนานๆ ก็จะทำให้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงตันได้ ส่งผลให้รถสตาร์ทติดยาก เร่งไม่ขึ้น หรืออาจส่งผลไปถึงทำให้หัวฉีดอุดตันเสียหาย ดังนั้นจึงควรเปลี่ยนกรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามระยะที่กำหนดไว้ในคู่มือของรถซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 40,000 กิโลเมตรหรือประมาณ 2 ปีแล้วแต่รุ่นรถ
กรองน้ำมันเครื่อง
นี่คืออีกอะไหล่ในรถยนต์ที่ต้องการปลี่ยนบ่อย โดยทำหน้ากรองสิ่งสกปรกต่างๆ จากน้ำมันเครื่องให้ติดอยู่ที่กระดาษกรองก่อนที่จะไปหล่อลื่นส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์ ดังนั้นจึงเป็นอีกส่วนที่ควรใส่ใจ ซึ่งโดยปกติแล้วอาจมีคำแนะนำให้เปลี่ยนกรองน้ำมันเครื่องทุก 2 ครั้งของการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง แต่อาจมีปัจจัยหลายอย่างเช่นประเภทของน้ำมันเครื่อง คุณภาพของน้ำมันเครื่อง พฤติกรรมการใช้รถเช่นขับรถในสภาพการจราจรที่ติดหนักประจำก็อาจทำให้ต้องเปลี่ยนกรองน้ำมันเครื่องเร็วขึ้นเป็นทุกครั้งที่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง
แบตเตอรี
แบตเตอรีคือสิ่งสำคัญต่อการสตาร์ทเครื่องยนต์รวมทั้งการจ่ายไฟให้ส่วนต่างๆ ในรถยนต์อย่างวงจรต่างๆ หรือระบบไฟส่องสว่าง โดยทั่วไปแล้วการเปลี่ยนแบตเตอรีจะไม่เหมือนอะไหล่อื่นที่ยึดตามระยะทาง แต่มักจะเปลี่ยนตามระยะเวลาคือประมาณหนึ่งปีครึ่งถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับการเสื่อมของเซลล์แบตเตอรี หรือหากมีการจอดรถทิ้งโดยไม่มีการใช้งานหรือสตาร์ทรถเป็นเวลาไว้นานๆ ก็ทำให้แบตเตอรีเสื่อมต้องเปลี่ยนใหม่ได้
กรองอากาศ
ในขณะที่คนต้องการอากาศสำหรับหายใจ รถยนต์ก็ค้องการอากาศสำหรับการจุดระบิดของเครื่องยนต์ โดยกรองอากาศคือสิ่งสำคัญที่ทำให้เครื่องยนต์ของรถมีอากาศที่สะอาดสำหรับการเผาไหม้ เพราะทำหน้าที่กรองสิ่งสกปรกที่อยู่ในอากาศก่อนเข้าสู่เครื่องยนต์เพื่อไม่ให้มีสิ่งสกปรกปนเปื้อนเข้าไปทำให้ผนังลูกสูบเสียหาย ดังนั้นเมื่อใช้งานไปนานๆ กรองอากาศจึงมีการอุดตัดจากสิ่งที่ต่างๆ ที่ถูกกรองดักจับไว้ปิดกั้นอากาศที่เข้าสู่เครื่องยนต์ ทำให้มีอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์น้อยลง ซึ่งส่งผลให้เร่งเครื่องไม่ค่อนขึ้นและสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงได้ โดยทั่วไปแล้วควรเปลี่ยรกรองอากาศประมาณ 20,000 กิโลเมตรหรือ 1 ปี แต่หากขับรถในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นมากก็อาจต้องเปลี่ยนเร็วขึ้น โดยในระหว่างใช้งานรถควรมีการถอดกรองอากาศออกมาเป่าฝุ่นบ้างที่ระยะประมาณ 5,000 กิโลเมตร
หัวเทียน
หัวเทียนเป็นอุปกรณ์ทำหน้าที่ในการจุดระเบิดของเครื่องยนต์โดยปล่อยกระแสไฟแรงดันสูง จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงน้ำมันและแก๊ส ดังนั้นหากหัวเทียนเก่าจึงส่งผลต่อการทำงานของเครื่องยนต์ทำให้เครื่องยนต์สะดุดหรือทำงานไม่เต็มที่ได้ โดยทั่วอายุการใช้งานของหัวเทียนจะนานโดยมีระยะประมาณ 40,000 กิโลเมตร หรืออาจเปลี่ยนเมื่อมีอากาสะดุดของเครื่องยนต์
ใบปัดน้ำฝน
ใบปัดน้ำฝนเป็นอีกอะไหล่รถยนต์ที่ต้องมีการเปลี่ยนอยู่เสมอ และควรใส่ใจเนื่องจากเกี่ยวข้องกับการมองเห็นในขณะขับรถยนต์ซึ่งส่งผลต่อความปลอดภัย ซึ่งผู้ขับรถควรเปลี่ยนเมื่อมีสัญญาณเตือนว่าอุปกรณ์นี้มีการสึกหรอไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์แล้วอย่างเมือใช้แล้วมีอาการใดอาการหนึ่งอย่างปัดแล้วสะดุด ปัดแส้วมีเสียงดังกว่าปกติ ปัดน้ำฝนได้ไม่ทั่ว ไม่เกลี้ยง หรือปัดแล้วฝืด
ผ้าเบรก
ผ้าเบรกคืออีกหนึ่งอุปกรณ์เกี่ยวกับความปลอดภัยของรถที่มีการสึกหรอและต้องเปลี่ยนบ่อยในรถยนต์ เพราะเป็นส่วนสำคัญในระบบเบรกของรถยนต์ อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนผ้าเบรกจะขึ้นอยู่กับการใช้งานรถยนต์และลักษณะการขับรถซึ่งแน่นอนว่าหากต้องขับรถที่ต้องมีการเบรกบ่อยอย่างในเมืองที่รถติดก็อาจต้องเปลี่ยนบ่อยขึ้น แต่โดยทั่วไปแล้วผ้าเบรกจะมีระยะการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 40,000 ถึง 60,000 กิโลเมตร แต่ก็มีสัญญาณอื่นที่เป็นการเตือนให้เปลี่ยนผ้าเบรกด้วยนอกเหนือไปจากระยะทาง อย่างเช่นผ้าเบรกเหลือความหนาไม่ถึง 3 มิลลิเมตร เบรกแล้วเกิดเสียงให้ได้ยินบ่อยๆ หรือมีเสียงเสียดสีกันของโลหะ
หลอดไฟต่างๆ
หลอดไฟต่างๆ ในรถยนต์ไม่ต่างกับหลอดไฟที่ใช้ตามบ้านทั่วไปที่มีอายุการใช้งาน อย่างไรก็ตามแม้ว่าหลอดไฟจะมีการระบุอายุการใช้งานแต่จริงๆ แล้วสิ่งที่จะทำให้ผู้ขับรถเปลี่ยนหลอดไฟใหม่ก็คือเมื่อพบว่าขับรถแล้วไฟไม่ติด โดยเมื่อเปลี่ยนหลอดไฟใหม่ควรระวังในเรื่องสีและลักษณะของไฟตามที่กฏหมายกำหนดเช่นใช้ไฟหน้าสีเหลืองหรือสีขาว ไม่ใช้ไฟท้ายกระพริบ หรือปรับแต่งเพิ่มเติมจนทำให้ไฟหน้าสว่างจ้าเกินไป
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRAND PRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th