First Review: All New Haval H6 PHEV เอสยูวีเสียบปลั๊ก–ขับไฟฟ้าสูงสุด 201 กม.
รีวิว All New Haval H6 PHEV : เทสต์ไดร์ฟครั้งแรกของโลก! เอสยูวีพลังงานไฟฟ้าแบบเสียบปลั๊ก ติดตั้งแบตเตอรี่ชนิดลิเธียม เทอร์นารี่ (Lithium Ternary) ขนาดความจุ 34 กิโลวัตต์ชั่วโมง ทำให้มีระยะการขับด้วยพลังงานไฟฟ้าสูงสุด 201 กิโลเมตร*
หลังจากโชว์ตัวเป็นครั้งแรกในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป เมื่อปลายปีที่แล้ว All New H6 Plug-in Hybrid โมเดลลำดับที่ 3 ภายใต้แบรนด์ Haval ในเครือเกรท วอลล์ มอเตอร์ (GWM) สร้างกระแสความสนใจจากกลุ่มลูกค้าชาวไทยได้ดี และถึงจะต้องรอนานพอสมควรกว่าจะมีกำหนดขายจริง กระแสตอบรับก็ยังถือว่าเกินคาดมียอดจองสิทธิ์ซื้อทะลุ 3,000 คันภายใน 24 ชั่วโมงแรก โดยนับจนถึงวันที่มาร่วมงานทดสอบ (26 กันยายน) ทางผู้บริหารแอบกระซิบบอกว่าตัวเลขผ่านหลัก 6,000 คันไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะประกาศราคาอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 7 ตุลาคมนี้
ก่อนอื่นต้องขออธิบายว่า All New H6 PHEV มีพื้นฐานหลักร่วมกับรุ่นไฮบริด Haval H6 HEV ทั้งแพล็ตฟอร์มโมดูลาร์อัจฉริยะ GWM LEMON, ระบบขับเคลื่อนที่ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบ 1.5 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้าชุดเดียวกัน แต่มีกำลังเพิ่มขึ้นจากการติดตั้งแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม รวมทั้งเติมออปชั่นใหม่ให้เจ้าของรถสะดวกสบายมากขึ้น
เจาะสเปค All New Haval H6 PHEV–โหมดไฟฟ้าขับไกล 201 กม.
มีอะไรใหม่ใน All New H6 PHEV
เริ่มต้นจากมิติตัวถัง All New H6 PHEV จะมีความกว้าง 1,886 มม., ความยาว 4,683 มม., ความสูง 1,730 มม. และระยะฐานล้อ 2,738 มม. เกือบทุกส่วนเท่ากับรุ่นไฮบริด ยกเว้นความยาวที่มากกว่า 30 มม. เท่านั้น
ความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนจะเป็นดีไซน์ภายนอกที่เปลี่ยนเป็นกระจังหน้าใหม่ Star Matrix Front Grille ทำให้หน้าตาของ H6 PHEV มีมิติ และดูกว้างมากขึ้นด้วยการใช้สีโครเมียมมาเล่นไล่ระดับบริเวณช่องระบายอากาศที่อยู่ด้านข้างให้มีความลงตัวกับชุดไฟหน้า Intelligent LED Headlamp ที่มีระบบส่องสว่างแบบ Ultra-High Flow เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ และการดีไซน์ไฟท้าย LED Taillight Strip เป็นแนวยาวพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED รวมทั้งติดตั้งเสาอากาศแบบ Shark Fin พร้อมสปอยเลอร์ท้ายที่ช่วยเพิ่มแอร์โรไดนามิกให้กับตัวรถ
นอกจากนี้จะมีหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามิคขนาดใหญ่ 1.2 ตารางเมตร เพิ่มมุมมองแบบ 360 องศาจากห้องโดยสาร โดยดีไซน์ภายในยังคงใช้แนวทาง Minimalist เน้นความกว้างขวาง, สะดวกสบาย และใส่ใจทุกรายละเอียด
ตบแต่งคอนโซลหน้าเป็นสีทูโทนด้วยวัสดุสี Rose Gold, Silver, Piano Black และ Chrome ให้ความโมเดิร์นสไตล์ Futuristic พร้อมความอเนกประสงค์ในการใช้งานตามต้องการ เบาะนั่งแถวหลังสามารถแยกพับได้แบบ 60:40 เวลาต้องการเก็บสัมภาระที่มีขนาดใหญ่
และออปชั่นที่ลูกค้าชาวไทยเรียกร้องในรถยนต์เอสยูวีทุกรุ่นไม่ว่าจะเป็นของค่ายใดก็ตาม — ระบบประตูท้ายเปิด-ปิดไฟฟ้า พร้อมระบบแฮนด์ฟรี — ถูกนำมาติดตั้งใน All New H6 PHEV เป็นที่เรียบร้อย ทำให้การเปิดท้ายรถในขณะที่มีสัมภาระง่ายขึ้นเพียงคุณแค่พกกุญแจ Smart Key ไว้กับตัวแล้วสอดเท้าไปบริเวณใต้กันชนท้าย
ในส่วนของระบบกันสะเทือนจะเป็นชุดเดียวกับ H6 HEV ด้านหน้า MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบอิสระ Multi-link พร้อมเหล็กกันโคลง แต่มีการปรับจูนใหม่ โดยทีมงานเกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ไม่ได้อธิบายลงในรายละเอียดเพราะเป็นข้อมูลด้านเทคนิคที่ไม่อาจเปิดเผยได้
อย่างไรก็ตามการติดตั้งแบตเตอรี่ Lithium Ternary เข้ามาด้านใต้ห้องโดยสารทำให้น้ำหนักรวมของ All New H6 PHEV เพิ่มขึ้นมาประมาณ 200 กิโลกรัม หากเทียบกับรุ่น H6 HEV ที่ใช้แบตเตอรี่ก้อนเล็ก 1.6 kWh เก็บไว้บริเวณด้านท้ายรถ และการเปลี่ยนขนาดยางให้มีหน้ากว้างมากขึ้นเป็น 235/55 R19 ทำให้ทีมงาน GWM แสดงความมั่นใจตั้งแต่ก่อนเริ่มทดสอบว่าสื่อมวลชนจะต้องถูกใจกับระบบช่วงล่างที่ได้รับการอัพเกรดใหม่ของรุ่นเสียบปลั๊ก
ทำความรู้จักระบบขับเคลื่อน All New Haval H6 PHEV
ก่อนจะเข้าสู่ช่วงทดสอบทำความรู้จักระบบปลั๊ก-อิน ไฮบริดของ All New H6 PHEV จะมีพื้นฐานจากรุ่น HEV ทั้งเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 5,500-6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 230 นิวตันเมตรที่ 1,500-4,000 รอบต่อนาที ทำงานผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous (กำลังสูงสุด 130 กิโลวัตต์/177 แรงม้า, แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร) และเพลาขับเคลื่อนอิเล็กทรอนิกส์แบบ Multi-mode DHT
แต่อย่างที่บอกไปว่าการติดตั้งแบตเตอรี่ Lithium Ternary ขนาด 34 kWh ทำให้พอรวมการทำงานจากทั้ง 2 ระบบ All New H6 PHEV จะมีกำลังสูงสุด 326 แรงม้า และแรงบิดที่มหาศาล 530 นิวตันเมตร โดยสามารถเลือก EV Mode ที่จะเป็นการขับแบบไฟฟ้า 100% ที่มีระยะการขับสูงสุด 201 กิโลเมตร*
ในส่วนของการชาร์จไฟฟ้าของ All New H6 Plug-in Hybrid จะใช้หัวชาร์จแบบ CCS Type 2 combo (Combined Charging System) รองรับการชาร์จแบบเร็วด้วยไฟกระแสตรง DC (0-80%) ใช้เวลาประมาณ 35 นาที และการชาร์จแบบไฟบ้าน AC (0-100%) ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง**
*ตามมาตรฐานทดสอบ NEDC, **ระยะเวลาการชาร์จขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ระดับแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ และกำลังไฟของสถานีชาร์จนั้นๆ เป็นต้น
เส้นทางทดสอบกรุงเทพ-นครนายก
ทริปทดสอบครั้งนี้ทีมงาน GWM วางเส้นทางให้สื่อมวลชนมีระยะการขับราว 210-260 กิโลเมตร ออกสตาร์ทจาก GWM Partner Store ATT U Park Bangna บนถนนบางนา-ตราด สู่จังหวัดรอบๆ กรุงเทพมหานคร โดยแต่ละทริปเส้นทางจะไม่ซ้ำกันมีทั้งนครนายก, พระนครศรีอยุธยา, สระบุรี และชลบุรี
โปรแกรมของทีมงาน Grand Prix Online จะเป็นเส้นทางนครนายก โดยมีการกำหนดจุดหมายเฉพาะช่วงครึ่งวันเช้าระยะทางราว 100 กิโลเมตร เพื่อไปเจอที่ร้านอาหารกลางวัน ก่อนจะปล่อยให้เลือกโลเคชั่นแถวนั้นรีวิวแบบตามใจชอบ และกลับมาเจอที่ปั๊มน้ำมันใกล้กับ ATT U Park เพื่อเก็บข้อมูลอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันของแต่ละคัน
การเดินทางของทีมงาน Grand Prix Online จะอยู่ใน All New H6 PHEV คันสีแดงจากที่มีทั้งหมด 5 โทนสี (ขาว, ดำ, เทา, น้ำเงิน) เหมือนกับรุ่นไฮบริด โดยห้องโดยสารจะตบแต่งแบบทูโทนสีดำ-เทา เบาะนั่งคู่หน้าใช้วัสดุหนังสังเคราะห์ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ โดยเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อมระบบดันหลัง เบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทางพร้อมปุ่มปรับตำแหน่งเบาะผู้โดยสารด้านหน้าจากด้านคนขับ โดยเบาะนั่งแถวหลังจะมีช่องแอร์พร้อมช่องเสียบ USB เพื่อความสะดวกสบายให้ด้วย
ทำให้ตำแหน่งเบาะนั่งคนขับของ All New H6 PHEV ไม่แตกต่างจากรุ่น HEV มีความลงตัว และการมองเห็นที่ชัดเจน หากเทียบกับ Haval Jolion โมเดลน้องเล็กของพวกเขาที่ปรับเบาะยังไงก็รู้สึกไม่ถนัดสำหรับคนที่รูปร่างสูง 180 เซนติเมตร
โดยแนวทางการออกแบบสไตล์ Minimalist ทำให้ Haval เลือกใช้ชุดเกียร์ไฟฟ้าแบบหมุน Electronic Shifter เหมือนในรถแบรนด์ยุโรป พร้อมแท่นชาร์จ Wireless Charger บริเวณด้านล่างคอนโซลกลางที่แบ่งเป็น 2 ชั้น
แต่จุดที่ขัดใจหรือเรียกว่าไม่เข้าใจคือช่องเสียบ USB เพื่อเชื่อมต่อสมาร์ตโฟนไปอยู่ฝั่งคนนั่งด้านหน้า โดยตรงคนขับจะเป็นช่อง USB เพื่อชาร์จไฟฟ้าเข้าอุปกรณ์เท่านั้น เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากเพราะ Haval H6 เริ่มต้นผลิตขายในประเทศจีนที่ขับรถพวงมาลัยซ้าย และจากคำตอบของทีมงาน GWM จะไม่มีการสลับตำแหน่งสำหรับรถที่ผลิตขายจริงในบ้านเรา
แต่ยังดีที่รองรับการเชื่อมต่อแบบ Wireless ทำให้อาจจะเสียเวลาใช้สาย USB ให้ระบบ Apple CarPlay หรือ Android Auto ทำความรู้จักกับ All New H6 PHEV ในครั้งแรก หลังจากนั้นพอขึ้นรถอีกครั้งโทรศัพท์ก็จะเชื่อมต่ออัตโนมัติให้เลย
ก่อนจะออกสตาร์ท ทีมงาน Grand Prix Online เลือกระบบการขับขี่ของ All New H6 PHEV ให้อยู่ในระบบไฟฟ้า (EV) และเลือกโหมดประหยัดจากที่มีทั้งหมด 4 แบบ (มาตรฐาน, สปอร์ต, สภาพถนนลื่น) เช่นเดียวกับการเลือกระบบไฮบริด (HEV) จะสามารถกำหนดรูปแบบการขับได้ 4 แบบเหมือนกัน
ด้วยสภาพอากาศที่ฝนตกหนักสลับเบาตลอดเส้นทางจากถนนบางนา-ตราด เข้าสู่ถนนกาญจนาภิเษกตะวันออกเพื่อเดินทางสู่นครนายก ทำให้ไม่อาจใช้ความเร็วที่สูง (ตามสเปคการขับระบบไฟฟ้าทำความเร็วได้มากกว่า 140 กม./ชม) แต่กลายเป็นโอกาสดีที่จะทดสอบในเรื่องระยะทางว่าระบบไฟฟ้าจะพาเราไปได้ไกลแค่ไหน
ระหว่างใช้ระบบ EV สัมผัสได้ว่าอัตราเร่งให้ความรู้สึกเหมือนรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ที่ทันใจไม่ต้องรอรอบเครื่องยนต์ แต่การที่คันเร่งไม่มีแรงต้านเหมือนรถปลั๊ก-อิน ไฮบริดของแบรนด์ยุโรป หากคนที่ไม่เคยขับรถ PHEV อาจจะเหยียบเพลินทำให้เครื่องยนต์ติดมาช่วยเสริมกำลังโดยไม่รู้ตัวได้
แต่ที่ดีขึ้นจนรู้สึกได้แทบจะทันทีหลังขับต้องยกให้ระบบช่วงล่างของ H6 PHEV มีการปรับจูนได้อย่างลงตัว และบวกกับน้ำหนักแบตเตอรี่อีกราว 200 กิโลเมตรที่เพิ่มเข้ามาใต้ท้องรถ ทำให้รถมีความสมดุลกว่าในตัวไฮบริด และให้ความรู้สึกนุ่มนวลแบบพรีเมียม ทำให้จังหวะที่เจอเส้นทางขรุขระหรือคอสะพานไม่มีอาการกระแทกรุนแรง โดยทีมงานของเราที่นั่งอยู่เบาะหลังยังบอกว่าอาการเหวี่ยงลดลงจาก H6 HEV อย่างชัดเจน
ในส่วนของระบบความปลอดภัยของ All New H6 PHEV ด้วยเส้นทาง และระยะเวลาการทดสอบอาจจะไม่มากพอให้สัมผัสได้ครบ แต่ระบบพื้นฐานถือว่าทำงานได้น่าพอใจไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา (BSD), ระบบช่วยลงทางลาดชัน (HDC), ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน (HSA), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมการช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะ (Intelligent ACC)
ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู (DOW), ระบบช่วยเตือน และเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTB), ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรง และทางแยก (AEBI), กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา, ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง (WDS), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA), ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW) และระบบช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน (LCK)
นอกจากนี้จะมีระบบอื่นๆ ที่จะทำงานขึ้นอยู่กับการเลือกใช้งานหรือในสถานการณ์ที่เหมาะสมคือ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (TJA), ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ 3 รูปแบบ (IIP), ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน (ELK), ระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการเกิดการชนซ้ำครั้งที่ 2 (SCM), ระบบตรวจความดันลมยาง (TPMS) และระบบช่วยเตือนความเมื่อยล้าขณะขับขี่ (DFM)
ในช่วงที่การจราจรหนาแน่นอีกจุดที่ทาง GWM อาจจะต้องแก้ไขคงเป็นเสียงจำลองของมอเตอร์ไฟฟ้าที่ค่อนข้างดังจนรู้สึกรบกวนภายในห้องโดยสาร รวมทั้งการเก็บเสียงยังไม่ค่อยดี เพราะมีบางช่วงที่เจอมอเตอร์ไซค์ท่อดังๆ จะมีเสียงเข้ามามากกว่าปกติ
อีกเรื่องที่สื่อมวลชนร่วมทริปมีความเห็นตรงกันว่าควรปรับปรุงคงเป็นการที่ระบบต่างๆ ของ All New H6 PHEV จะต้องปรับผ่านหน้าจอกลาง HD Touch Screen Audio Display เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นระบบความบันเทิง, ระบบนำทาง หรือระบบการขับขี่ โดยน่าจะแบ่งมาให้คนขับสามารถปรับผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลขับขี่บ้าง ไหนๆ ก็เลือกใช้จอขนาด 10.25 นิ้ว
หลังจากการขับในช่วงเช้า และถ่ายคลิปรีวิวอยู่ราว 20 นาที โดยไม่ได้ดับเครื่องยนต์ พอพลังงานแบตเตอรี่ลดต่ำเหลือระยะการขับด้วยไฟฟ้าประมาณ 5-6 กิโลเมตร ระบบจะตัดสลับกลับมาอยู่ในระบบไฮบริด HEV โดยอัตโนมัติ และในช่วงนี้รถของทีมงาน Grand Prix Online รวมทั้งของสื่ออื่นๆ เจอปัญหาเดียวกันเกี่ยวกับระบบแอร์ที่เหมือนอุณหภูมิจะร้อนกว่าตัวเลขที่ตั้งเอาไว้
ในเรื่องนี้ทีมงาน GWM ให้คำตอบว่าอาจเป็นเพราะช่วงที่พลังงานแบตเตอรี่ลดต่ำทำให้ระบบหรือซอฟต์แวร์พยายามควบคุมการใช้พลังงานของรถยนต์ โดยพวกเขาจะขอกลับไปตรวจสอบปัญหาอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่เชื่อว่าน่าจะแก้ไขทันก่อนที่รถยนต์ล็อตแรกจะเริ่มส่งมอบให้ลูกค้าชาวไทยในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้
ทำให้ช่วงประมาณ 50 กิโลเมตรสู่ปั๊มน้ำมันที่เป็นจุดหมายปลายทาง เป็นการขับในระบบ HEV ที่เป็นอีกอารมณ์หนึ่งจากการที่ขุมกำลังเทอร์โบ 1.5 ลิตร เข้ามาช่วยเสริมพลังมากขึ้นกว่าตอนขับในระบบ EV เพียงอย่างเดียว
แต่ไม่ได้ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเยอะขึ้นเท่าไร โดยตัวเลขที่รถคันของทีมงาน Grand Prix Online เติมน้ำมันกลับเข้ามาอยู่ที่ 5.281 ลิตรจากระยะทางการขับ 255 กิโลเมตร คำนวณอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่45 กม./ลิตร (อย่างไม่เป็นทางการ)
เรียกว่าหากเป็นการใช้งานในชีวิตประจำวันของคนไทยที่ขับเฉลี่ย 50-60 กิโลเมตรต่อวัน ไม่ขี้เกียจชาร์จไฟเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ทุกวัน ถังน้ำมัน 61 ลิตรที่รองรับน้ำมันได้สูงสุดที่ E20 ของ All New H6 PHEV คงแทบจะไม่ลดลงเลย
ราคาที่เหมาะสมควรอยู่ที่เท่าไร?
หลังจาก 1 วันที่อยู่กับ All New Haval H6 Plug-in Hybrid ต้องยอมรับว่าระยะการขับด้วยระบบไฟฟ้าที่ค่อนข้างน่าพอใจ รวมทั้งสมรรถนะการขับที่ดีขึ้น, เทคโนโลยีความปลอดภัย และออปชั่นที่เพิ่มเข้ามา เหตุผลที่คนจะตัดสินใจซื้อเอสยูวีเสียบปลั๊กคันนี้คงจะเป็นราคาอย่างเป็นทางการที่จะประกาศผ่านไลฟ์สดในวันศุกร์ที่ 7 ตุลาคมนี้ เวลา 19.00 น.
ตัวเลขในความเห็นของทีมงาน Grand Prix Online อยากเห็นราคาในช่วง 1.5-1.6 ล้านบาท หากเทียบกับรถยนต์ที่ GWM กำหนดให้เป็นคู่แข่งอย่าง MG HS PHEV (ราคา 1,299,000-1,379,000 บาท) และ Mitsubishi Outlander PHEV (ราคา 1,640,000-1,749,000 บาท) ถ้าไม่เลือกตั้งราคาเสียบตรงกลางก็น่าจะเล็งไปที่รุ่นใดรุ่นหนึ่งไปเลย
ไม่ว่าราคาอย่างเป็นทางการจะออกมาสูง-ต่ำกว่าที่คาดการณ์ยังไง All New H6 PHEV ถือเป็นตัวเลือกที่ดีของคนที่อยากทำความรู้จักรถยนต์ไฟฟ้า แต่ยังไม่พร้อมจะเปลี่ยนไปสู่ EV แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ อยากมีเครื่องยนต์ติดเอาไว้ให้อุ่นใจในเวลาที่ต้องเดินทางไกล
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย)
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th