ALL-NEW HONDA CITY VTEC TURBO RS ตอบโจทย์ “รถคันแรก” คุ้มค่า แรงจัด ประหยัดน้ำมัน
การมาถึงของ All New Honda City สร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดอีโคคาร์อยู่ไม่น้อย และเป็นที่กล่าวถึงในแทบจะทันทีถ้านึกถึงรถยนต์ในเซ็กเม้นท์นี้ แม้ชื่อชั้นของ ‘Honda City’ จะมีภาษีดีกว่ารถในกลุ่มอีโคคาร์เดิมอย่าง “Brio Amaze” แต่ฮอนด้าเลือกที่จะเปลี่ยนให้ซิตี้เป็นตัวทำตลาดแทนเมื่อวันที่ 25 พ.ย. ปี 62 ภายหลังงานเปิดตัว ย้อนไปในอดีตรถยนต์ซีดานรุ่นนี้อยู่คู่กับสังคมไทยมานาน ขนาดที่ว่ามีการเก็บข้อมูลนำมาวิจัยและพัฒนาในไทยร่วมกับทีมงานวิศวกรญี่ปุ่น แต่มันก็ไม่ได้ถูกส่งออกไปขายยังทั่วโลก แทบจะบอกได้ว่าเป็นรถที่สร้างมาเพื่อตอบสนองความต้องการของคนไทยก็ว่า จนวันนี้เข้าสู่เจเนอเรชั่นที่ 5 กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อฮอนด้าเลือกนำเสนอ “ระบบอัดอากาศ” มาใช้กับเครื่องยนต์ดาวไซส์ย่อขนาดแต่ให้พละกำลังที่เหลือเชื่อ จากเครื่องเบนซินพันห้าที่มีอยู่ เปลี่ยนเป็นเครื่อง 3 สูบ 1,000 ซีซี. VTEC TURBO!
ทีมงานวิศวกรที่รับผิดชอบโปรเจคนี้ดูจะจริงจังเอามาก ๆ เพราะว่าเงื่อนไขของ Eco Car Phase II มันเหมือนกำแพงขนาดยักษ์ที่ต้องฝ่าฟันเพื่อสินค้ารุ่นใหม่ของฮอนด้าต้องติดตลาด เทคโนโลยีหลายอย่างถูกนำมาใช้ชนิดที่ว่า Honda Civic Turbo ที่ออกมาขายก่อนยังต้องมองค้อน ฮอนด้า ซิตี้ กลายเป็นน้องเล็กในค่ายที่มีพละกำลังเหนือเครื่องพันห้าเดิม และมีแรงบิดมหาศาลเทียบชั้นเครื่องพันแปด แต่ดันประหยัดน้ำมันระดับ 23.8 กม./ลิตร ตามเกณฑ์ที่ภาครัฐกำหนด แต่ทว่าทีมงานยังต้องเผชิญกับเป้าหมายที่กว้างเกินไป เมื่อลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ที่ต้องการมีรถยนต์คันแรก หรือกลุ่มซิตี้คาร์ เน้นเครื่องความสะดวกสบาย ความคุ้มค่า แต่ฮอนด้าไม่อยากทิ้ง DNA ความสปอร์ตให้กับรถของตัวเอง มันต้องเป็นรถที่ใช้งานในชีวิตประจำวัน ทั้งทางไกล และในเมืองได้อย่างดี และต้องแรงระดับที่หาตัวจับยาก ผลสำเร็จจากการพัฒนา ซึ่งแม้แต่ผู้ออกแบบจากญี่ปุ่นยังพูดว่า “ถ้ามันขายที่ญี่ปุ่นผมจะซื้อมาใช้อย่างไม่ลังเล”
หลังวันเปิดตัวก็มีเรื่องให้ประหลาดใจไม่น้อย เพราะฮอนด้าไม่คิดว่าคู่แข่งจะมีรถอีโคคาร์รุ่นใหม่ ที่เป็นเครื่องยนต์เทอร์โบเช่นกัน นั่นเพราะกว่าจะสำเร็จโปรเจคนี้มันไม่ง่ายเลย ถึงนาทีนี้ยอดจอง ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ (ถึงวันที่ 21 ม.ค. 2020) รวมกว่า 8,000 คัน ส่งมอบไปแล้วเมื่อช่วงกลางเดือน 4,000 คัน ซึ่งเมื่อลงไปดูในรายละเอียด ฮอนด้าตั้งราคาขายสูงกว่าคู่แข่งมาก แต่จากยอดขายทั้งหมดกว่า 80% เป็นยอดขายรุ่น RS และ SV (ตัวท๊อป) ถามว่าทำไมคนยอดจ่ายขนาดนั้น ชื่อของ VTEC TURBO ดูจะปลุกอะดีนาลีนวัยรุ่นได้ไม่น้อย และการตลาดแบบฮอนด้า ออปชั่นทั้งหมดถ้าอยากได้ต้องรุ่นท๊อป ทำให้คนยอมจ่ายแพงเพื่อเทคโนโลยี และความสะดวกสบาย
ในทีสุดก็ถึงวันที่จะเจอตัวจริง ฮอนด้านัดทีมงาน Grand Prix Online มาร่วมทดสอบอีกครั้ง หลังจากครั้งก่อนได้มีโอกาสสัมผัสอัตราเร่งกันไปแล้วที่สนามทดสอบฮอนด้า แต่มันเป็นแค่หนังสั้นเพื่อการโฆษณา “หลังติดเบาะ” มาคราวนี้จะได้สัมผัสกับอรรถรสการขับขี่อย่างแท้จริงบนเส้นทางที่ท้าทาย เชียงราย- เชียงของ ด้วยภูมิประเทศแบบภูเขา มีโค้งต่อเนื่อง มีจุดที่ทำความเร็วท๊อปสปีดได้ ครบทุกการทดสอบ รวมระยะทาง 200 กม. มันเป็นถนนเส้นใหม่ที่เพิ่งปรากฏขึ้นมาบนแผนที่ ยังไม่มีในกูเกิ้ลด้วยซ้ำไป (ฮอนด้าแจ้งมาแบบนี้) อีเว้นท์นี้ถูกจับตาจากวิศวกรทั้งหมดของฮอนด้าที่ดูแลการวิจัยและพัฒนาโปรเจคนี้ แน่นอนว่าเป็นทีมงานญี่ปุ่น แต่ละคนดูแลเฉพาะด้าน เช่นการออกแบบภายใน คนออกแบบเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง คนดูแลเรื่องดีไซน์ เป็นต้น
ช่วงรับฟังข้อมูลเกี่ยวกับ All New Honda City ได้ความว่า ฮอนด้า ต้องการยกระดับ Eco Sedan คันนี้ในทุกแง่มุม ตั้งแต่งานดีไซน์ที่ดูสปอร์ตมากขึ้น บอดี้มีความกว้างขึ้นและดูต่ำลงกว่าเดิม(มิติรถ) เส้นสายที่ใช้ต้องเฉียบคมขึ้นเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวรถ ภายในต้องโปร่งโล่งสบายตา โดยรวมรถยนต์คันนี้ต้องมีคาเล็กเตอร์ที่โดดเด่นชัดเจน มองเห็นและรับรู้ได้ทันทีว่าคือ All New Honda City
- ชุดแต่งสไตล์สปอร์ตแบบ RS รอบคัน โดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบ Gloss Black และสัญลักษณ์ RS มาพร้อมกันชนหน้าและกระจังหน้าสไตล์สปอร์ต ไฟหน้าดีไซน์ใหม่แบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ไฟตัดหมอกแบบ LED กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ตพร้อมไฟเลี้ยวในตัว สปอยเลอร์หลังแบบ Gloss Black พร้อมสัญลักษณ์ RS และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาด 16 นิ้ว
ดีไซน์ภายนอกใช้รถรุ่นพี่ Honda Civic มาเป็นแรงบันดาลใจ แต่งเติมให้มีความสดใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะรถรุ่น. RS ที่ทาหน้าทาปาก ใส่ชุดแต่งเสริมหล่อมาตั้งแต่โรงงานรอบคัน โดยรวมแล้วถือได้ว่าฮอนด้าทำได้ดีทั้งด้านหน้า ด้านหลัง มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องกระจกมองข้างขยับตำแหน่งจากเดิมมาไว้บริเวณประตูทั้งสองข้างเพื่อทัศนวิสัยที่ดีขึ้น จุดขายที่สำคัญคือไฟหน้า และไฟท้าย แบบ LED พร้อม Daytime Running Light ไม่คิดว่าจะมาอยู่ใน Eco Car ได้
- เบาะที่นั่งดีไซน์ใหม่ มีให้เลือกทั้งแบบเบาะหนังกลับ ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง (เฉพาะรุ่น RS) เบาะหนัง (เฉพาะรุ่น SV) และเบาะผ้า (รุ่น V และ S)
ภายในเน้นโทนสีดำเปียโนแบล็คตามเทรนด์นิยม ภายในมีพื้นที่กว้างขวางให้ความรู้สึกแปลกๆ ไม่คิดว่าอุปกรณ์หลายอย่างที่เคยเห็นในรถราคาเป็นล้านวันหนึ่งจะมาอยู่ในรถ City Car รุ่นเล็กได้ อาทิ ปุ่มควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ปุ่มสั่งงาน Sir ปุ่มรับสายโทรศัพท์ ที่พวงมาลัยเป็นต้น ไหนจะหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ที่เห็นชัดเจนในทุกองศาไม่มีปัญหากับแสงแดดกระทบ สามารถเชื่อมต่อ Apple Car Play ได้ ทำให้เรียกความสามารถของ Google Map มาแสดงบนหน้าจอดิสก์เพล หรือฟังเพลงออนไลน์ผ่าน App Spotify น่าเสียดายระบบ Android ไม่ได้เกิดในเครื่องเล่นรุ่นนี้ ในรุ่น RS ยังติดตั้งลำโพงมากถึง 8 จุด แต่ถึงกระนั้นมิติเสียงยังทำได้ไม่ได้ อยู่ในแค่ระดับฟังได้เท่านั้น ส่วนที่หลายคนถามถึงรถรุ่นนี้ในตัวท๊อปมีช่อง USB ให้ถึง 2 จุด ส่วนคนนั่งหลังยังมีที่ชาร์จไฟ 12 โวล สองช่องเสียบหัวแปลงชาร์จโทรศัพท์ได้อีก 2 จุด แน่นอนอุปกรณ์หลายอย่างอยู่ในรุ่น RS ไม่เว้นแม้แต่พนักวางแขนด้านหลัง ในที่สุดสิ่งที่อยากได้มาโดยตลอด หลังคาวัสดุบุเป็นสีดำถึงแม้มันจะทำให้รถดูแคบ ไม่เหมือนสีครีม แต่มันดูแลรักษาเป็นรอยได้ยากกว่า ค่อนข้างตอบโจทย์คุณผู้ชายที่ชอบดูแลรถเป็นอย่างดี
มิติรถที่มีความกว้างขวาง ส่งผลให้การจัดวางคอนโซล และตำแหน่งที่นั่ง ช่วยให้ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารมีความสะดวกสบาย ตัวเบาะที่นั่งเองเสริมวัสดุบุนุ่มให้หนาขึ้น รวมทั้งเพิ่มพื้นที่ช่วงขาให้กว้างขึ้น มาถึงตรงนี้ขอคุยเรื่องแพลตฟอร์มใหม่ที่นำมาใช้มีน้ำหนักเบาขึ้น 4.3 กก. แต่ให้ความแข็งกร่งมากขึ้นถึง 20% ปลอดภัยจากการชนมากขึ้น นอกจากนั้นจุดเด่นที่เสริมเข้ามาเรื่องเสียงรบกวนที่เงียบมากเพราะ เพิ่มฉนวนกันเสียงอีก 3.5 เท่า โดยเฉพาะระหว่างห้องเครื่องกับห้องโดยสาร เพิ่มความหนาของตัวถังเพื่อลดแรงสั่นสะเทือน ทั้งหมดเพื่อ “ความเงียบ” หรือที่ค่ายรถมักพูดว่าสุนทรียภาพในการขับขี่ ไม่แน่นะแพลฟอร์มตัวนี้จะถูกนำมาใช้ในซิตี้คาร์ 5 ประตูลำดับถัดไปด้วย
- มาตรวัดเรืองแสงในรุ่น RS จะตกแต่งด้วยไฟสีแดง ส่วนรุ่นอื่นไฟสีขาว
มาถึงพระเอกของเรื่อง VTEC TURBO ถึงแม้จะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ แต่ให้แรงม้าสูงสุด 122 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที ให้แรงบิดสูงถึง 173 นิวตัวเมตรที่ 2,000-4,500 รอบต่อนาที หลังจากลองทดสอบอยู่พอสมควรคงต้องขอบคุณชุดเกียร์ CVT รุ่นใหม่ที่ถูกพัฒนามาเพิ่มให้มีความต่อเนื่องและนุ่มนวลมาก นอกจากเรื่องของความแรงที่แตะระดับ 200 กม./ชม. ได้แล้ว ยังมั่นใจว่า ความเร็ว 0-100 กม./ชม. ของ All New Honda City ไม่น่าจะแพ้รถในระดับเดียวกันซะด้วย มันพุ่งทะยานไปแบบลอยตัว จนต้องไม่เผลอมองดูเข็มความเร็วที่ไม่นานจากศูนย์ขยับไปเกินร้อย กำลังมีมาให้ใช้งานตั้งแต่รอบต่ำจนถึงรอบสูงแบบคงที่ซะด้วย เรียกเป็นมา ไม่ใช่กราฟแบบพุ่งทะยานเชิดขึ้นแล้วตก แต่เป็นกราฟที่พุ่งขึ้นมาได้ระดับแล้วค้างไว้จนถึง 4,500 รอบ ที่เทอร์โบทำงานบูสได้ถึงสองบาร์ (เท่าของ Civic Turbo)นั่นหมายความว่ามันไม่ได้เป็นแค่รถแรงต้น แต่รอบกลางๆ ถึงสูงก็ยังมีแรงให้ใช้ได้แบบต่อเนื่อง คำที่ฮอนด้าใช้โฆษณาไม่เกินจริง มันแรงแบบ “ของจริง” ถามว่าเป็นแค่ซิตี้คาร์ทำไมต้องทำให้แรงขนาดนี้ วิศวกรตอบแบบไม่ลังเลมันคือจุดเด่นที่เราทำกันมาตลอดในรถฮอนด้า Enjoy The Drive! ส่วนสาระสำคัญที่ดูขัดกับเรื่องนี้คือยังต้องการสร้างรถที่สะดวกสบายกับช่วงล่างที่นุ่มนวล ไม่ได้เซ็ตมารองรับกับความสปอร์ตเต็มสูบ (ไปแต่งเพิ่ม อาทิ เปลี่ยนขนาดยางให้กว้างขึ้น เปลี่ยนโช๊คอัพให้หนึบขึ้น เพื่อรองรับการขับขี่แบบสปอร์ต) เพราะถ้าทำช่วงล่างแข็งดูแล้วกลุ่มลูกค้าหลักคงไม่ชอบใจนัก
บางช่วงที่ต้องชะลอผ่านโค้งที่มีองศามากทำให้ต้องปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่มาที่ S Mode ดูเหมือนว่าระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยยังดึงน้อยไปนิด แต่ที่รู้สึกได้คือรถเก็บเสียงดี ส่งผลให้ผู้ขับขีขาดความมันจากเสียงเครื่องที่เคยคำรามดังฟังชัด จากการตบเกียร์ลงเพื่อดึงความเร็ว “เงียบกริ๊บ” ต้องคอยหันมาดูมาตรวัดว่าสรุปแล้วมันทำงานอยู่นะ ความเร็วลดลงแล้วนะ อันนี้ก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่เอามาแบ่งปันกันฟัง ส่วนระบบเบรกหน้าดิสก์ หลังดรัมหลายคนบอกทำไมไม่ให้ดิสก์เบรก 4 ล้อมาเลย ฮอนด้าอธิบายว่า ดรัมเบรก ช่วยลดน้ำหนักโดยรวม ส่งผลประหยัดน้ำมันลงได้เพื่อผ่านเกณฑ์ Eco Car Phase II เป็นงั้นไป ซึ่งเอาจริงมันก็ใช้งานได้ดีปรกติ ไม่พบอาการอะไรที่ไม่มั่นใจ จะมีแต่ช่วงล่างเวลาเจอโค้งหนักๆ ถ้าเอาไปเซ็ตเองให้หนึบขึ้นคงจะมันไม่น้อย แต่ต้องสูญเสียความนุ่มนวลไป เมื่อพิจารณาแล้วจะไปขับขึ้นเขาที่ไหนกัน ใช้กันในเมืองเป็นส่วนใหญ่แบบที่เค้าคิดมาให้ตอบโจทย์คนขับและผู้โดยสารมากกว่า อารมณ์ส่วนตัวล้วนๆ ส่วนอีกเรื่องที่ชอบคือน้ำหนักพวงมาลัยกำลังพอดีทั้งในช่วงความเร็วสูงที่หน่วงขึ้น และคล่องตัวเมื่ออยู่ในความเร็วต่ำ และสำหรับเรื่องที่ไม่ได้พูดถึงยังมีฟังก์ชั่น ECON โหมด (ปุ่มเขียวรักษ์โลก) ให้ใช้งานด้วยถ้าอยากขับประหยัด ระบบจะจัดการเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง และแอร์ ให้ประหยัดมากขึ้นโดยอัตโนมัติ เพียงแค่กดปุ่มนี้ คุณ
- การทดสอบใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 95 E10
มาถึงเก็บตกคำถามทางบ้าน ทำไมเครื่องยนต์ตัวนี้ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ในเมื่อรถรุ่นไหนในไทยก็ใช้อินเตอร์คูลเลอร์แบบอากาศ วิศวกรแจ้งว่ามันถูกจำกัดด้วยพื้นที่ของห้องเครื่อง ไม่เหมือนของซีวิค แบบน้ำดูจะเหมาะที่สุด มันใจได้เพราะผ่านการวิจัยและพัฒนาในทุกสภาพการจาจรมาแล้ว และยิ่งเมืองไทยเป็นเมืองร้อน รับประกันว่าดี ส่วนการดูแลรักษาเครื่องยนต์เทอร์โบนั้นไม่แตกต่างจากเครื่องยนต์ทั่วไป ยิ่งตัวนี้พิเศษกว่าเดิมคือเมื่อถึงเวลาเข้าเปลี่ยนถ่ายของเหลวตัวรถจะแจ้งผ่านมาตรวัดหน้าปัด ไม่ต้องคอยนับวัน หรือดูตามระยะทางอีกต่อไป ตัวอย่างคุณใช้น้ำมันเครื่องแบบฟูลลี่ ซินเธติก 10,000 กม. ขับต่างจังหวัดทางไกลตลอด เซ็นเซอร์แจ้งเตือนที่ 15,000 กม. ขับแต่ในเมืองรถติดทุกวัน เซ็นเซอร์แจ้งเปลี่ยนถ่ายที่ 8,000 กม. เป็นต้น (แนะนำ 0W20) ส่วนน้ำมันเกียร์ทุก 40,000 กม. ตามปรกติ ถามว่าเซ็นเซอร์ดูจากอะไร มันตรวจเช็คจากโหลดเครื่องยนต์ อุณหภูมิน้ำหล่อเย็น หรือแม้แต่ คุณภาพของน้ำมันเครื่อง เรียกว่าแม่นยำมาก ถามว่าในอนาคตจะมีรุ่นเกียร์ธรรมดามาขายไม่ ไม่มีชัวร์เพราะดีมานไม่ได้ ถ้าจะมีน่าจะเป็นตลาดอินเดีย หรืออินโดฯ แล้วเครื่องบล็อกนี้มาจากไหน ตอบ มาจากซิวิคที่ขายแถบภูมิภาคอื่น อย่างจีนที่มี 1.0 TURBO แล้วนำมาต่อยอด
สุดท้ายแล้วผู้บริโภคได้อะไร ตรงนี้อยากให้ทุกคนมองเป็นอันดับแรกมากกว่าความแรงของ VTEC TURBO นั่นคือระบบความปลอดภัยที่เป็นมาตรฐานสูงขึ้น ไม่ได้มีแค่เบรก ABS EBD หรือระบบควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง VSA ปัจจุบันยังมีถุงลมนิรภัยถึง 6 ตำแหน่ง มีระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน ไฟเบรกดวงที่สาม จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก ISOFIX เป็นต้น อีกหนึ่งเรื่องคืออัตราความประหยัดน้ำมันที่สูงขึ้นกว่า Eco Car Phase 1 อย่างแน่นอน เชื่อว่าใครๆ ก็ทำได้ 18-19 กม./ลิตร ส่วนค่าตัวเจ้า ALL NEW HONDA CITY รุ่น RS อยู่ที่ 739,000 บาท
ประเด็นเสริม สำหรับเจ้าของ All New Honda City คุณจะได้รับนวัตกรรมการเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างคนกับรถ Honda Connect ติดตั้งมาให้ด้วย ช่วยให้สั่งงานเปิด- ปิด รถผ่าน App เช็คสถานะ แจ้งเตือนการออกนอกพื้นที่ของรถ หรือสั่งสตาร์ทรถเปิดแอร์ ได้ด้วย แถมมีระบบคอลเซ็นเตอร์ไว้คอยช่วยสั่งงานกรณีมือถือแบตหมดอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งระบบนี้ลูกค้าฮอนด้าสามารถหาซื้อมาติดตั้งได้ไม่ถึงหมื่น (มีค่าใช้จ่ายรายปี) และถ้าใจถึงจ่ายแพคเกจอินเตอร์เน็ตสามารถแชร์ WiFi ในรถได้ด้วย ผ่านเครือข่ายของ AIS (มีค่าใช้จ่ายรายเดือน)
ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่
รุ่น RS ราคา 739,000 บาท
รุ่น SV ราคา 665,000 บาท
รุ่น V ราคา 609,000 บาท
รุ่น S ราคา 579,500 บาท
เรื่อง : ณัฐพล จีระมงคลกุล
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th