First Impression : All-New Honda City เปลี่ยนสู่ความสมบูรณ์แบบในทุกด้าน
ใช่แล้ว! อย่างที่โปรยเอาไว้เลย All-New Honda City ปรับเปลี่ยนหลายอย่างไปในทางที่ดีขึ้นในทุกมิติ พูดได้ว่านี่เป็นความประทับใจตั้งแต่แรกสัมผัส ถึงจะเป็นการได้ทดลองขับในช่วงเวลาไม่นาน แต่นั่นทำให้หัวใจเต้นระส่ำ และรับรู้ได้ถึงพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์และการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งของทีมงานฮอนด้าที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในรถยอดนิยมรุ่นใหม่นี้
สำหรับการทำลองขับในครั้งนี้ ถือว่าเป็นโอกาสพิเศษจริงๆ เพราะ Grandprix Online พร้อมด้วยเพื่อนสื่อมวลชนอีก 18 ชีวิต เป็นสื่อมวลชนกลุ่มแรกของโลกที่ได้ขับ All-New Honda City เจเนอเรชันที่ 5 บนสนามทดสอบ ฮอนด้า อาร์แอนด์ดี เอเชีย แปซิฟิค จ.ปราจีนบุรี
เส้นทางทดสอบแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ แบบแรกเป็นสนามทดสอบรูปวงรี (Oval Course) ระยะทาง 2.18 กิโลเมตร และแบบที่สองเป็นทางโค้ง (Winding Course) ระยะทาง 1.38 กิโลเมตร ซึ่งมีทั้งหมด 17 โค้ง ที่มีความแตกต่างกัน และต้องบอกเอาไว้ก่อนว่าการทดสอบในครั้งนี้อยู่บนพื้นฐานและเงื่อนไขของสนามทดสอบ แม้ว่าจะไม่เหมือนกับการขับใช้งานจริง แต่ทำให้ได้รู้จักคาแรคเตอร์ของ All-New Honda City ได้ชัดเจนขึ้น (หลังปีใหม่จะมีการทดสอบอย่างเป็นทางการบนเส้นทางภาคเหนือของไทยอีกครั้ง ฝากติดตามด้วยนะครับ)
ขอเข้าเรื่องแบบตรงประเด็นไม่ต้องเยิ่นเย้อ…รุ่นที่ทดลองขับเป็นรุ่น RS รูปแบบตัวถังให้ความสปอร์ตและเร้าใจ ด้วยชุดแต่งสไตล์ RS รอบคัน ภาพรวมตัวถังมีขนาดที่กว้างขึ้น 53 มม. เตี้ยลง 10 มม. และยาวขึ้น 113 มม. พร้อมด้วยแนวเส้น Character Line นั่นทำให้ตัวถังรถดูมีความปราดเปรียว เรื่องความชอบด้านรูปโฉมถือว่าสไตล์ใครสไตล์มัน แต่อยากจะเน้นในเรื่องของการขับเป็นหลักมากกว่า
ขับแล้วเป็นอย่างไร…เรื่องขุมพลังเทอร์โบ ขนาด 1.0 ลิตร VTEC TURBO แบบ 3 สูบ 12 วาล์ว พละกำลัง 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิด 173 นิวตันเมตร ที่ 2,000-4,500 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ทำอัตราเร่งและการตอบสนองได้ดีกว่าเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร รุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงการออกตัวจากจุดหยุดนิ่งทำได้ดี ไม่รู้สึกอืดอาด ยิ่งทำความเร็วในช่วง 60 กม./ชม. แล้วกดคันเร่งเติมเข้าไปอีกหน่อย ความเร็วจะกวาดทะลุ 100 กม./ชม. ไปอย่างรวดเร็ว และเผลอแป็บเดียวเกือบทะลุ 140 กม./ชม. (กฎของสนามในทางตรงนี้ให้ทำความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม. จึงจำเป็นต้องลดความเร็วลงมา แต่รู้สึกได้เลยว่าอัตราเร่งในช่วงลอยตัวทำได้ว่องไวมาก ตรงนี้เหมาะกับการเร่งแซง ทำให้ไม่เสียจังหวะรอรอบอีกด้วย) รวมๆ แล้วเครื่องยนต์เทอร์โบขนาดเล็กนี้ มีสมรรถนะที่เทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร ได้สบายๆ และยังรองรับน้ำมัน E20 อีกด้วย
พวงมาลัย แร็ค แอนด์ พิเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS จุดนี้ต้องขอชมมากๆ น้ำหนักพวงมาลัยทำได้เหมาะสม ถือเป็นมาตรฐานใหม่ของฮอนด้าได้เลย แน่นอนว่าในช่วงความเร็วต่ำน้ำหนักพวงมาลัยจะเบามากสไตล์พวงมาลัยไฟฟ้า ซึ่งให้มีความคล่องตัวสูง อัตราทดทำให้การบังคับควบคุมทิศทางทำได้แม่นยำมาก และเมื่อทำความเร็วสูงน้ำหนักพวงมาลัยจะหนักขึ้นในระดับที่มีความหนืดพอเหมาะ ไม่เบาและไม่หนักมาก ให้อารมณ์คล้ายๆ น้ำหนักพวงมาลัยที่มีอยู่ในฮอนด้า ซีวิค (เทียบรุ่นซีวิคกันเลยทีเดียว) ซึ่งทำให้ผู้ขับขี่มีความมั่นใจในการบังคับควบคุมมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สัน สตรัท อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม ดูเหมือนไม่มีอะไรแตกต่าง เพราะโดยสเปคทุกอย่างไม่ต่างจากเดิม แต่ไม่สามารถใช้ร่วมกับรุ่นเดิมได้นะ แถมยังมีการปรับค่าความหนืดของสปริงค์ให้รองรับการใช้งานบนถนนเมืองไทยโดยเฉพาะ นั่นทำให้มีความแตกต่างจากรุ่นที่แล้วแบบพลิกโลก การขับเข้าโค้งทำได้มั่นใจ อาการดิ้นๆ ของท้ายรถหายไป และมีความหนึบแน่นเข้ามาแทนที่ เมื่อระบบกันสะเทือนทำงานร่วมกับพวงมาลัยและขุมพลัง 1.0 ลิตร เทอร์โบ ทำให้ All-New Honda City บังคับควบคุมและขับสนุกกว่าเดิมแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว ไม่คิดเลยว่านี่คือช่วงล่างของฮอนด้า ซิตี้ เทียบรุ่นกับรุ่นใหญ่ได้สบาย
การเก็บเสียงในห้องโดยสาร ทำได้ดีกว่าเดิม มีการฉีดสเปรย์โฟมที่ฐานเสาตัวถัง และใต้ท้องรถ ทำให้ห้องโดยสารมีความเงียบขึ้นอย่างชัดเจน รวมทั้งเบาะนั่งด้านหลังมีพื้นที่ Leg Room ที่กว้างขึ้น ด้วยการเปลี่ยนขนาดของเบาะหน้าให้เพรียวและบางลง จึงมีพื้นที่ช่วงขาและเข่าที่มากขึ้น กระจกมองข้างที่ปรับร่นตำแหน่งลงมา ยังช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนและปลอดภัยมากขึ้นอีกด้วยเช่นกัน
ในภาพรวมด้านการขับในช่วงสั้นๆ ตามกฎระเบียบของสนามทดสอบถือว่าAll-New Honda City ทำได้ดีขึ้นในหลายมิติ เปลี่ยนแปลงจากรุ่นเดิมไปเยอะอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในเรื่องของขุมพลัง พวงมาลัยและระบบกันสะเทือนหรือช่วงล่าง..พูดไปจะเหมือนว่าอวย แต่ความจริงก็คือความจริง ด้วยประสบการณ์ที่มียอมรับว่าทีมงานวิศวกรฮอนด้าทำการบ้านเพื่อปรับปรุงและพัฒนาโมเดลซิตี้ออกมาได้สมบูรณ์แบบมากขึ้น และเชื่อว่าในรุ่นต่อไปจะดียิ่งขึ้นกว่านี้อย่างแน่นอน ยิ่งมีการเปิดราคาจำหน่ายที่ต่ำลงกว่ารุ่นเดิม (ทั้งที่ราคาควรจะสูงกว่านี้ เพราะทุกอย่างถูกพัฒนาขึ้นให้ดีกว่าเดิมเยอะมาก) ไม่แปลกใจเลยที่จะได้รับการตอบรับที่ดีขนาดนี้ ด้วยการเปิดตัวเพียงแค่ 1 เดือน กลับมียอดจองมากกว่า 4,500 คัน
ใครที่กำลังลังเล กำลังจะตัดสินใจ อยากให้ลองขับAll-New Honda City แล้วจะรู้ด้วยตัวเองว่ามันเป็นรถที่ถูกสร้างมาเพื่อการใช้งานบนถนนในเมืองไทยจริงๆ ส่วนเรื่องออปชั่นต่างๆ เอาเป็นว่าเลือกใช้งานตามความเหมาะสม บางอย่างอาจจะขาดบ้าง เกินบ้าง แต่โดยรวมแล้วถือว่าโมเดลซิตี้ใหม่นี้ คุ้มค่า คุ้มราคา ไม่เสียใจอย่างแน่นอน
เรื่อง : พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th